Announcement

Collapse
No announcement yet.

ทฤษฎี ดิจิตอล (01) ไม่มีความแตกต่าง ..ด้านเสียง...ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • R หรือ C ขาทอง ขาเงิน หรือวัสดุเติมใน C ไม่ให้ผลมากเท่ากับค่าทางไฟฟ้าของตัวอุปกรณ์ครับ
    AMP Studio MORNITER หรือ AMP REF หลายๆตัว ก็ไม่ได้ใช้วัสดุเกรดนี้ครับ
    ใช้กลางๆ แต่คุณภาพดีและเที่ยงตรงมากกว่าครับ ถ้าเปลี่ยนค่าอุปกรณ์ไปเสียงมันเปลี่ยนแบบเห็นผล คือ ไครฟังก็รู้นะครับ

    Comment


    • ให้เปลี่ยนค่า หรือตัวเครื่องเล่นยังไง
      เช่นเปลี่ยนไปเล่น sacd/dsd dac
      มันก็หนีไม่พ้น ใช้ R C โลหะ(ลาย PCB /สายเดินในเครื่อง) อยู่ดี
      แล้ว R C แต่ละยี่ห้อ แต่ละเกรด แต่ละวัสดุที่ทำ ก็มีแนวเสียงต่างกันไปอยู่ดี
      แล้วแต่ละบริษัทที่ทำตัวเครื่อง ก็ใช้วัสดุต่างกันอยู่ดีครับ

      Comment


      • ไม่ได้ชี้นำน่ะว่าแบบไหนดีกว่า
        แค่จะบอกว่ามันมี เพราะเรปบนของอีกท่านบอกว่าไม่มีอยู่ก็กลัวเข้าใจผิดกัน

        วัสดุเติมในcนี้ไม่แน่ใจว่าหมายถึงพวก ชนิดของc รึเปล่า
        พวกpe pp หรืออื่นๆ มันมีค่าทางstatต่างกัน
        ชนิดเดียวกันก็มีหลายรุ่นหลายเกรด มีเทคนิคที่ใส่เข้าไป
        อย่างbennicก็แบ่งไว้เลยรุ่นสูงกว่าก็low lossกว่า

        ถ้าจะเอาสเตตมันก็ยาวน่ะ หาอ่านก็ปวดกะบาลแหล่ะ แถมวิธีวัดที่ทำกันส่วนใหญ่กันมันครอบคลุมหมดรึยัง

        แต่บางตัวก็ไม่รู้ว่าทำไมมันแพงกว่าชาวบ้านที่เป็นชนิดเดียวกัน แต่ใช้แล้วมันก็มีแนวเสียงมัน
        เรื่องอะไหล่ผมก็ไม่ได้นิยมของแพงกว่าเสมอไป
        แต่ก็น่ะ มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไหล่อย่างเดียว มันเป็นเรื่องวงจรด้วยว่าใช้อะไรยังเหมาะสมตรงจุดรึเปล่า

        Comment


        • ตรงนี้อธิบายหน่อยดีกว่า...เผื่อคนอ่านจะงง
          Originally posted by ssk View Post
          R หรือ C ขาทอง ขาเงิน หรือวัสดุเติมใน C ไม่ให้ผลมากเท่ากับค่าทางไฟฟ้าของตัวอุปกรณ์ครับ
          AMP Studio MORNITER หรือ AMP REF หลายๆตัว ก็ไม่ได้ใช้วัสดุเกรดนี้ครับ
          ใช้กลางๆ แต่คุณภาพดีและเที่ยงตรงมากกว่าครับ ถ้าเปลี่ยนค่าอุปกรณ์ไปเสียงมันเปลี่ยนแบบเห็นผล คือ ไครฟังก็รู้นะครับ
          ตรงนี้ คุณssk น่าจะหมายถึง(ไม่รู้เข้าใจถูกหรือป่าว)
          เพลงเดียวกัน ถูกบันทึกข้อมูลที่ต่าง เช่น CD กับ SACD ที่บิทเรทต่างกันมาก เช่น
          CD>เครื่องเล่นCD dac ในตัว หรือ CD player- dac เทียบกับ
          SACD>เครื่องเล่นSACD dac ในตัว หรือ SACD player- DSD dac
          จะเห็นผลได้เจนว่าเสียงต่างกัน

          Originally posted by tiger X-fi View Post
          ให้เปลี่ยนค่า หรือตัวเครื่องเล่นยังไง
          เช่นเปลี่ยนไปเล่น sacd/dsd dac
          มันก็หนีไม่พ้น ใช้ R C โลหะ(ลาย PCB /สายเดินในเครื่อง) อยู่ดี
          แล้ว R C แต่ละยี่ห้อ แต่ละเกรด แต่ละวัสดุที่ทำ ก็มีแนวเสียงต่างกันไปอยู่ดี
          แล้วแต่ละบริษัทที่ทำตัวเครื่อง ก็ใช้วัสดุต่างกันอยู่ดีครับ
          ตรงนี้ผมหมายถึง ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นSACD player
          แล้วก็ตาม SACD player ที่ 2บริษัท ทำอออกมา
          ย่อมให้เสียงต่างกัน เพราะใช้วัสดุต่างกัน
          จะมาก-จะน้อย ก็อยู่ที่วัสดุ-อุปกรณ์ แต่มีส่วนต่างด้านเสียง
          มาให้รับรู้แน่นอนครับ
          Last edited by tiger X-fi; 7 Dec 2013, 16:20:24.

          Comment


          • ผิดครับ ผมอธิบายตรงตัวเลยครับ คือ วัสดุต่างๆที่ใช้ทำอุปกรณ์ ให้ผลน้อยมาก ถ้าอุปกรณ์นั้นๆ ทำงานตรงตาม SPEC กล่วคือ C 100 Uf หรือ R 100K ถ้ามันทำงานตามค่านั้นๆ
            ไม่เบี่ยงเบนมาก เมื่อเทียบกับ อุปกรณ์เดียวกันญี่ห้ออื่น มันจะไม่ต่างครับ แต่ถ้า มันเพื้ยนเป็น 101 -102 การใช้งาน เสียงจะเปลี่ยน ที่เราคุยคือผลของอุปกรณ์ในภาค ANALOG ที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อแล้วครับ ซึ่งการเปลี่ยนค่าแบบที่เราโมอุปกณณ์ เช่น OPAMP C R L มันทำให้ค่าของระบบเปลี่ยน เสียงมันก็เปลี่ยนแบบเห็นได้ชัด แต่แค่ขาอุปกรณ์เคลือบเงิน
            แบบนี้ไม่ชัด ฟัง 10 คนอาจจะ 10 แบบ หรือแยกไม่ออก กว่าครึ่งก็มี

            สุดท้ายผมมี Article ของ USB DAC ที่ใช้ระบบ Asynchronous คือ การส่งข้อมูลไม่ REALTIME แต่ส่งไปพักใน BUFFER และมีการสื่อสาร 2 ทางระหว่างตัวรับ-ส่ง ตามที่พูดไว้หลายปีแล้วมาฟากครับ

            http://www.soundstagehifi.com/index....thods&catid=69

            คือผมไม่แย้งในภาคอนาล็อคเลย จะแย้งเล็กๆน้อยเรื่องของอุปกรณ์ต่างๆบ้าง เพื่อเตือนให้คิดถึงเรื่องของค่าอุปกรณ์ให้มากกว่าวัสดุ น่ะครับ
            Last edited by ssk; 8 Dec 2013, 11:11:02.

            Comment


            • เหตุผลเดียว กันกับสายสัญญาณ
              ในส่วนตัวนำไฟฟ้า(โลหะ) ซึ่งรู้กันทั่วไปว่า โลหะต่างชนิดกันและความยาวเท่ากัน มีค่าความต้านทาน และนำไฟฟ้าไม่เหมือน หรือลวดโลหะชนิดเดียวกัน มีขนาดต่างกัน และความยาวเท่ากัน จะมีความต้านทานต่างกัน
              C R L ค่าเดียวแต่ละยี่ห้อ แต่ละเกรด แต่ละวัสดุที่ทำ เสียงไม่เหมือนกันค่าแฝง(C R L )ในตัวต่างกัน
              การทำงานทางด้านไฟฟ้าต่างกัน
              ทำงานได้ดีที่ความถี่ต่างกัน
              ในส่วนของดิจิตอล ก็ยังเป็นไฟฟ้าอยู่ดี
              ตามที่บอกว่า C R ไม่มีผล ได้ทดลองบ้างยังครับ

              ------------
              Asynchronous
              ผมเคยเอ่ยไว้แล้วในนี้
              จับผี...อะไรคือความแตกต่างด้านเสียง.. ส่วนของระบบดิจิตอล
              http://www.overclockzone.com/forums/...B8%AD%E0%B8%A5
              -----------
              ถ้าพูด ถึงแค่เรื่อง jitter
              มันไม่ได้หมายความว่าไม่มี เพียงแต่มีน้อยกว่าแบบอื่นเท่านั้นเอง
              ยังไงก็ต้องมีลายPCB สายส่งข้อมูล หนีไม่พ้นเรื่อง ตัวนำไฟฟ้า(โลหะ) อยู่ดี
              -------
              การส่งแบบ2ทาง เหมือน การก็อปปี้ขัอมูล
              การโอนถ่ายข้อมูลแบบดาต้า
              มันยังไม่สามารถ คุมข้อมูลเวลา ให้ไปพร้อมกันได้
              ทดลองให้ดูแล้ว ..ในกระทู้จับผี
              ทั้งที่
              ขนาดข้อมูลมีขนาด3.45 GB
              PC ผมมีแรมขนาด4GB(buffer ขนาดใหญ่)
              แต่ไม่สามารถทำจะให้ควบคุมสัญญาณข้อมูลกับสัญญาณนาฬิกา ให้ไปเสมอกันได้ครับ
              Last edited by tiger X-fi; 8 Dec 2013, 11:41:51.

              Comment


              • เคยแล้วสิครับ ลองทั้งเปลี่ยนค่าเดิม ต่างเกรด กับ เปลี่ยนค่า ถึงบอกได้น่ะครับ เคยลองประกอบลองโม ตอนเล่นใหม่ๆ จนพังเป็นตัวๆเหมือนกัน

                แล้วบทความนี้เขาพูดถึง CLOCK JITTER เนื่องจากอะไร Time Syncronus ระหว่างคอมกับ DAC ใช่มั้ยครับ แต่ได้อ่านมั้ยว่าเขาส่งข้อมูลแบบ TIME FRAME คือส่งมาแบบว่า วินี้เสียงอะไร เหมือนส่ง Director มาสั่งวง Orchestra น่ะว่าตัวใหน คีย์อะไร เขาคุยถึง Bidirectional ที่มีการส่งข้อมูลกลับไปมาระหว่างกัน ได้อ่านดูมั้ยครับ หรือเอาแค่ JITTER ก็จะ FOCUS อยู่แค่นั้น JITTER มันขึ้นกับ DAC แล้วล่ะว่า CLOCK แม่นขนาดใหนนะครับ เขาชี้แจงแล้วว่า TECHNOLOGY มันเปลี่ยนแล้ว เขาเลิกใช้ REALTIME Streamnig แล้ว แต่ส่งก้อนข้อมูลไปให้ DAC จัดการตามสบายน่ะครับ ทีนี้ดีไม่ดีขึ้นกับตัว DAC นั่นแหละ ไม่ใช่ตัวข้อมูลที่คอมส่งให้แล้วล่ะครับ

                แต่ตอนนี้ตาไม่ค่อยดีเลิกนานแล้วล่ะครับ เออเห็นกระทู้นึงมีลำโพงแบบ แยก DAC แยก AMP ซ้ายขวา ราคาไม่แรง 20000 นิดๆ มีไครลองมั่งยังครับ


                นั่นละระบบในอุดมคติผม เผื่อดีจะได้เอามาลองมั่ง
                - อ้อย่าคิดว่าผมบ้า DIGITAL นะ ออกจาก DAC เข้า T-AMP นี่ผมเถียงตายเลย ออกจาก DAC ต้องเข้า ANALOG AMP ดีๆนั่นแหละ
                Last edited by ssk; 8 Dec 2013, 11:37:12.

                Comment


                • อันนี้คือเข้าใจไม่ตรงกันในคำพูด

                  ท่านบอกว่าค่าทางไฟฟ้า แต่ค่าทางไฟฟ้ามันมีหลายตัว ท่านไม่ได้บอกเจาะจงเองว่าค่าไหน
                  อย่างcนอกจากค่าเก็บประจุ มันมี ค่าความคลาดเคลื่อนของค่าเก็บประจุ ESR ESL leaking current temp coeff. บลาๆ

                  จะบอกว่าวัสดุในการทำนั้นมีผลต่อค่าทางไฟฟ้าบางตัว
                  ไม่ได้บอกว่ามีผลทางดิจิตอลยังไง (ผมเอ่ยขึ้นมาตอนนี้ ก็เลยเข้าใจว่าหมายถึงมีผลทางดิจิตอลล่ะมั้ง)

                  ค่าพวกนี้ก็แล้วแต่วงจรจุดนั้นว่าต้องการยังไง

                  Comment


                  • มันเป็นเรื่องทาง ANALOG DA-AD ผลมันต้องไปวัด BIT DIFF ทางเข้าออกแบบที่คนก่อนๆเขาลองให้ดู ว่าข้อมูลตรงใหม
                    RLC มันเป็นส่วนนอกของ DAC-CHIP

                    - ผมจะชี้อีกอย่างนึง มีคนชอบบอกว่า DAC แต่ละตัวมีเสียงของมัน นั่นคือ มันถูกปรุงแต่งหลังออกจากภาค DA เสียงมันถึงต่างกัน
                    R-L-C ไปทำให้การทำงานของภาค ANALOG OP-AMP ( จริงๆ OP-AMP มัน ANALOG ทั้งนั้นล่ะ ) ดีขึ้น-เลวลง หรือเพี้ยนไป
                    ผมเองก็ไม่ได้เรียนอิเล็ค จบซ่อมรถมาด้วยซ้ำ แม่นขนาดใหนก็แค่ลองผิดถูก แต่ลองจนผมสรุบได้แบบนี้แหละครับ

                    เถียงไปเถียงมา ชักคิดว่าตัวเองหูตึงป่ะเนี่ย ย้าย Sound ลง BOARD ใหม่ 3-4 รอบแล้ว แต่ก็ยังฟังไม่ออก
                    ฟัง X-JAPAN กี่ทีๆ ก็เหมือนเดิม รู้แค่ว่าต้องเปลี่ยน AMP แล้วล่ะ มันชักเพี้ยนๆ

                    Comment


                    • สำหรับ คนอยากรู้ อยากลอง เรื่อง C R ต่างยี่ห้อ ต่างเกรด ค่าเหมือนกัน
                      ไปลองทำ ....พิสูจน์ดูว่า ที่พูดมามันจริงหรือไม่
                      Originally posted by keang View Post
                      คัดลอกจากไฟล์ดาต้าชีทของburr-brown



                      RECEIVER INPUT INTERFACING
                      This section details the recommended interfaces line receiver inputs. Balanced and unbalanced line interfaces, in addition to optical receiver and external logic interfacing, will be discussed.



                      For professional digital audio interfaces, 110 ohm balanced line interfaces are either required or preferred. Transformer coupling is commonly employed to provide isolation and to improve common-mode noise rejection. Figure 83 shows the recommended transformer-coupled balanced line receiver interface. The transformer is specified for a 1:1 turn ratio, and should exhibit low inter-winding capacitance for best performance. Due to the DC bias on the line receiver inputs, 0.1uF capacitors are utilized for AC-coupling the transformer to the line receiver inputs. On the line side of the transformer, an optional 0.1uF capacitor is shown for cases where a DC bias may be applied at the transmitter side of the connection. The coupling capacitors should be surface-mount ceramic chip type with an X7R or C0G dielectric.



                      Unbalanced 75 ohm coaxial cable interfaces are commonly employed in consumer and broadcast audio applications. Designs with and without transformer line coupling may be utilized. Figure 84(a) shows the recommended 75 ohm transformer-coupled line interface, which shares many similarities to the balanced design shown in Figure 83. Once again, the transformer provides isolation and improved noise rejection. Figure 84(b) shows the transformer-free interface, which is commonly used for S/PDIF consumer connections.



                      TRANSMITTER OUTPUT INTERFACING
                      This section details the recommended interfaces transmitter line driver and CMOS buffered outputs. Balanced and unbalanced line interfaces, in addition to optical transmitter and external logic interfacing, will be discussed.



                      For professional digital audio interfaces, 110 ohm balanced line interfaces are either required or preferred. Transformer coupling is commonly employed to provide isolation and to improve common-mode noise performance. Figure 88 shows the recommended transformer-coupled balanced line driver interface. The transformer is specified for a 1:1 turn ratio, and should exhibit low inter-winding capacitance for best performance. To eliminate residual DC bias, a 0.1uF capacitor is utilized for AC-coupling the transformer to the line driver outputs. The coupling capacitor should be a surface-mount ceramic chip type with an X7R or C0G dielectric.



                      Unbalanced 75 ohm coaxial cable interfaces are commonly employed in consumer and broadcast audio applications. Designs with and without transformer line coupling may be utilized. Figure 89(a) illustrates the recommended 75 ohm transformer-coupled line driver interface, which shares many similarities to the balanced design shown in Figure 88. Figure 89(b) illustrates the transformer-free line driver interface, which is commonly used for S/PDIF consumer connections.


                      -----------------------------------------------


                      ซาวน์การ์ดรุ่นประหยัด ส่วนใหญ่จะไม่มีแจ็คSPD/IF Out(digital Out)มาให้ เช่น Coaxหรือmini-Jack
                      แต่เค้าจะใส่SPD/IF Out(digital out)แบบต่อภายในมาให้แทน
                      ( ความแตกต่างของทั้ง2แบบ คือ ออกแบบมาสำหรับใช้สายDigital Cableได้สั้นหรือยาว -- แบบแรก=ยาว / แบบหลัง=สั้น)

                      ถ้าหากเราจะดัดแปลงแบบต่อภายในแล้วโยงสายไปใส่แจ็คเพิ่มเอาเอง(แบบที่หลายๆคนทำกัน)
                      ควรตรวจสอบวงจรภายในการ์ดเสียก่อนว่า เค้าต่อวงจรหรือใส่อะหลั่ยแบบครบๆไว้ให้หรือเปล่า
                      - ถ้าใส่มาให้ครบ ก็ต่อแบบที่ทำๆกันได้เลย
                      - ถ้าเค้าใส่มาไม่ครบ เราสามารถใส่เพิ่มเข้าไปเองได้ โดยดูจากข้อมูลข้างบน


                      ก็อปจากหน้า177


                      ถ้าใครมีไรสงสัยในรายละเอียดเพิ่มเติมก็โพสถามเพิ่มได้
                      แต่ห้ามถามว่า "การ์ดตัวไหนใส่มาครบหรือไม่ครบ" ผมคงตอบแบบไม่ลังเลว่า"ไม่รู้" เพราะ เดี๋ยวคนถามจะสบายเกินไป
                      เมื่อใครคิดจะทำควรตรวจสอบด้วยตัวเอง เพราะ เรื่องนี้เรียนรู้และทำความเข้าใจด้วยตัวเองได้ไม่ยากครับ

                      Comment


                      • ผมเห็นนานแล้วล่ะอันนี้น่ะครับ ถามผม ผมถามกลับ รู้มัย R-C พวกนี้ มีไว้ทำไมครับ
                        รู้หน้าที่มันมั้ย ทำไมเขาทำแบบนั้น บอกที่มาที่ไปให้ผมฟังที
                        เพิ่มล่ะ ขอ FIG 84 ละกันครับว่า R - C นี้ทำหน้าที่อะไร เอา R - C ที่ไป Rx + - นั่นน่ะ
                        และมันทำให้สัญาณ ขาเข้าเปลี่ยนไปยังไงบ้างครับ และขอประเด็น ที่จะให้ผมอธิบายตรงนี้เป็นข้อๆก็ดี จะได้คุยกันถูก
                        ผมบอกก่อนนะ ว่าไม่มีผลทางเสียง แล้วจะมาตอบทีหลัง
                        EDIT แล้วนะครับ
                        Last edited by ssk; 8 Dec 2013, 14:15:30.

                        Comment


                        • ตรงไหนตัวไหนล่ะครับ
                          อย่างUnbalanced 75 ohm coaxial cable interfaces
                          ถ้าตัว R 75 โอมห์ ระหว่าง สัญญาณกับกราวน์ ก็คุมอิมพิเดนซ์
                          ตัวความต้านทานในการแม็ทชิ่งกับค่าอิมพิแดนซ์
                          กับสาย COAX 75 โอห์มในการส่งสัญญาณเท่านั้น

                          จริงๆตรงนี้น่าจะผิด น่าจะเป็น มาตราฐาน spdif
                          อิมพิเดนซ์กำหนดไว้ที่75 โอห์ม จึงใช้ตามนั้น
                          ไม่ใช้การแม็ทชิ่งกับค่าอิมพิแดนซ์กับสาย COAX 75 โอห์ม

                          ส่วน C 0.1 ก็กรองความถี่
                          การตอบสนองที่ราบเรียบในช่วง 100kHz-10MHz:ซึ่งเป็นช่วงการทำงานของสัญญาณ SPDIF
                          เลือกใช้ C ที่ทำงานได้ดีที่ความถี่ที่ต้องการเท่านั้นเอง
                          ไม่เห็นต้องอธิบายอะไรมากครับ
                          ในส่วนที่เป็นคุมอิมพิเดนซ์ จะเห็นผลน้อย
                          ในส่วนที่เป็นทางเดินสัญญาณจะเห็นผลมากกว่า
                          อย่างUnbalanced 75 ohm coaxial cable interfaces

                          เปลี่ยน C จะเห็นผลมากกว่า เปลี่ยนR

                          -----------
                          พวกนี้ทำงานในส่วนของดิจิตอลแน่นอน
                          เผื่อมีคนสนใจ
                          Digital Coupling Transmission
                          http://www.sounddac.com/index.php?op...1-19&Itemid=81
                          Last edited by tiger X-fi; 13 Dec 2013, 08:33:25.

                          Comment


                          • มีผลกับเสียงยังไงบ้างครับ ขอความกระจ่างนิดนึง เปลี่ยน R เสียงเป็นอย่างไร เปลี่ยน C ผลเป็นอย่างไร ?
                            แล้ว C กรองความถี่อย่างไร แต่จริงๆ น่าจะเลิกยก S/PDIF ได้แล้วนะครับ ผ่านหลายปีแล้ว มันพ้นสมัยแล้วล่ะ
                            ถ้ายกมาคุยพอได้ แต่ยุให้ใช้นี่ลำบากใจจริงๆ
                            Last edited by ssk; 8 Dec 2013, 15:14:33.

                            Comment


                            • ถ้าเถียงเพื่อเอาชนะ...ผมขี้เกียจเถียง
                              คำตอบมีให้แล้วด้านบน
                              เปลี่ยน R ชนิดไหน ยี่ห้อไหน
                              เปลี่ยน C ชนิดไหน ยี่ห้อไหน
                              ถึงผมจะลอง ถ่ายภาพมาให้ดู....บอกแนวเสียง ก็โดนเถียงอยู่ดี
                              ให้คนที่สนใจ อยากรู้...อยากลอง...ทดสอบเอาเองเลยดีกว่าครับ

                              Comment


                              • อ่านหน้าแรกแล้วมาน่าสุดท้ายเลย อย่างว่าถ้า output (ของทุกเครื่องเหมือนกัน) = input (ของทุกเครื่องเหมือนกัน) ผมว่าไม่ต่างนะ แต่ว่าทำไมสายแต่ละเส้นเสียงไม่เหมือนกันหวา 555 คิดไปก็วุ่นวาย ดูหนังดีกว่า

                                Comment

                                Working...
                                X