Announcement

Collapse
No announcement yet.

ทฤษฎี ดิจิตอล (01) ไม่มีความแตกต่าง ..ด้านเสียง...ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • Originally posted by ghmhm View Post
    จากตรงนี้ไม่ทดลองง่ายๆโดยใช้คอมฯดูละครับ
    ใช้คอมฯชุดเดียวกันเล่นแผ่นซีดีอันเดียวกันแล้วเปลี่ยนแค่ตัว optical drive เอา
    แบบ ซีดีไดร์ฟ เหมือนกันแต่ต่างยี่ห้อ หรือเทีียบระหว่างซีดีกับดีวีดีไปเลยหัวอ่านจะได้ต่างกันไปแน่ๆ
    เพราะพวกนี้ไม่น่าจะมีการปรุงแต่งสัญญาณอะไรเพราะมันทำหน้าที่อ่านอย่างเดียวอยู่แล้ว
    ไม่มีข้อกำหนดครับ ...ใครใช้แบบไหนทดสอบ
    ก็มาบอกเล่าสิ่งที่ได้ทดลองมา ...ไม่สำคัญหรอกครับว่าผลที่ได้คืออะไร
    ต่างก็คือต่าง
    ไม่ต่างก็คือไม่ต่างครับ
    สิ่งที่ได้...คือ ...การแบ่งปันข้อมูล ...จากประสบการณ์ตรงครับ

    Comment


    • Originally posted by tugy View Post
      นอนไม่หลับครับ มาตอบดีกว่า เผื่อว่าจะง่วงบ้าง 555

      จริง ๆ แล้วการส่งสัญญาณจาก Sound card หรือว่า Sound Onboard

      แบบ Passthrough (พาสทรู)

      Pass through = เดินทางผ่าน ทำให้เคลื่อนผ่าน

      http://th.w3dictionary.org/index.php?q=pass%20through

      ซึ่งจากคำแปลก็น่าจะทราบพอจะเดา ๆ ได้ว่าสัญญาณจะเปลี่ยนหรือไม่ ซึ่งเขามักจะตั้งชื่อวิธีการ

      ส่งสัญญาณ ตามรูปแบบของสัญญาณที่ส่งอยู่แล้ว อันนี้เป็นเพียงแค่ข้อสังเกตุง่าย ๆ เฉย ๆ ครับ

      ซึ่งจริง ๆ แล้วการส่งแบบ Pass through สัญญาณ เป็นเพียงแค่การผ่านสัญญาณมาตรง ๆ

      โดยไม่มีการแก้ไขข้อมูลของสัญญาณเท่านั้น แต่ว่าการส่งข้อมูลไม่จำเป็นต้อง Pass through

      เสมอไปครับ สามารถ Decode จาก Soundcard ก่อนแล้วส่งเข้ามาให้ AVR ถอดได้ซึ่งเสียง

      ก็จะไปอ้างอิงตาม Soundcard-Onboard นั้น ๆ ที่ทำการส่งไป

      เมื่อมาถึงตรงนี้ผมอยากถามท่านเสือนะครับว่า คำถามเหล่านี้

      พูดถึงเรื่อง ทฤษฎี 01 ไม่มีความแตกต่าง ...อันนี้ก็อยากได้ความรู้เหมือน
      ถ้า 01 ไม่มีความแตกต่าง กรณีแผ่นเดียวกัน ข้อมูลเดียวกัน AVR+ลำโพง ตัวเดียวกัน
      เครื่องเล่น DVD ทุกเครื่อง ต่อสาย coax เข้า AVR เสียงเหมือนกันหมดทุกเครื่ิอง
      เครื่องเล่น BD ทุกเครื่อง ต่อสาย HDMI เข้า AVR เสียงเหมือนกันหมดทุกเครื่ิอง
      เครื่องเล่น HD Player ทุกเครื่อง ต่อสาย HDMI เข้า AVR เสียงเหมือนกันหมดทุกเครื่ิอง
      เพราะเสียงสุดท้ายก็อยู่ที่ AVR เป็นตัวแปลงมาอยู่ดี
      ตามหลักการควรเป็นเช่นนี้....แล้วในความเป็นจริงนี้เป็นอย่างไรครับ
      หรือว่าเรากำลังโดนหลอก..โดยเฉพาะ เครื่องเล่น BD ที่ต่างยี่ห้อต่างรุ่น ช่องว่างของราคาต่างกันเป็นหมื่น
      CDT ต่อสาย coax เข้า dacตัวเดียวกัน ออกแอมป์ตัวเดียวกัน เสียงเหมือนกันหมดทุกเครื่ิอง

      ------------

      กระทู้นี้ไม่ได้มาเพื่อข้อโต้แย้ง(เพื่อทะเลาะ) แต่เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค
      ถ้าจริง ได้เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อ เครื่องเล่น CDT DVD BD HD Player(ไม่จำเป็นต้องใช้ของแพง)
      ถ้าไม่จริง...ได้ล้างความเชื่อเก่าๆที่ผิดพลาด


      ที่ท่านได้ตั้งขึ้นมาผมลองมาคิด ๆ ดู เข้าใจเจตนาท่านดีครับ

      ว่าต้องการให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด


      เครื่องเล่น DVD ทุกเครื่อง ต่อสาย coax เข้า AVR เสียงเหมือนกันหมดทุกเครื่ิอง

      เครื่องเล่น BD ทุกเครื่อง ต่อสาย HDMI เข้า AVR เสียงเหมือนกันหมดทุกเครื่ิอง

      ท่านทราบได้อย่างไรว่าสัญญาณที่มาจาก DVD-BD ไม่ว่าจะมาทาง HDMI หรือว่า Coax

      เป็นสัญญาณที่มาเพียงแค่การ Pass through เท่านั้นไม่ผ่านการ Decode หรือว่าเปลี่ยนแปลง

      สัญญาณที่ได้จาก Source โดยผ่าน DAC ของ DVD-BD แล้วส่งสัญญาณที่ได้ แบบ Digital มายัง

      AVR ดังนั้นผมจึงอยากจะบอกท่านว่า คำถามนี้อาจจะไม่มีคำตอบครับ เพราะว่าคำถามกว้างเกินไปครับ

      สัญญาณ Digital มันมีหลายแบบครับ ทั้งส่งแบบ Pass through ที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจากต้นฉบับ

      และแบบผ่าน DAC ของตัวอ่านสัญญาณ ซึ่งน่าแปลกที่ตอบกันมา 10 กว่าหน้า ไม่มีใครแย้งหัวข้อคำถามนี้

      จนทำให้เกิดดราม่าแบบนี้ได้
      Originally posted by tugy View Post
      สรุปทุกคนเคลียร์กับคำถามกันหรือยังครับ

      ถ้ามาเถียงกันเรื่อง digital เปลี่ยนไม่เปลี่ยน

      โดยเทียบกับอุปกรณ์ที่ส่งมา โดยไม่คำนึงถึงวิธีการส่ง

      ผมว่ากำลังหลงทางกันอยู่ครับ สำหรับหลาย ๆ คนที่ร่วมดราม่ากัน

      ในตอนนี้ ถ้าเคลียร์กันแล้วผมจะได้นิ่ง ๆ อิอิ
      หลักการนี้...ใช้ไม่ได้
      กับคนที่เปลี่ยนสาย USB COAX ฟังแล้วเสียงแตกต่าง
      ส่วนคนที่เชื่อในหลักการ หรือฟังแล้วไม่แตกต่าง
      ก็จะว่า...คนที่ฟังแล้วแตกต่าง ว่า.....อุปทาน
      ไม่มีข้อยุติ...(จะกลายเป็นกระทู้ทะเลาะกันน่ะครับ)
      ใครลองมายังไงก็บอกไปอย่างนั้น....จะได้ประโยชน์กว่าครับ
      ----------------------

      ผมว่าข้ามขั้น ทษฤี หลักการ การวิชาการ ไปแล้วนะครับ
      เข้าสู่ขั้นทดลอง ใช้งานแล้ว ครับ
      -------
      ด้านบน อยู่ขั้น ทษฤี หลักการ วิชาการ เชิงเปรียบเทียบ (ได้ข้อสรุปแล้วไม่แตกต่าง)
      ด้านล่าง ขั้นตอนใช้งานจริง ของผู้บริโภค เน้นตรงนี้มากกว่าครับ ที่ยังไม่ได้สรุป

      Originally posted by tiger X-fi View Post
      ก่อนที่จะออกทะเล
      ตรงนี้ผมอยากได้ เชิงความรู้สึก-ทดลองฟังจริงๆ ประสบการณ์จริงมากกว่าครับ
      เพราะ..เราเป็นระดับ ผู้บริโภค สิ่งที่ได้ประโยชน์ คือ เอามาใช้งานจริงได้
      ข้อมูลดิบ แผ่น CD DVD BD
      ตัวแปร เครื่องเล่น CD DVD BD HD PC สายสัญญาณ
      ภาคแปลงสัญญาณ DAC AVR
      --------------
      ทฤษฎี ดิจิตอล (01) ไม่มีความแตกต่าง ..ด้านเสียง...ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

      แยกให้ชัดเจนอีกหน่อย

      ทฤษฎี ดิจิตอล (01) ไม่มีความแตกต่าง ..ด้านเสียง
      ในทษฤี หลักการ วิชาการ ดิจิตอล เป็น 01 เท่านั้น ไม่มีการเปลี่ยน
      ยิ่งหาข้อมูลเท่าไหร่ คำตอบเดียวเดียวก็คือ มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงจาก 01 ไปได้ ...เป็นที่ยอมรับทั่วไป

      ชัวร์หรือมั่วนิ่ม
      แต่ในส่วน ที่ใช้งานจริง
      จากข้อมูลดิบตัวเดียวกัน
      ตัวแปรที่ต่างกัน
      ภาคแปลงสัญญาณตัวเดียวกัน
      เสียงมีความแตกต่างกันหรือไม่ ....ตรงนี้ครับ..ที่อยากได้คำตอบ
      และเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ครับ
      -----------
      คำว่า ดิจิตอล กับระบบเสียงในตอนนี้เป็นอะไรที่หนีไม่พ้นแน่ๆครับ
      mp3 CD DVD BD ดิจิตอลทั้งนั้น
      เรื่องการฟังมันก็เหมือน เราเลือกชื้อ ลำโพง หูฟัง ทั่วไปครับ
      ถ้าเป็น หูฟังรุ่นไกล้เคียง แล้วถามว่าเสียงต่างมั๊ย
      คำตอบก็คือ
      ผมฟังไม่ต่างกัน ...ลองหลายรอบแล้ว (อะไรก็ว่ากันไป)
      หรือ
      เสียงต่างกัน เบสดีกว่า แหลมดีกว่า (อะไรก็ว่ากันไป)
      อยากได้อะไรประมาณนี้มากกว่าครับ


      ระดับผู้บริโภค..ใครมีแบบไหนก็ใช้แบบนั้นทดสอบ
      ต่างก็คือต่าง...ประสบการณ์จริง
      ไม่ต่างก็คือไม่ต่าง....ประสบการณ์จริง
      เรื่องผลลัพย์เดี๋ยวออกมาเองครับ...
      อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยเท่านั้น...ครับ

      Comment


      • ไปกันใหญ่จริงๆ ผมว่าเข้าใจกันผิดเยอะเลยนะท่านๆ ที่ท่าน เสือได้ตั้งมาทั้งหมดหมายความว่างัย ลองตีโจทย์ให้แตกก่อนครับ

        ท่านเสือเค้าหมายถึง สายสัญญาณ ที่รับส่งข้อมูล digital เท่านั่นว่าถ้าเปลื่ยนสายสัญญาณ แล้วจะมีผลต่อเสียงมัยหมายถึงว่าข้อมูลที่ได้มาเป็นสัญญาณ

        digital เนี้ย ถ้าถูกส่งผ่านสายสัญญาณ ไปแล้วจะมีผลเปลื่ยนแปลงมัย ไม่ใช่สายลำโพง สาย rac สายไฟ ac อะไรต่อมิอะไร สาย digital อย่างเดียวเท่านั่น

        ที่นำสัญญาณ มันมีผลต่อเสียงมัย เน้น เสียง ที่ผมลองแล้วต่างก็คือ สาย usb จากไฟล์เพลงในคอมต่อด้วย usb ไป dac ของ cambridge

        จาก dac ใช้ rac ไป intamp ฟังเสียงแล้วเก็บไว้ แล้วเปลื่ยนสาย usb เป็นของดีขึ้นมาเลย ต่อเหมือนเดิม ฟังแล้วเสียงเปลื่ยน งง เลย

        เมื่อวานลอง ยืม dac กับ สาย usb มาลองกัน งงเลย เอาแล้วสิคราวนี้ โหวต ไม่เปลื่ยนไปแล้วด้วย ตั้งหลักหาหนังสือเครื่องเสียงเก่าๆมาอ่าน

        อะพอมีเหตุผลบ้างแล้วเลยจะมาลองเล่าสู่กันฟัง ยาวนิดนะครับ

        จากผู้มีประสบการฟังเพลง digital มากมาย คุณ... ในหนังสือ audiophile บอกว่า ทุกวันนี้หนีไม่พ้นแล้วกับเสียง digital เราบริโภคกัน เป็น

        digital หมดแล้ว cd dvd bd ไฟล์เพลง ต่างๆ เค้าศึกษาและลองเล่นดูมากมาย สรุปว่า เครื่องเล่น cd dvd bd พวกนี้ให้เสียงผิดเพี้ยนขึ้นอยู่กับ

        หัวอ่าน, motor,เคสเครื่อง, ภาค dac ของแต่ละตัว มันถึงมีราคาต่างกันไป ถูกบ้าง สูงบ้าง ผมจับประเด็นที่อ่านได้ว่า ข้อมูลที่หัวอ่าน อ่านจาก

        แผ่น เป็นข้อมูล digital แล้วส่งข้อมูลไปที่ภาค dac แล้ว dac ถอดเป็น analog นั่น ที่มันจะเพี้ยนเพราะ motor ถ้าความเร็วต่างกัน จะส่งถ่ายข้อมูล

        digital (0 1 ) ไปที่ภาค dac ช้าเร็วต่างกัน dac จึงมีการประมวลผลได้ไม่เท่ากัน จึงเกิดเสียงที่ต่างกัน motorดีๆ ราคาสูงมากทำให้ เครื่องเล่นเล่านั่นราคาสูงไปด้วย

        ผมเลยคิดว่่า การส่งสัญญาณ 0 1 ใช่ครับมันต้นทางมาปลายก็ 0 1 เหมือนกันแต่ว่าความเร็วในการส่งไม่เท่ากัน ไม่สม่ำเสมอ อาจจะทำให้การประมวลผลได้แตกต่างกัน ( เรื่องเสียง )

        ที่ภาค dac ทีนี้ จึงมีคนหันมาเล่นจากต้นทาง(ไฟล์เพลงจาก com)แล้วใช้ dac แยกออกมา จึงเกิดสาย usb แล้วไอ้สาย usb ที่ต่างกันก็ตรงให้การถ่ายโอนข้อมูลนำพาสัญญาณ ได้เร็วช้าก็ต่างยี่ห้อต่างกัน

        จึงมีผลต่อเสียง แต่เสียงที่ดีต้องมาจากต้นทางที่ดี คือ ไฟล์ต้องดีก่อนจึงจะทำให้ผิดเพี้ยนน้อยที่สุด เอาล่ะสิ เมื่อวาน ฟังจาก ไฟล์ แล้ว เทียบกับ แผ่น cd ไม่ต่างเลย เพราะ amp ตัวเดียวกัน งั้นสงสัย

        ต้องเริ่มหันมา ศึกษา อุปกรณ์ dac และ พวก digitalphile ใหม่สะแล้ว

        ป.ล ปกติผมไม่เคยใช้ dac แยก เคยฟังบ้างแต่อคติว่า เสียงดีสู้ เครื่องเล่น cd ไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าในการบันทึกเสียงในห้องอัดทุกวันนี้เป็น digital หมดแล้ว ผมเนี้ยโง่จริงๆ เลย ต้องเริ่มคิดใหม่สะแล้ว (หรือกับไปเล่นแผ่นเสียง *-*)
        Last edited by kpmac; 6 Apr 2011, 17:57:28.

        Comment


        • มันต้อง ปิดตา เทสสิครับ
          ท่านฟังเพราะท่านเปลี่ยนเอง..

          ลอง ให้คนอื่นเปลี่ยนแบบไม่รู้ ไม่ต้องอธิบายคาแรคเตอร์

          อันดับแรก ให้คนฟังออกจากห้อง ให้คนเสียบสายหรือ เสียบเครื่องเล่น
          ให้คนฟัง เข้ามา เปิด ฟัง แล้วบอก อันนี้สายถูก หรือ เครื่องเล่นถูก หรืออันนี้ สายแพงเครื่องเล่นแพง
          ทำสลับไปมา 10 รอบ

          ไม่ต้องมีการ บอกแนวเสียงคาแรคเตอรต่างๆ

          ทำเป็นตารางง่ายๆ แค่ 2 ช่อง ถูก กับ แพง

          เช็คลงช่องนั้นๆไป ในแต่ละรอบ

          ท่านฟังรอบแรก ฟังแล้ว แล้วก็ ติ๊ถตามช่องว่า ไอ้ที่เปิดเนี่ยะ ถุก หรือ แพง จบ

          ออกจากห้อง คนเปลี่ยน จัดการเปลี่ยนสาย เปลี่ยนเครื่องเล่น
          เข้ามา ฟัง เชคถูก ระหว่าง เครื่อง/ สายถูก หรือ เครื่องแพง สายแพง

          ครบ 10 รอบ

          เอาตาราง คนเปลี่ยนเครื่องกัยสาย มา เทียบ กับคนฟัง

          ว่า ตรงกัน กี่ครั้ง คิดเป็น กี่ %

          ตามนี้ครับ ถึงจะชัดเจน เป็นหลัก สถิติ และ วิทยาศาตร์ที่สุด

          ประเด็นมัน อยู่ตรงนี้ครับ

          ผมคิดว่าแบบนี้ จะชัดเจนกว่าครับ

          จะเห็นชัดที่สุดครับ

          Comment


          • อ๋อ..ผมเหมารวมในส่วน ภาคดิจิตอลทั้งหมด ที่อยู่ในส่วนของดิจิตอล ครับ
            ข้อมูลดิบ แผ่น CD DVD BD
            ตัวแปร เครื่องเล่น CD DVD BD HD PC(การ์ด ออนบอร์ด) สายสัญญาณ
            ภาคแปลงสัญญาณ DAC AVR
            ------------------
            ในส่วนของข้อมูลดิบ มีความเที่ยงตรงสูงอยู่แล้ว
            ในส่วนภาคแปลงสัญญาณ ตรงนี้เกี่ยวเนื่องด้วยอนาล็อคทำให้เสียงต่างกันออกไป
            ในส่วนของตัวแปร นี่แหละครับที่เป็นประเด็น...ทดลองครับ

            Comment


            • Originally posted by tsx_max View Post
              มันต้อง ปิดตา เทสสิครับ
              ท่านฟังเพราะท่านเปลี่ยนเอง..

              ลอง ให้คนอื่นเปลี่ยนแบบไม่รู้ ไม่ต้องอธิบายคาแรคเตอร์

              อันดับแรก ให้คนฟังออกจากห้อง ให้คนเสียบสายหรือ เสียบเครื่องเล่น
              ให้คนฟัง เข้ามา เปิด ฟัง แล้วบอก อันนี้สายถูก หรือ เครื่องเล่นถูก หรืออันนี้ สายแพงเครื่องเล่นแพง
              ทำสลับไปมา 10 รอบ

              ไม่ต้องมีการ บอกแนวเสียงคาแรคเตอรต่างๆ

              ทำเป็นตารางง่ายๆ แค่ 2 ช่อง ถูก กับ แพง

              เช็คลงช่องนั้นๆไป ในแต่ละรอบ

              ท่านฟังรอบแรก ฟังแล้ว แล้วก็ ติ๊ถตามช่องว่า ไอ้ที่เปิดเนี่ยะ ถุก หรือ แพง จบ

              ออกจากห้อง คนเปลี่ยน จัดการเปลี่ยนสาย เปลี่ยนเครื่องเล่น
              เข้ามา ฟัง เชคถูก ระหว่าง เครื่อง/ สายถูก หรือ เครื่องแพง สายแพง

              ครบ 10 รอบ

              เอาตาราง คนเปลี่ยนเครื่องกัยสาย มา เทียบ กับคนฟัง

              ว่า ตรงกัน กี่ครั้ง คิดเป็น กี่ %

              ตามนี้ครับ ถึงจะชัดเจน เป็นหลัก สถิติ และ วิทยาศาตร์ที่สุด

              ประเด็นมัน อยู่ตรงนี้ครับ

              ผมคิดว่าแบบนี้ จะชัดเจนกว่าครับ

              จะเห็นชัดที่สุดครับ
              คงไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ....ใครทดสอบมายังไงรับรู้กับแบบไหน
              มาแบ่งบันประสบการณ์การกันก็พอครับ

              Comment


              • ผมว่า มันจำเป็นนะครับ ถ้าจะพูดถึงเรื่อง วิทยศาสตร์ หรือ สถิติ

                เหมือน GT 200 ไงครับ ....อิอิ

                Comment


                • Originally posted by tsx_max View Post
                  ผมว่า มันจำเป็นนะครับ ถ้าจะพูดถึงเรื่อง วิทยศาสตร์ หรือ สถิติ

                  เหมือน GT 200 ไงครับ ....อิอิ
                  ข้อมูลตรง...จากประสบการณ์จริง...ผมว่าเป็นสถิติที่ดีที่สุดครับ

                  Comment


                  • ผมเป็นนักวิชาการ และอยู่กับเสียงดนตรีในห้องบันทึกเสียงมานานนับ 20 ปี

                    เนื่องจากไม่อยากพิมพ์ยาว ผมอยากสรุปสั้นๆ ดังนี้

                    ผมขอแสดงความคิดเห็นตามหัวข้อกระทู้คือ เมื่อ data เป็น 0 กับ 1 เหมือนกัน จขกท. คงคิดว่าน่าจะได้ยินเสียงเหมือนกันใช่ไหมครับ

                    แต่จริงๆแล้ว เสียงที่เราได้ยินนั้น มันไม่ใช่ได้ยินจาก raw signal หรือ raw data แบบ 0 กับ 1 นี้ไงครับ ต้องใช้อุปกรณ์ถอดรหัสมันออกมา และเมื่ออุปกรณ์ถอดออกมาแล้ว ก็ต้องผ่าน output เช่น ลำโพง หรือหูฟังอีกที และนี่ยังไม่พอครับ เส้นประสาทหูของแต่ละคนที่มีประสิทธิภาพไม่เท่ากกันอีก การได้ยินความถี่ของเสียงที่มาถึงหู ก็แตกต่างกันอีก ยังไม่รวมตำแหน่งของลำโพง และสถานที่ที่เสียงวิ่งออกมาถึงหูอีกครับ

                    ดังนั้น มีปัจจัยอีกมากมายที่ทำให้คนเราได้ยินเีสียงแตกต่างกันออกไป ตั้งเครื่องเสียงถอดรหัส ผ่านสาย ผ่านลำโพง ผ่านอากาศ ผ่านบรรยากาศของสถานที่ ผ่านหู ไปแปลผลลัพธ์ที่สมองอีกทีนึง การตีความสมองขึ้นกับความรู้ ประสบการณ์ ความสามารถของเส้นประสาท การแลกเปลี่ยนข้อมูลของ Neural Networks ในสมองอีก

                    ดังนั้นประเด็นของเสียงที่แตกต่างจึงไม่ใช่แค่รหัส 0 กับ 1 แล้วครับ

                    http://www.guitarcool.com

                    Comment


                    • Originally posted by tiger X-fi View Post
                      อ๋อ..ผมเหมารวมในส่วน ภาคดิจิตอลทั้งหมด ที่อยู่ในส่วนของดิจิตอล ครับ
                      ข้อมูลดิบ แผ่น CD DVD BD
                      ตัวแปร เครื่องเล่น CD DVD BD HD PC(การ์ด ออนบอร์ด) สายสัญญาณ
                      ภาคแปลงสัญญาณ DAC AVR
                      ------------------
                      ในส่วนของข้อมูลดิบ มีความเที่ยงตรงสูงอยู่แล้ว
                      ในส่วนภาคแปลงสัญญาณ ตรงนี้เกี่ยวเนื่องด้วยอนาล็อคทำให้เสียงต่างกันออกไป
                      ในส่วนของตัวแปร นี่แหละครับที่เป็นประเด็น...ทดลองครับ
                      ถ้าเปลี่ยนตัว transport เสียงก็ต่างนะคับ ถ้าเรื่องซาวน์การ์ดนี่กระทู้เก่าอธิบายไว้แล้วว่าซาวน์การ์ดหลายๆตัวมีโปรแกรมแปลงเสียงก่อนส่งออกไปทาง s/pdif ทำให้เสียงต่างกันได้ถึงแม้จะใช้ DAC ถอดรหัสตัวเดียวกัน ส่วนเรื่องเครื่องเล่นซีดี, ดีวีดี นั้นถึงแม้จะแค่อ่านข้อมูลเสียงแล้วส่งผ่านไปให้ DAC เฉยๆแต่เหมือนว่าเสียงก็ยังจะต่างอยู่นะคับ (แต่อันนี้ไม่ได้ทดลอง) เห็นทฤษฏีเขาว่าเป็นเรื่องความนิ่งของหัวอ่านอะไรเนี่ยแหล่ะ

                      Comment


                      • ประสบการณ์ สาย toslink ของผม ซึ่งมันไม่ถูกรบกวนจากพวกน๊อยส์ต่างๆ ตามคุณสมบัติของสาย
                        ระบบบ้านๆ
                        wdtv ปล่อย flac -> super pro dac -> สายสัญญาณจำไม่ได้ -> nad315bee -> สายลำโพง vandan hul goldwater -> psb alpha b1
                        แหล่งไฟ 12vdc ใช้ powerbox ที่ขายกันในนี้ คุณภาพก็ดีในระดับนึง

                        สาย toslink 1 เมตร ราคา 150
                        สาย toslink 1.8 เมตร ราคาไม่เกิน 500

                        สายเส้น 1 เมตรฟังเพลงไม่ได้เรื่อง ฟังไม่เกินครึ่งชั่วโมงปวดหัว เสียงดนตรีมันตีกัน ด้วยความที่ super pro มันต่อ usb ได้ เลยเอาคอมมาต่อเสียงดีกว่ามากมาย แต่ประเด็นนี้เอามาวัดไม่ได้ ความต้องการผมแค่อยากให้เสียบ toslink แล้วเสียงมันใกล้เคียงกับแบบเสียบ usb ก็พอแล้ว เรื่องสาย toslink เลยไม่ได้สนใจ จนวันนึงนึกได้ว่ามีอีกเส้น 1.8 เมตรต่อชุดโฮมดูหนังอยู่เลยเอามาลอง แค่เสียบฟังครั้งแรกก็รู้เลยว่าเสียงมันเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนจนงง ฟังเพลงเพราะขึ้นมาก

                        เช่นเพลง Fleetwood Mac - dream แทรคนี้เสียงกีตาร์ชัดขึ้นมาก ของเดิมฟังไม่ออกว่ามันเล่นยังไง ไม่ใช่ว่าต่างนิดหน่อย แต่มันต่างจนงง แล้วสายเส้นละ 150 มันห่วยไม่ผ่านมาตรฐานหรือเปล่า ผมก็ไม่ทราบเพราะมันก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร

                        toslink จะมีเรื่อง แบนวิธกับ jitter มาเกี่ยวข้องด้วย แต่เพลงผมก็แค่ 44.1khz ธรรมดา ไม่รู้จะเกี่ยวกับกระทู้หรือเปล่า แต่สำหรับผมสาย toslink มีผลกับเสียงแน่นอน

                        ข้อมูล optical toslink
                        http://www.audioholics.com/education...history-basics

                        Comment


                        • เห็นด้วยกับความเห็นท่านtugyในหน้า12คับสาเหตุจากการออกทะเลหลงประเด็นทั้งที่กระทู้ถามเรื่องAVR YAMAHAต่อดูหนังด้วยSoundแยกหรือOnBoardดี หลงประเด็นเรื่องพาสทรูโดยเอาไปรวมกับการส่งสัญญาณDigitalในรูปแบบอื่นไม่งั้นกระทู้นี้ไม่เกิด หน้า12ชนะเลิศ

                          Comment


                          • จากประสปการณ์ผม ผมต้องเดินทางไปทำงานหลายที่ ไปใช้เครื่องของบริษัท ในที่อื่นๆ ผมเอา DAC ถูกๆที่เพื่อนเราทำขาย และ หูฟัง PHILLIP ราคาพันนิดๆ ที่ขายใน LOTUS แต่มันใช้ฟังออกว่าอันใหน FLAC อันใหน MP3 320K น่ะนะครับ WINDOWS เดียวกันคือ XP ใช้ FOOBAR VER เดียวกัน แต่ CPU ไม่ใช่ บางทีตัวนึงเป็น AMD อีกตัวนึง เป็น INTEL SOUTHBRIDGE ที่คุม USB ก็คนละตัวกัน ต่อ DAC ผ่านสาย USB ถูกๆที่ใช้ต่อตัวแปลง RS 232 ซึ่งมันก็อ่านค่าจาก PLC ได้ตรง ไม่ผิด ไม่หาย ใช้หากินได้ เปิดเพลงเดียวกันจาก USB DRIVE ตัวเดียวกัน เสียงที่ได้ก็เหมือนกัน ไม่มีเพี้ยนจนรู้สึกได้เสียงกีตาร์ก็ยังหวานหูเหมือนเดิม
                            Last edited by ssk; 6 Apr 2011, 17:01:53.

                            Comment


                            • ตรงนี้ความคิดเห็นท่านนึง ก่อนทดสอบ และหลังทดสอบ
                              (ได้ขออณุญาตจากเจ้าของความคิดเห็นแล้ว)
                              ----------
                              ก่อนทดสอบ
                              Originally posted by kpmac View Post
                              โหว่าจะไม่เข้ามาอ่านล่ะ เห็นแปปเดียว ไล่กันยาวเลย หลายเวป มีคนเปิดประเด็นแบบนี้ มันไม่จบเหรอครับ ผมเลยไม่ค่อยอยากอ่าน วันนี้ลองอ่านดู โหเหมือนเดิมๆที่หลายเวปเถียงกัน

                              เอาเป็นว่า ผมเนี้ยว่า digital ส่ง 0 1 จริงๆๆๆ อย่างที่ ท่าน veza ว่านะครับ อยากให้ลองแบบนี้ครับ ใช้ชุดทดสอบเดิมๆ ไม่ต้องเปลื่ยน แต่ สลับสาย hdmi เลยอย่างเดียว ผมลองแล้ว เสียงไม่เปลื่ยนจริงๆ

                              แต่ถ้าภาพ เนี้ยผมงง ว่ามันเปลื่ยน คับ ผมเลยมาดูสเปก ที่เปลื่ยนเล่น มันต่างกันที่การให้ความเร็วสัญญาณคับ เส้นที่ให้ความเร็วมากกว่าและค่า hz มากกว่า ภาพคมกว่าสว่างกว่าเห็นๆ ทีวีที่เล่นเป็น 240 hz นะครับ

                              ผมกับเพื่อน ถ่ายรูปเทียบเลย ต่างจริงๆ ลองเล่นดูครับ แต่เสียงผมเห็นด้วยกับ ท่าน veza ครับ เพราะมันผ่านมางัยออกงันไอ้เจ้า digital คับ ลองฟังแล้วฟังไม่ออก จริงๆครับ เลยสรุปกับตัวเองว่า สาย hdmi ที่แพง

                              ให้ภาพที่ดีกว่าจริง แต่เสียงผมว่าเหมือนกันครับ ลองทั้งฟังเพลง และดูหนัง ฟังไม่ออกจริงๆ จนยอมมาจับผิด analog เหมือนเดิมดีกว่า 5555 ( เสียง digital จะเปลื่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับ dacของเครื่องเล่น จริงๆ )
                              Originally posted by kpmac View Post
                              ใช่ท่าน ผมก็เลยงงงัย เลยเอามาแชร์กันว่า ตกลงแล้วถ้าความไวในการส่งสัญญาณ digital และค่า hz มากกว่า และค่า smooth bit มากกว่ามันมีผลต่อภาพอย่างเดียวหรือเปล่า คือเข้าใจว่า

                              สายที่แพง กับ ถูกลงมา มันเน้นภาพมากกว่า เสียงรึเปล่า หรือว่าค่าที่มันไวขึ้น smooth ขึ้นมันมีผล ที่ avr ที่มีวงจร Upscaleภาพ อย่างเดียวรึเปล่า เสียงถึงได้เหมือนเดิม อะท่านเป็นไปได้มัย

                              แต่ให้ตายเหอะ ผมฟังไม่ต่างจริงๆ หรือว่าต่างผมว่าไม่เกิน 5% อะ ถ้าเป็นไปได้นะครับ สายที่ผมลอง m2000 แท้ครับชัวร์ของเพื่อน ของผมที่เอามาลองของอมร 900 บาท v1.3 ทั้งคู่ครับ
                              Originally posted by kpmac View Post
                              +1 เลยท่านตามนั่น เห็นด้วยครับ ผมว่ากลับมาเล่นเสียง analog เดิมๆของผมมันส์กว่าเยอะ เหอๆๆ
                              --------------------
                              หลังทดสอบ
                              Originally posted by kpmac View Post
                              ไปกันใหญ่จริงๆ ผมว่าเข้าใจกันผิดเยอะเลยนะท่านๆ ที่ท่าน เสือได้ตั้งมาทั้งหมดหมายความว่างัย ลองตีโจทย์ให้แตกก่อนครับ

                              ท่านเสือเค้าหมายถึง สายสัญญาณ ที่รับส่งข้อมูล digital เท่านั่นว่าถ้าเปลื่ยนสายสัญญาณ แล้วจะมีผลต่อเสียงมัยหมายถึงว่าข้อมูลที่ได้มาเป็นสัญญาณ

                              digital เนี้ย ถ้าถูกส่งผ่านสายสัญญาณ ไปแล้วจะมีผลเปลื่ยนแปลงมัย ไม่ใช่สายลำโพง สาย rac สายไฟ ac อะไรต่อมิอะไร สาย digital อย่างเดียวเท่านั่น

                              ที่นำสัญญาณ มันมีผลต่อเสียงมัย เน้น เสียง ที่ผมลองแล้วไม่ต่างก็คือ สาย usb จากไฟล์เพลงในคอมต่อด้วย usb ไป dac ของ cambridge

                              จาก dac ใช้ rac ไป intamp ฟังเสียงแล้วเก็บไว้ แล้วเปลื่ยนสาย usb เป็นของดีขึ้นมาเลย ต่อเหมือนเดิม ฟังแล้วเสียงเปลื่ยน งง เลย

                              เมื่อวานลอง ยืม dac กับ สาย usb มาลองกัน งงเลย เอาแล้วสิคราวนี้ โหวต ไม่เปลื่ยนไปแล้วด้วย ตั้งหลักหาหนังสือเครื่องเสียงเก่าๆมาอ่าน

                              อะพอมีเหตุผลบ้างแล้วเลยจะมาลองเล่าสู่กันฟัง ยาวนิดนะครับ

                              จากผู้มีประสบการฟังเพลง digital มากมาย คุณ... ในหนังสือ audiophile บอกว่า ทุกวันนี้หนีไม่พ้นแล้วกับเสียง digital เราบริโภคกัน เป็น

                              digital หมดแล้ว cd dvd bd ไฟล์เพลง ต่างๆ เค้าศึกษาและลองเล่นดูมากมาย สรุปว่า เครื่องเล่น cd dvd bd พวกนี้ให้เสียงผิดเพี้ยนขึ้นอยู่กับ

                              หัวอ่าน, motor,เคสเครื่อง, ภาค dac ของแต่ละตัว มันถึงมีราคาต่างกันไป ถูกบ้าง สูงบ้าง ผมจับประเด็นที่อ่านได้ว่า ข้อมูลที่หัวอ่าน อ่านจาก

                              แผ่น เป็นข้อมูล digital แล้วส่งข้อมูลไปที่ภาค dac แล้ว dac ถอดเป็น analog นั่น ที่มันจะเพี้ยนเพราะ motor ถ้าความเร็วต่างกัน จะส่งถ่ายข้อมูล

                              digital (0 1 ) ไปที่ภาค dac ช้าเร็วต่างกัน dac จึงมีการประมวลผลได้ไม่เท่ากัน จึงเกิดเสียงที่ต่างกัน motorดีๆ ราคาสูงมากทำให้ เครื่องเล่นเล่านั่นราคาสูงไปด้วย

                              ผมเลยคิดว่่า การส่งสัญญาณ 0 1 ใช่ครับมันต้นทางมาปลายก็ 0 1 เหมือนกันแต่ว่าความเร็วในการส่งไม่เท่ากัน ไม่สม่ำเสมอ อาจจะทำให้การประมวลผลได้แตกต่างกัน ( เรื่องเสียง )

                              ที่ภาค dac ทีนี้ จึงมีคนหันมาเล่นจากต้นทาง(ไฟล์เพลงจาก com)แล้วใช้ dac แยกออกมา จึงเกิดสาย usb แล้วไอ้สาย usb ที่ต่างกันก็ตรงให้การถ่ายโอนข้อมูลนำพาสัญญาณ ได้เร็วช้าก็ต่างยี่ห้อต่างกัน

                              จึงมีผลต่อเสียง แต่เสียงที่ดีต้องมาจากต้นทางที่ดี คือ ไฟล์ต้องดีก่อนจึงจะทำให้ผิดเพี้ยนน้อยที่สุด เอาล่ะสิ เมื่อวาน ฟังจาก ไฟล์ แล้ว เทียบกับ แผ่น cd ไม่ต่างเลย เพราะ amp ตัวเดียวกัน งั้นสงสัย

                              ต้องเริ่มหันมา ศึกษา อุปกรณ์ dac และ พวก digitalphile ใหม่สะแล้ว

                              ป.ล ปกติผมไม่เคยใช้ dac แยก เคยฟังบ้างแต่อคติว่า เสียงดีสู้ เครื่องเล่น cd ไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าในการบันทึกเสียงในห้องอัดทุกวันนี้เป็น digital หมดแล้ว ผมเนี้ยโง่จริงๆ เลย ต้องเริ่มคิดใหม่สะแล้ว (หรือกับไปเล่นแผ่นเสียง *-*)

                              Comment


                              • Last Reply

                                ผมบอกแล้วกระทู้แบบนี้ยังไงก็ไม่จบ ใครฟังต่างก็เรื่องของแต่ละคน ผมย้ำแล้วย้ำอีก

                                แล้วที่ว่าจะเอาให้จบให้ได้ สุดท้าย ท่านก็ให้ไปลองกันเอง ลองแล้วมาบอก

                                ไอ้การลองแล้วมาบอก ผมมองว่าไม่มีประโยชน์

                                1. บางคนรีโมทคว่าหงายยังฟังว่าเสียงต่าง

                                2. บางคนให้พ่อกดรีโมท แม่กดรีโมท ลูกกดรีโมท ใครกดรีโมทเสียงยังแตกต่างกันไปได้

                                3. บางคนใช้รีโมทPlay กับเดินเอานิ้วไปกดPlayที่เครื่องยังว่าเสียงต่าง

                                4. บางคนใช้นิ้วโป้งกดPlay นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้งนาง กดPlay เสียงยังแตกต่างกันทุกนิ้ว

                                แบบนี้จะมีประโยชน์อะไรครับ เผลอๆเอามือซ้าย มือขวาเลื่อนเมาส์ไปกดปุ่ม Play ใน Foobar เสียงก็ยังจะต่างอีก

                                ตอนเสียบสายเข้าช่องใช้มือซ้ายมือขวา ไม่เหมือนกันต่างอีก

                                ไม่มีประโยชน์ใดๆอีกต่อไป หูใครหูมัน อ่านแล้วก็ต้องใช้วิจารณญาณกันเอาเองครับ

                                Comment

                                Working...
                                X