Originally posted by ssk
View Post
วันนี้งานยุ่งๆเอา เรื่องกระแส กับความถี่ก่อนนะครับ และเรื่อง RESAMPLING ก่อนนะครับ เรื่องอื่นยาวขอพักหน่อยแล้วจะอธิบายให้ฟังซ้ำอีกครั้งอย่างละเอียด และช่วยรบกวนตอบคำถามเดิมคำถามนึงสำหรับคนที่แยกความแตกต่างของสาย HDMI ได้นะครับ
1 เรื่องกระแส กับความถี่นะครับ ที่บอกว่ากระแสไม่เกี่ยวเพราะการใหลของไฟฟ้าจะมีแรงดันและกระแสเหมือนน้ำ คือมีทั้งแรงดันและปริมาณ ทีนี้การส่ง DIGITAL มันส่งด้วยการเปิดและปิด ถ้าเปิดถึงจะมีกระแสใหลถูกใหม ทีนี้ถ้าบางบล็อคของข้อมูลมันมี Bit 1 มากกระแสมันจะใหลมาก กว่าตัวที่มี BIT 1 น้อยกว่า ถ้าเอากระแสเป็นที่ตั้ง มันจะแกว่งไปมาตลอดเวลา ผู้คิดค้นถึงใช้การจับความแตกต่างของแรงดันแทนเพราะแรงดันมันคงที่หรือเปลี่ยนแปลงไม่มากจนทำให้การส่งข้อมูลมีปัญหา ผมถึงบอกว่ากระแสไม่เกี่ยว แต่ความถี่เกียว เพราะยิ่งความถี่สูง การเปิดปิดเร็ว มันทำให้ TRASISTER ทำงานหนักมันถึงต้องลดแรงดันและกระแสลงมา และการส่งข้อมูล DIGITAL มันต้องใช้ความถี่ในการแบ่งช่องข้อมูล ความถี่สูงช่องข้อมูลจะมากมันก็ส่งข้อมูลได้มากตาม หลักการส่งข้อมูล DIGITAL มันประบุกต์มาจากการส่งรหัสมอส ที่ได้รับการยอมรับแล้วว่าแม่นยำที่สุดทั้งที่มีวิทยุแล้วก็ตามเพราะคำพูดมันเพี้ยนได้แต่รหัสมันไม่เพี้ยน เพราะฉนั้น คนส่งคนรับก็จะคอยส่งรหัส จุด และ ขีดที่แสดงแทนข้อมูล ทั้ง 2 คนต้องดูนาฬิกาว่าจะเคาะทุกๆ 1 วินาที หรือ 1 นาที ถ้าเคาะ 1 วิ มันเร็วกว่า 1 นาทีใช่ใหม แต่นาฬิกาคนรับมันไม่มเข็มวิ มีแต่เข็มนาที มันก้ต้องตั้งตามคนรับ ไม่งั้นมันจะส่งข้อมูลรู้เรื่องได้ไง ถูกใหม อันนี้จบ
2 การ SAMPLING และ RESAMPLING คือการเข้าและถอดรหัสข้อมูล ที่ไม่เป็นเชิงเส้น กล่าวคือ ถ้าข้อมูลเป็นเชิงเส้นก็ขิฃีดค่าตรงๆก็จบแบบ AD ของเครื่องมือวัด แต่สัญญาณเสียงมันไม่เป็นเชิงเส้น มันถึงต้องประมาณค่า ความโค้งแบบที่ผมอธิบายถึงกระดูกงูนั่นแหละ คือข้อมูลมันแทนค่าความแรงและความถี่ แต่มันบอดจุดของมันว่าอยุ่จุดนี้ จึงต้องสุ่มค่าเพื่อประมาณกราฟ ค่า SAMPLING มันคือค่าประมาณ ของ SEGMENT CURVE ซึ่ง AD และ DA จะใช้ตำราเล่มเดียวกัน เมื่ออัดเสียงในห้องอัดมันจะบันถึกมาพร้อมกัน ทีนี้เวลาฟังมันต้องถอดรหัส SAMPLING นี้ออกมาถึงบอกว่า RESAMPLING เพราะมันเป็นของ DA ไงครับ ชื่อมันก็บอกอยุ่แล้วว่าสุ่ม มันก็จะสุ้มค่าความเป็นเชิงเส้นออกมาให้ผ่านจุดข้อมูลทั้งหมด แต่มันไม่เป๊ะ 100% เพราะมันเป็นการประมาณค่า ซึ่ง CD ใช้ 44.1 หรือ 44100 แต่ผมให้กลมๆที่ 1 ใน 40000 จะได้จำง่ายๆ ผมถึงบอกว่าฟังครั้งที่ 1 กับ 2 จะไม่เหมือนกัน แต่คล้ายกัน เพราะมันสุ่ม มันจะแกว่งไปเรื่อยนั่นแหละ แต่มันสั้นมากจนคนแยกไม่ออก ถึงมันจะสุ่มครั้งแรกกับหลังต่างกัน 20000-30000 ระดับ เราก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมก็ถึงถามว่าฟังออกใหม ซึ่งก็เหมือนกับ AMP ที่มีความเพี้ยนเล็กๆ ถ้าเปิดเพียวๆจะพบว่ามันแกว่ง AMP ดีมันจะแกว่งค่อนไปทาง สูงหรือ ต่ำ มากกว่าจะแกว่งเละเทะและผมใช้วิธีนี้ทดสอบ AMP ที่ผมยกกลับมาบ้านก่อนเพื่อทำใจเสมอน่ะครับ ผมถึงบอกว่ามันจริงครึ่งเชื่อครึ่งเถียงกันยาก
และคนที่ยกสาย HDMI มา คุณเคยทักบ้างมั้ยว่า เอะวันนี้หนังสือพิมพ์สีมันจืดใหมหว่า ก่อนถึงวันนี้นะครับ ถ้ายกสาย HDMI มาอ้างจากภาพใน LCD ต้องแยกเรื่องแบบนี้ได้ก่อน เพราะหลอดไฟบนหัวน่ะ มันมีอายุ 2000 ชั่วโมงโดยประมาณ มันจะมืดลงไปที่ 40 % ในช่วงนั้น และแสงที่ได้มันผสมมา มันจะลดไปแบบสุ่มเหมือน Contrass ของ LCD ทุกวันถ้าเราเปิด 4 ชั่วโมง โดยฉลี่ย มันจะลด CONTRAS ลง 2 ใน 2000 ทีนี้ 1 สัปดาห์เท่าไหร่ 1 เดือนเท่าไหร่ แต่เคยทัก หรือรู้สึกใหม ก่อนจะพูดถึงเรื่อง CONTRAS ของ LCD และ HDMI น่ะนะครับ
1 เรื่องกระแส กับความถี่นะครับ ที่บอกว่ากระแสไม่เกี่ยวเพราะการใหลของไฟฟ้าจะมีแรงดันและกระแสเหมือนน้ำ คือมีทั้งแรงดันและปริมาณ ทีนี้การส่ง DIGITAL มันส่งด้วยการเปิดและปิด ถ้าเปิดถึงจะมีกระแสใหลถูกใหม ทีนี้ถ้าบางบล็อคของข้อมูลมันมี Bit 1 มากกระแสมันจะใหลมาก กว่าตัวที่มี BIT 1 น้อยกว่า ถ้าเอากระแสเป็นที่ตั้ง มันจะแกว่งไปมาตลอดเวลา ผู้คิดค้นถึงใช้การจับความแตกต่างของแรงดันแทนเพราะแรงดันมันคงที่หรือเปลี่ยนแปลงไม่มากจนทำให้การส่งข้อมูลมีปัญหา ผมถึงบอกว่ากระแสไม่เกี่ยว แต่ความถี่เกียว เพราะยิ่งความถี่สูง การเปิดปิดเร็ว มันทำให้ TRASISTER ทำงานหนักมันถึงต้องลดแรงดันและกระแสลงมา และการส่งข้อมูล DIGITAL มันต้องใช้ความถี่ในการแบ่งช่องข้อมูล ความถี่สูงช่องข้อมูลจะมากมันก็ส่งข้อมูลได้มากตาม หลักการส่งข้อมูล DIGITAL มันประบุกต์มาจากการส่งรหัสมอส ที่ได้รับการยอมรับแล้วว่าแม่นยำที่สุดทั้งที่มีวิทยุแล้วก็ตามเพราะคำพูดมันเพี้ยนได้แต่รหัสมันไม่เพี้ยน เพราะฉนั้น คนส่งคนรับก็จะคอยส่งรหัส จุด และ ขีดที่แสดงแทนข้อมูล ทั้ง 2 คนต้องดูนาฬิกาว่าจะเคาะทุกๆ 1 วินาที หรือ 1 นาที ถ้าเคาะ 1 วิ มันเร็วกว่า 1 นาทีใช่ใหม แต่นาฬิกาคนรับมันไม่มเข็มวิ มีแต่เข็มนาที มันก้ต้องตั้งตามคนรับ ไม่งั้นมันจะส่งข้อมูลรู้เรื่องได้ไง ถูกใหม อันนี้จบ
2 การ SAMPLING และ RESAMPLING คือการเข้าและถอดรหัสข้อมูล ที่ไม่เป็นเชิงเส้น กล่าวคือ ถ้าข้อมูลเป็นเชิงเส้นก็ขิฃีดค่าตรงๆก็จบแบบ AD ของเครื่องมือวัด แต่สัญญาณเสียงมันไม่เป็นเชิงเส้น มันถึงต้องประมาณค่า ความโค้งแบบที่ผมอธิบายถึงกระดูกงูนั่นแหละ คือข้อมูลมันแทนค่าความแรงและความถี่ แต่มันบอดจุดของมันว่าอยุ่จุดนี้ จึงต้องสุ่มค่าเพื่อประมาณกราฟ ค่า SAMPLING มันคือค่าประมาณ ของ SEGMENT CURVE ซึ่ง AD และ DA จะใช้ตำราเล่มเดียวกัน เมื่ออัดเสียงในห้องอัดมันจะบันถึกมาพร้อมกัน ทีนี้เวลาฟังมันต้องถอดรหัส SAMPLING นี้ออกมาถึงบอกว่า RESAMPLING เพราะมันเป็นของ DA ไงครับ ชื่อมันก็บอกอยุ่แล้วว่าสุ่ม มันก็จะสุ้มค่าความเป็นเชิงเส้นออกมาให้ผ่านจุดข้อมูลทั้งหมด แต่มันไม่เป๊ะ 100% เพราะมันเป็นการประมาณค่า ซึ่ง CD ใช้ 44.1 หรือ 44100 แต่ผมให้กลมๆที่ 1 ใน 40000 จะได้จำง่ายๆ ผมถึงบอกว่าฟังครั้งที่ 1 กับ 2 จะไม่เหมือนกัน แต่คล้ายกัน เพราะมันสุ่ม มันจะแกว่งไปเรื่อยนั่นแหละ แต่มันสั้นมากจนคนแยกไม่ออก ถึงมันจะสุ่มครั้งแรกกับหลังต่างกัน 20000-30000 ระดับ เราก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมก็ถึงถามว่าฟังออกใหม ซึ่งก็เหมือนกับ AMP ที่มีความเพี้ยนเล็กๆ ถ้าเปิดเพียวๆจะพบว่ามันแกว่ง AMP ดีมันจะแกว่งค่อนไปทาง สูงหรือ ต่ำ มากกว่าจะแกว่งเละเทะและผมใช้วิธีนี้ทดสอบ AMP ที่ผมยกกลับมาบ้านก่อนเพื่อทำใจเสมอน่ะครับ ผมถึงบอกว่ามันจริงครึ่งเชื่อครึ่งเถียงกันยาก
และคนที่ยกสาย HDMI มา คุณเคยทักบ้างมั้ยว่า เอะวันนี้หนังสือพิมพ์สีมันจืดใหมหว่า ก่อนถึงวันนี้นะครับ ถ้ายกสาย HDMI มาอ้างจากภาพใน LCD ต้องแยกเรื่องแบบนี้ได้ก่อน เพราะหลอดไฟบนหัวน่ะ มันมีอายุ 2000 ชั่วโมงโดยประมาณ มันจะมืดลงไปที่ 40 % ในช่วงนั้น และแสงที่ได้มันผสมมา มันจะลดไปแบบสุ่มเหมือน Contrass ของ LCD ทุกวันถ้าเราเปิด 4 ชั่วโมง โดยฉลี่ย มันจะลด CONTRAS ลง 2 ใน 2000 ทีนี้ 1 สัปดาห์เท่าไหร่ 1 เดือนเท่าไหร่ แต่เคยทัก หรือรู้สึกใหม ก่อนจะพูดถึงเรื่อง CONTRAS ของ LCD และ HDMI น่ะนะครับ
จะเหมาะสมในการทดสอบที่สุดครับ
Comment