Originally posted by HiddenDragon
View Post
Announcement
Collapse
No announcement yet.
ทฤษฎี ดิจิตอล (01) ไม่มีความแตกต่าง ..ด้านเสียง...ชัวร์หรือมั่วนิ่ม
Collapse
X
-
ตอนผมเรียนปริญญาโทที่ Mahanakorn
อาจารย์ผมสอนว่า "เวลาคุณประชุมกัน เวลาระดมความคิดเห็น แตกประเด็น และถกเถียงกันเพื่อหาข้อสรุป เขาเรียกว่า มหาสงครามแห่งกะลา
เนื่องด้วย แต่ละคนมีกะลาของตัวเอง แต่ละใบ ไม่ว่าจะใหญ่ จะเล็กมากกว่ากัน ก็เป็นกะลาหมือนกัน"ผมเห็นจริงตามอาจารย์ผม ที่แกว่าอย่างนั้น
และ อาจารย์ผม ชื่อ รศ ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
ผมไม่เห็นว่าเป็นคำด่านะ อาจฟังดูไม่งาม แต่ตรงปะเด็นและเข้าถึงแก่น โดยแท้
Originally posted by leahlover View Postมหาสงครามแห่งกะลา ผมว่ามันเป็นคำด่านะLast edited by HiddenDragon; 5 Apr 2011, 12:08:21.
Comment
-
Originally posted by HiddenDragon View Postตอนผมเรียนปริญญาโทที่ Mahanakorn
อาจารย์ผมสอนว่า "เวลาคุณประชุมกัน เวลาระดมความคิดเห็น แตกประเด็น และถกเถียงกันเพื่อหาข้อสรุป เขาเรียกว่า มหาสงครามแห่งกะลา
เนื่องด้วย แต่ละคนมีกะลาของตัวเอง แต่ละใบ ไม่ว่าจะใหญ่ จะเล็กมากกว่ากัน ก็เป็นกะลาหมือนกัน"ผมเห็นจริงตามอาจารย์ผม ที่แกว่าอย่างนั้น
และ อาจารย์ผม ชื่อ รศ ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
ผมไม่เห็นว่าเป็นคำด่านะ อาจฟังดูไม่งาม แต่ตรงปะเด็นและเข้าถึงแก่น โดยแท้
Comment
-
ถ้าเป็นคำด่าคงต้องขอโทษด้วยครับ แต่เท่าที่รับรู้มา ผมกลับมีความรู้สึที่ดีกับมัน ไม่ได้มองในแง่ลบ ถ้าไม่สบายใจผมจะเอาออกให้ แต่ผมก็ยังยืนยันคำนั้นเช่นเดิมครับ
และอาจารย์ผมยังบอกต่ออีกว่า
การเรียนหนังสือ ก็คือการเปิดกะลา และการจัการกับปัญหา คุณต้องใช้ปัญญาเท่ากาละมัง เพื่อแก้ปัญาเท่าขัน
ตามนี้แหละครับ ผมเรียมากว่า 5 ปี ยังจำขึ้นใจ ในวิชา การจัดการเชิงกลยุทธ์
ยังอยากไปเรียนใหม่เลย รู้สึกว่าตัวเองโง่ลงไปเยอะ เมื่อเทียบกับตอนเรียนจบใหม่ๆLast edited by HiddenDragon; 5 Apr 2011, 12:19:26.
Comment
-
ผมไม่ได้มองถึงความหมายมันนะ แต่คำที่พิมพ์ ในเนต เวลาที่พิมพ์สีแดงๆ ตัวโตๆ เค้าเอาไว้ใช้ด่ากัน
แต่ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ไม่ต้องแก้ไปหรอกครับ ปล่อยมันไว้อย่างงั้นนะดีแล้ว เพราะไม่รู้จริงๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แถมได้ความรู้เพิ่มอีก 1 ทฤษฎี ^^
Comment
-
เอ่อ เนอะ ออกทะเลกันเรื่อง "กะลา" ซะแล้วสิ ฮา
.........................
01 เถียงกันไปก็แค่นั้น เถียงไปก็มีคนเถียงกลับ เถียงกลับเขาก็กลับเถียงมา ไม่จบไม่สิ้น
ทฤษฎีกับความรู้สึกน่ะมันต่างกันอยู่ที่ว่าใครจะเอาสิ่งใหนเป็นตัวตั้ง
มันก็เหมือนวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์นั่นแหละ ไปหาหมอเป็นปีกว่าปีรักษาไม่หายไปให้หมอเจ้าทรงข้างบ้านเป่ากระหม่อมทีเดียวหายก็มี หรือไม่ก็ ไปหาเจ้าทรงมาเป็นปีๆรักษาไม่หายไปคลีนิกข้างบ้านแล้วรักษาหายก็มี
เรื่องเสียงก็เหมือนกัน เถียงกันไปก็ไม่จบ เพราะแต่ละคนมีตัวตั้งของสมมติฐานไม่เหมือนกัน เรียนมาไม่เหมือนกัน เครื่องเสียงที่ใช้ฟังไม่เหมือนกัน หูได้ยินเสียงไม่เหมือนกับ
ปล.นี่ความคิดเห็นส่วนตัวนะ ^ ^
นิปา~
Comment
-
ก่อนที่จะออกทะเล
ตรงนี้ผมอยาก เชิงความรู้สึก-ทดลองฟังจริงๆ ประสบการณ์จริงมากกว่าครับ
เพราะ..เราเป็นระดับ ผู้บริโภค สิ่งที่ได้ประโยชน์ คือ เอามาใช้งานจริงได้
ข้อมูลดิบ แผ่น CD DVD BD
ตัวแปร เครื่องเล่น CD DVD BD HD PC สายสัญญาณ
ภาคแปลงสัญญาณ DAC AVR
--------------
ทฤษฎี ดิจิตอล (01) ไม่มีความแตกต่าง ..ด้านเสียง...ชัวร์หรือมั่วนิ่ม
แยกให้ชัดเจนอีกหน่อย
ทฤษฎี ดิจิตอล (01) ไม่มีความแตกต่าง ..ด้านเสียง
ในทษฤี หลักการ วิชาการ ดิจิตอล เป็น 01 เท่านั้น ไม่มีการเปลี่ยน
ยิ่งหาข้อมูลเท่าไหร่ คำตอบเดียวเดียวก็คือ มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงจาก 01 ไปได้ ...เป็นที่ยอมรับทั่วไป
ชัวร์หรือมั่วนิ่ม
แต่ในส่วน ที่ใช้งานจริง
จากข้อมูลดิบตัวเดียวกัน
ตัวแปรที่ต่างกัน
ภาคแปลงสัญญาณตัวเดียวกัน
เสียงมีความแตกต่างกันหรือไม่ ....ตรงนี้ครับ..ที่อยากได้คำตอบ
และเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ครับ
-----------
คำว่า ดิจิตอล กับระบบเสียงในตอนนี้เป็นอะไรที่หนีไม่พ้นแน่ๆครับ
mp3 CD DVD BD ดิจิตอลทั้งนั้น
เรื่องการฟังมันก็เหมือน เราเลือกชื้อ ลำโพง หูฟัง ทั่วไปครับ
Comment
-
เพราะว่าผมไม่เห็นมันต่างน่ะครับ
พอมีการลากเรื่องการส่งข้อมูลออกมาคุย อืม หอมควันธูปแฮะ
ผมก็เลยยกเรื่องเล็กๆน้อยที่เราละเลยไปออกมาถามว่า เรารู้สึกถึงมันใหมน่ะครับ
แต่ที่แน่ๆมันคงทำให้ความสุขที่ได้รับหายไปล่ะถ้าเรารู้และไปจดจ่อมันมากเกินไป
เป็นเรื่องธรรมดามากๆที่ชุดที่เราฟังทุกวันมันจะเพี้ยนแต่เราไม่รู้ถ้าไม่เอาค่าจากเครื่องมือวัดมาปล่อยให้ดู
และพร้อมจะเพี้ยนได้ทุกๆวินาทีเป็นธรรมดาของ AMP และ ลำโพง เพราะใช้แล้วมันเสื่อม
เครื่องเทพก็เพี้ยนได้ เพราะคุณฟังอณาลอคคุณภาพสัญญาณมันเปลี่ยนได้ตามสภาพของอุปกรณ์
และอุปกรณ์มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ ไปอ่านข้างตัวถังได้เลยทุกยี่ห้อมันบอกค่าความเพี้ยน +- เท่านัน % ทั้งนั้น
แม่แต่ AMP อย่าง MARK LEVINSON ก็ยังระบุค่าความเพี้ยนมาให้อ่านโต้งๆเลย
นั่นล่ะคำตอบของความต่างที่ได้ยิน ได้เห็นกัน
เมื่อเราเอาความรู้สึกมาวัด เราได้สังเกตุสิ่งเหล่านี้บ้างหรือเปล่า
เพราะเป็นอย่างนี้ ผมเองถ้ามันไม่เพี้ยนหรือกวนจนฟังไม่ได้ผมก็ไม่สนใจอะไร
เปิดปุ๊บยกเท้าพาดโต๊ะนอนฟังสบายๆไป ไม่คิดอะไรแล้วปวดหัวน่ะครับ
Comment
-
โอ้ว พลังแห่งเจได
ผมคลุกคลีทำงานกับคนจบสูงๆหลายคน แต่ผมก็ไม่ได้เรียนสูงนะแค่ตรี มันมีลงวิชาEGOศาสตร์ด้วยรึเนี่ย- - ยังกับต้องก๊อปลงมากันเลยไม่ว่าจะจบจากที่ใด
เจอพวกจบน้อยแต่ทำงานนานมันก็จะพูดอีกอย่าง
จบสูงแต่ไม่จับอุปกรณ์เลยชี้นิ้วสั่งก็พูดอีกอย่าง
แต่2คนนี้EGOสูงทั้งคู่ แต่ต้องยอมคนจบสูงเพียงเพราะมันเรียนมาเยอะกว่าถึงจะทำน้อยกว่าก็เถิดและต่อให้คนจบต่ำแต่รู้จริงก็ยังต้องยอมเพราะมันไม่มีทฤษฏีกฎของพวกกรีกไปเถียง เจริญ!!!
ไปเรียนวิชาแปลกๆมาดีกว่า เวลาคุยกะใครจะได้พูดกะคนอื่นได้ว่า "ไอ้อ่อน" รู้ไม่เท่าตรู เพราะเพียงคนอื่นไม่รู้เหมือนที่ตัวเองรู้และเข้าใจ ไม่เชื่อเพียงเพราะไม่มีเหตุผลอันใดมาอ้างอิง...แปลกดี อย่างนี้จะมีลัทธิใดที่ท่านนับถือกันนี่เพราะไม่มีวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ทั้งหมดซักลัทธิ
Comment
-
ความคิดผมนะ
ถ้าบอกว่า
ในทฤษฎี หลักการ วิชาการ ดิจิตอล เป็น 01 เท่านั้น ไม่มีการเปลี่ยน
ยิ่งหาข้อมูลเท่าไหร่ คำตอบเดียวเดียวก็คือ มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงจาก 01 ไปได้ ...เป็นที่ยอมรับทั่วไป
แต่ในเมื่อ มาโยงเข้ากับเรื่องของเสียง ผมคิดว่าต่าง เช่น เรามีไฟลล์ MP3 อยู่1ไฟลล์ ไปเปิดคนละเครื่องเล่น เช่น ไอโฟน ไอพอด มืถือ ก็ว่ากันไป ทำไมเสียงจึงต่าง
สมมติถ้า ไอโฟน มันถอดรหัส ได้ 0000001 แล้ว มือถือทั่วไป มัน ก็ต้องถอด ได้ 0000001 อยู่แล้ว แต่ใหงเสียงจึงต่างกัน จะบอกว่ามันใช้ DAC คนละตัวกัน แล้ว DAC มันก็ถอดรหัส จาก 0 กับ 1 มาเป็นอนาล็อกอยู่ดี
DAC บางตัว มีอัตราการสุ่มที่สูง จาก 24bit เป็น 32 bit เพราะมีการแต่งเติมรูปคลื่นให้โค้งขึ้นด้วยสัญญาณพัลล์ เพราะฉนั้น DAC เทพ มันก็เป็นตัวแต่งแต้มเสียงเพลงไม่ใช่หรือ
นิปา~
Comment
-
ไหน ๆ กระทู้นี้ก็รวมเซียนแล้ว ขอถามประเด็นข้างเคียงครับ
ถ้าสัญญาณดิจิตอลเกี่ยวกับเสียงเพลง "น่าจะ" ไม่แตกต่าง จากการที่ัตัวเลขในการส่งไปคือ 0 / 1 ไม่ว่าจะผ่านตัวแปรใด ๆ ในระบบ "ดิจิตอล" ถ้าเป็นแบบนี้ สัญญาณภาพที่เป็นดิจิตอลก็ไม่น่ามีความแตกต่าง เช่น สาย DVI เส้นละ 2-300 กับสาย DVI ยี่ห้อดัง ๆ เส้นละเป็นพัน ก็ไม่น่าให้ภาพที่แตกต่างกันเพราะการส่งสัญญาณเป็นดิจิตอลเหมือนกัน อันนี้ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ
ที่ถามเพราะว่าตัวเองมีทั้งสาย DVI แบบเส้นละ 2-300 เก็บไว้ในกล่อง และตอนนี้ใช้แบบมียี่ห้อเป็นหลักพันอยู่ หลังจากลองสลับสายดูไปมาก็ไม่พบความแตกต่าง เอาเท่าที่ตาผมมองเห็นนะ แต่อยากทราบความเห็นจากท่านที่ชำนาญทั้งหลาย เผื่อว่าความเข้าใจผมอาจจะคลาดเคลื่อน
ขอบคุณครับ
Comment
-
ถ้าจับสังเกตุไม่ได้จริงๆต้องลองไปบ้านเพื่อนที่จอมันยักษ์ๆ42+หรือโปรเจคเตอร์ครับ ผมว่าต้องเห็นบ้างครับ ถ้าจอเล็กสำหรับบางท่านอาจจับไม่เห็น แต่ลองพิมพ์Wordหรือเข้าเวปอ่านอะไรดูครับมันจะมีนิดๆให้รู้เลยว่าอ่อ ที่ว่าคมกว่ากันคือตรงนี้นี่เอง(ตัวหนังสือ)
เช่นเดียวกันกับเสียงครับ ถ้าจะเทสด้วยsystemต้นๆก็จับความต่างได้อยากนิดนึงบางท่านเทสกะลำโพงคอม-*-ไม่กี่พันแล้วมาถามว่าแยกmp3 128k กะ FLAC หรือ Losslessออกไหม๊ โอ้วจ๊อต... ใครจะแยกได้หละท่าน
ถ้าเคยไปลองร้านเครื่องเสียงที่มีห้องลอง ให้เค้าเปลี่ยนสายลองได้เลยครับ พวกนั้นเค้าsystemถึงAcusticห้องถึง ได้ยินหมดอะครับ ถ้ายังจับไม่ได้ก็ยอมและครับ งั้นใช้อะไรก็ได้ครับเอาสบายใจและสบายกระเป๋าโชคดีแล้วที่ไม่ได้ยินจะได้ไม่เปลือง
Comment
-
Originally posted by mambobeer View Postถ้าจับสังเกตุไม่ได้จริงๆต้องลองไปบ้านเพื่อนที่จอมันยักษ์ๆ42+หรือโปรเจคเตอร์ครับ ผมว่าต้องเห็นบ้างครับ ถ้าจอเล็กสำหรับบางท่านอาจจับไม่เห็น แต่ลองพิมพ์Wordหรือเข้าเวปอ่านอะไรดูครับมันจะมีนิดๆให้รู้เลยว่าอ่อ ที่ว่าคมกว่ากันคือตรงนี้นี่เอง(ตัวหนังสือ)
เช่นเดียวกันกับเสียงครับ ถ้าจะเทสด้วยsystemต้นๆก็จับความต่างได้อยากนิดนึงบางท่านเทสกะลำโพงคอม-*-ไม่กี่พันแล้วมาถามว่าแยกmp3 128k กะ FLAC หรือ Losslessออกไหม๊ โอ้วจ๊อต... ใครจะแยกได้หละท่าน
ถ้าเคยไปลองร้านเครื่องเสียงที่มีห้องลอง ให้เค้าเปลี่ยนสายลองได้เลยครับ พวกนั้นเค้าsystemถึงAcusticห้องถึง ได้ยินหมดอะครับ ถ้ายังจับไม่ได้ก็ยอมและครับ งั้นใช้อะไรก็ได้ครับเอาสบายใจและสบายกระเป๋าโชคดีแล้วที่ไม่ได้ยินจะได้ไม่เปลือง
Comment
Comment