โมให้ดีกันเยอะแล้ว มาม๊ะ....มาโมให้"เจ๊ง"กันดีกว่า

[carbon_za]

R ไม้นี่เป็นพวก คาร์บอนคอมโพสิต เปล่าครับ ทีี่เขาว่าเสียงดี ปัจจุบันส่วนมากจะเป็นคาร์บอนฟิล์ม ส่วนตัวแล้วชอบใช้ 5% Royal ไม่อยากลองของดีมากๆเสียตังเยอะ กลัวติดนิสัยเล่นแต่ของดี

[LoveHifi]

ไม่เป็นไรหรอครับเข้าใจกันก็ดีแล้วครับ


จริงๆก็ไม่รู้เลยว่าแนวเสียงเดิมมันเป็นอย่างไร แต่ตอนที่ทำมาใหม่ๆเมื่อสัก 1 เดือนที่ผ่านมาผมว่าเสียงมันดีกว่านี้คับ หรือว่าผมฟังมันจนชินไปแล้ว เลยฟังไม่แตกต่าง ครั้งแรกที่เปิดผมว่ามันนุ่มกว่าตอนนี้ ตอนนี้มันชักหายนุ่มก็แปลกจังยังไม่เคยทำอะไรกับมันเลยครับ
- คล้ายๆกับการเบิรนละครับเสียงมันถึงต่าง เพราะไม่ได้ใช้มานาน


ใจผมๆอยากจะเปลี่ยนครับแต่เปลี่ยนเพื่อปรับปรุงครับ เพราะจะใช้ค่าเดิมๆเลยครับ

- ค่าเดิมก็ดีแล้วครับเพราะถ้าเปลื่ยนท่านจะปวดหัวกว่าเดิม

ผมมี R ไม้ที่เขาให้มาที่เขาบอกว่าใช้ในลำโพงดีเป็นของเดนมารค์ ค่ามัน 6.5 ซึ่งต่ำกว่าของผมไป 0.5 ผมเองก็ยังไม่อยากจะใช้เลยครับ เพราะคิดว่า R ยิ่งลดเสียงยิ่งจะแหลมขึ้นครับ ซึ่ง R ไม้เกรดน่าจะดีกว่ากระเบื้องครับ

- ลองไปเลยครับของมีอยู่แล้ว อาจจะถูกใจก็ได้ แต่ใช่ว่าของแพงจะเหมาะเสมอไปอย่างที่พี่ Keang บอกใช้ของให้เหมาะกับงาน


c อีเล็กค่า 15uf นี่ผมไม่ค่อยจะเคยเห็นเลยครับ ที่เป็นแบบไม่มีขั่วครับ

- หาไม่ยากหรอกครับ ลองถามๆดู บางร้านเขาไม่ได้โชว์ไว้แต่มีของ

ลองถ่ายรูปด้านลายวงจรชัดๆมาลงดูสิครับ จะได้รู้ว่าเขาออกแบบมายังไงหรือเขียนลายวงจรง่ายๆก็ได้ครับ
เชื่อไหมแค่ครอสโอเวอร์นี่ทำเอาผมใช้เวลาถึง 4 เดือนกว่าจะทำได้อย่างทีชอบ 55555

[keang]

ผมมี R ไม้ที่เขาให้มาที่เขาบอกว่าใช้ในลำโพงดีเป็นของเดนมารค์ ค่ามัน 6.5 ซึ่งต่ำกว่าของผมไป 0.5 ผมเองก็ยังไม่อยากจะใช้เลยครับ เพราะคิดว่า R ยิ่งลดเสียงยิ่งจะแหลมขึ้นครับ ซึ่ง R ไม้เกรดน่าจะดีกว่ากระเบื้องครับ

- Rในตำแหน่งนั้น น่าจะเป็นเรื่องชดเชยค่าอิมพิแดนซ์ดอกลำโพงในขณะที่กำลังทำงานกับความถี่ช่วงต่างๆ
จะเป็นคนละประเด็นกับเรื่องRดรอปไฟ ที่ค่ามากดรอปมากกว่า ค่าน้อยดรอปไฟน้อยกว่า

- บางทีค่าที่ได้จากการคำนวน อาจจะเป็นค่า6.5โอห์ม แต่หาไม่ได้จะสั่งผลิตก็ใช่ใช่ที่ เค้าเลยใส่ค่า7โอห์มที่มีการผลิตขายทั่วไปอยู่แล้วแทน
ซึ่งผลต่าง0.5โอห์มนั้นเมื่อรวมกับค่าผิดพลาดของตัวRเองก็ถือว่าน้อยมาก

- อะไรเกรดดีกว่ากัน อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆผมนึกหน้าตาRไม้ไม่ออก

ลองไปเลยครับของมีอยู่แล้ว อาจจะถูกใจก็ได้

+1
มีแต่ไม่ใช้ไม่ลอง = ต่อให้อะหลั่ยตัวนั้นดีเลิศโคตรเทพขนาดไหน มันก็เป็นได้แค่เศษขยะอิเลคทรอนิคส์ในบ้าน

[cleaning]

- Rในตำแหน่งนั้น น่าจะเป็นเรื่องชดเชยค่าอิมพิแดนซ์ดอกลำโพงในขณะที่กำลังทำงานกับความถี่ช่วงต่างๆ
จะเป็นคนละประเด็นกับเรื่องRดรอปไฟ ที่ค่ามากดรอปมากกว่า ค่าน้อยดรอปไฟน้อยกว่า

- บางทีค่าที่ได้จากการคำนวน อาจจะเป็นค่า6.5โอห์ม แต่หาไม่ได้จะสั่งผลิตก็ใช่ใช่ที่ เค้าเลยใส่ค่า7โอห์มที่มีการผลิตขายทั่วไปอยู่แล้วแทน
ซึ่งผลต่าง0.5โอห์มนั้นเมื่อรวมกับค่าผิดพลาดของตัวRเองก็ถือว่าน้อยมาก

- อะไรเกรดดีกว่ากัน อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆผมนึกหน้าตาRไม้ไม่ออก



+1
มีแต่ไม่ใช้ไม่ลอง = ต่อให้อะหลั่ยตัวนั้นดีเลิศโคตรเทพขนาดไหน มันก็เป็นได้แค่เศษขยะอิเลคทรอนิคส์ในบ้าน

6.8โอม วัดแล้วได้7พอดีเลยครับ ตัวนี้ครับที่ผมว่าเจ้าของเขาบอกว่า R ไม้ให้มานานแล้วสมัยโมลำโพง psb b1 แต่ผมไม่ได้ลองเลยครับ มันรอดจากน้ำท่วมมาได้ครับ

[tiger X-fi]

เห็น R ไม้แล้วนึก ดินสอ
มะกี้ลองวัด ดินสอถูกๆ 1แท่ง เต็มได้ค่าประมาณ 100 โอมห์

น่าลองทำ R ยี่ห้อ STAEDTLER
พวก R output ค่าน้อยๆน่าลองทำดู...555+

[keang]

ลองดูดีๆ ถ้าผมจำไม่ผิดตัวมันเป็นพวกอีพร๊อกซี่หรือเซรามิคนี่แหล่ะ

ค้นในเครื่องเจอละ เป็นRของทางเยอรมัน
ยี่ห้อVTM รุ่นKH208-8 Power Wirewound Ceramic Resistor ขนาด5วัตต์

เห็น R ไม้แล้วนึก ดินสอ
มะกี้ลองวัด ดินสอถูกๆ 1แท่ง เต็มได้ค่าประมาณ 100 โอมห์

ทำเป็นเล่นไป เคยเห็นเวปDIYที่นึง เค้าเอาไส้ดินสอมาทำเป็นRแล้วเทสเสียงเทียบแต่ละยี่ห้อด้วยน่ะ
ถ้าจำไม่ผิด ไส้ดำเข้มมากๆจะได้โทนเสียงทุ้มมากขึ้น

[tiger X-fi]

ยังมองเรื่องจุ๊บหัวน่ะครับ
ถ้าค่าไม่มากความยาวไม่เท่าไหร่ ...น่าจะตัดแล้วใส่กระบอกฟิวส์ได้เลยครับครับ

[carbon_za]

ท่านเสือ ไม่ลองซื้อใส้ดินสอที่ใช้กับพวก วงเวียน วาดวงกลมอ่ะครับ

[keang]

ที่ผมเห็นในเวปนั้น
ตอนเค้าวัดความต้านทาน เค้าใช้ปลายมิเตอร์วัด แต่ตอนเทสเสียงเค้าปลอกปลายสายไฟแล้วพันบนแกนไส้ดินสอ

ผมไม่ได้เซฟลงเครื่องไว้ด้วย เดี๋ยวถ้าท่องเวปแล้วเจอ จะเอามาให้ดูอีกทีครับ

[tiger X-fi]

ถ้าซื้อใส้ดินสอ ก็ต้องาวิธีทำฉนวนน่ะครับ
แต่ถ้าเป็นดินสอ มีไม้เป็นฉนวนอยู่แล้วที่เหลือก็คือ
หาวิธีคลอบหัวท้ายนำมาใช้งาน
-------------
เป็นแท่งยาว เราวัดทั้งแท่งหารค่าที่ต้องเอาเลื่อยฉลุตัดได้เลย
ได้ค่าที่ต้องการ เอามาใช้งานจริงได้
ถ้าเป็นแกนดินสอเปราะและหักง่าย ใช้ทดสอบได้
เอามาใช้จริง...มือหนักๆอย่างผมหักก่อนได้ใช้แน่ครับ...555+

[keang]

DSL Filter for Telephone Line




Basics of ADSL and telephone
Telephone wires were originally designed to carry "Commercial Speech" between your home and the telephone exchange. This uses a band of frequencies from 300 to 3400 hertz. this system is called PSTN (public switched telephone network).

ADSL uses frequencies very much higher than this speech band to carry fast data traffic. ADSL systems use typically frequencies between 25 kHz and around 1.1 MHz.

Because PSTN and ADSL systems operate at different frequencies, they can be carried though the same wire pair at the same when the operating conditions are right. Voice calls operate between 300Hz and 3.4KHz, and include also DC power (0-72V DC at on-hook condition, typically 0-60 mA current and lower voltage at on-hook) and rign voltage (typically 40-80 V AC at 20-25 Hz freuquency). The voice telephone system is matched to 600 ohm (or close to it) impedance at voice frequencies. ADSL technology operates between 26KHz and 1.1 MHz and is designed for around 100 ohms impedance. Because the two frequency spectrums do not overlap, it follows that both data and voice can be present at the same time on a single pair of copper wire. The different impedances have hostorical and technical reasons. The impedance of telephoen wiring is typically around 100-120 ohms at the frequencies ADSL system uses. The cable impedance is somewhat higher at voice frequency range, considerably higher than 100 ohms, and where where historical 600 ohms impedance comes to picture (cable might not be exactly 600 ohms for voice, but that's what devices are designed for).


Why splitters / filters are needed
When ADSL and PSTN work at the same line at the same time, the electronics inside a normal telephone can be problem for high frequency ADSL signals: the ADSL signals can be attenuated (high capacitance on telephone input, possible resonances inside telephone, impedance mismatch) and ADSL signals can be heard as noise on some telephones (phone electronics demodulates high frequency signal outside it's operating range to voice frequency noise). In order to keep these systems apart and stop them interfering with each other it is necessary to separate the two components from the telephone line in your home.

This is where the Filter / Splitter comes in. The ADSL POTS Splitter / filter allows taking the full advantage of the 1.1MHz copper line frequency spectrum, by stopping the telephone and ADSL systems from interfering with each other.

An ADSL filter is normally a small plastic box with a short lead that plugs into your phone socket and two outputs, one for your ADSL Modem and another for a telephone. Some filters have only one telephone output in them. ADSL filter select the band of frequencies for each of the outputs, phone or ADSL, and send just the correct band to the appropriate socket. The phone output gets only telephone frequencies (from DC to 3.4 kHz) and the ADSL output gets the higher freuquencies well (above 25 kHz).

For good system performance it is very important that all your other telephony equipment is separated from the ADSL signals by the use of a splitter / filter -- this equipment includes telephones, answering machines, "normal" computer modems, etc.


How real life ADSL filters at home work
The signal to telephone output is generally just low-pass filtered so that voice frequencies (frequencies up to 3.4 kHz) get nicely though, but higher frequencies gets filterted. This filtering generally consista of LC low-pass filter designed to some suitable operating frequency between 4 and 20 kHz (between voice and ADSL bands). This kind of filter causes that the high frequencies of the ADSL signal will be severely attenuated (usually by at least 30dB with a good filter) so the signal reaching your telephone equipment does not contain such amount of high frequency signals that could cause noise. The telephone LC filter is also designed in such way that the filter impedance towards the line that carries ADSL signals is high at the high frequencies, meaning that those telephone equipment and cables related to them look like they are look to high freuquency signals that they would ne "disconnected from the main line". line.

The ADSL POTS splitter is simply a series of coupled inductors and parallel capacitors forming a low pass filter that attenuates the higher frequency ADSL data and permits only the voice frequencies to reach the telephone. The series inductor shows high impedance to high freuqencies, so the ADSL signals on the line are not attenuated.


-------------------------------------------------------



L1,L2 = 6.8mH, inductor
L3,L4 = 10mH, inductor
C1 = 0.022uF, 250-600V
C2 = 0.015uF, 250-600V

The above diagram is a standard low-pass telephone line filter (L1,C1,L3,C2). L2 and L4 are needed since we're dealing with the 'Tip' and 'Ring' of a phone line which may carry up to 90VAC!.

I used a similar circuit on 3 phone-lines back in the early 80's when I was running Scottsdale BBS and the filters performed fine. Additional info can be found in the ARRL Handbook, etc. For the two capacitors, the higher the voltage the better, but the 400V types are the easiest to obtain.


-------------------------------------------------------



The phone line to central office (that carries ADLS and PSTN signals) goes to the left side of this filter and the phone goes to right side. This filter consists of an LC low pass filter made of the series connected coil (total impedance of 10.260 mH per wire) and the 22 nF capacitor across the wires. Those form the actual filter. There are resistors after this LC filter to make the filter properties have proper impedance matching for voice frequencies (should be around 600 ohms). This filter seemed to have one 1A fuse on the output to protect the circuit agains some catastrophic damage (what this would protect agains..).

The total series resistance this kind of filter cause to one telephone wire was around 45 ohms, meaning that having this filter adds around 100 ohms to the telephone wire resistance. The series resistors and internal coil resistance reduces the impedance mismatches that just putting a capacitor across telephone, wires would cause. If we take a look at the circuit construction with only resistances and capacitances in it, it is pretty close to a simple model of 0.5 km of 0.5 mm telephone cable wire. The coil impedance at voice frquencies would be at 20-200 ohms, causing some mismatch and attenuation at high telephone frequencies. The capacitor has impedance of aroudn 250-2500 ohms at voice frequencies. Return loss at voice frequencies (against 600 ohms) would be acceptable with this kind of circuit.

The coils in this circuit are built to ferrite cores, boppin cores for highest inductance values and the 40 uH coils are wound to small ferrite toroids. My quess is that the coil part is constructed from three separate coils to make the filter to work well at high freuquencies. The 10 mH coil has lots of turns, so at high freuquencies it's perfomrance might not be best (potential coil resonances etc.), but at those high freuquencies those smaller value coils have already attenuted the signal enough. Getting three different coils in series gives best performance on all freuquencies.

[poh1998]

รบกวนหน่อยครับ พอดีผมทำ dac ตัวนี้




ทำเสร็จมาหลายเดือนแล้ว แต่พอเสร็จ เสียบแล้วไำม่มีเสียง เปิดเทอมพอดีเลย ตั้งไว้ตากฝุ่นยาวเลย -*-
พอดีเมื่อวาน วันเสาร์เลยมาลองหาสาเหตูดู
เอา meter จิ้มแล้ว ไฟเข้าบอร์ดครับ
แต่เสียบแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรนอกจาก ซ่าๆๆ กับ จี่ๆๆ เบา
ทีนี้ ผมก็เอาลำโพง creative ตัวนึงที่มี amp อยู่แล้ว ต่อกับ amp หูฟัง อีกที เร่งทั้งสองอย่างให้สุด ซึ่งตอนนี้ เสียงซ่าๆๆ จี่ๆๆ ดังขึ้นมา 5 เท่า
ผมก็ลองเปิดเพลงดู ปรากฏว่า มีเสียง bass ของเพลงนั้นออกเบาๆ แต่เสียงอื่นไม่ออก ยกเว้ยเสียง bass เบา จาก subwoofer
ผมก็ลองจิ้มๆ C ทุกตัวระหว่างเปิดเพลง จิ้มไปไม่มีอะไร ยกเว้น C 10uf ก่อนออก output ซิ้งเป็น audyn qs 400v 10uf แค่เอานิ้วไปแตะเท่านั้น เสียงจี่ดังขึ้นมา หลายเท่า คือ ดังมากๆ
ยิ่งโยกมันยิ่งดังเลย

อุปกรณ์ของผมคือ R royal metal ทั้งบอร์ดยกเว้น 47k ที่คร่อมก่อนออก output ใช้ dale
C ส่วนใหญ่ก็ elna nippon ธรรมดาครับ ยกเว้น 10uf ตรง output ใช้ audyn qs ครับ
r dale ตรง output ไม่ได้แต่ครับ เพราะ audyn ตัวใหญ่มาก บังหมด เอานั้วเข้าไปไม่ได้
หม้อแปลง 15v สองตัว จาก npe ธรรมดาๆครับ

แก้ปัญหายังไงดีครับ ขอบคุณครับ T^T

ใส่ led แล้วครับ อาการเดิมเลยครับ T_T
ภาพตอนเปิดเพลง

[keang]

audience aR2p-TO AC Conditioner : $1600

> reviewed by John Acton



Audience company President John McDonald and team must not like to take vacations. Over the past couple of years, Audience has kept busy augmenting its extensive portfolio of cabling and power-conditioning solutions with a full line of high-end loudspeaker systems. As if that weren't enough, Audience has introduced enhanced ?e' versions of several of its interconnect, speaker cable, and power cord products, as well as significant upgrade revisions to its stable of power conditioners.

In 2008, I reviewed the Audience aR1p power conditioner and was bowled over by the gains in transparency and detail retrieval it brought to my system, and I was just as impressed with what it didn't do, namely compromising dynamics. Since that time, Audience has discontinued production of the single-outlet aR1p in favor of a larger two-outlet model, logically named the aR2p. Along the way, the aR2p was updated to include Audience's premium Auracap capacitors. Audience then augmented the standard aR2p model with the aR2p-T, which swapped out the Auracap capacitors in lieu of the company's top-of-the-line (and extremely costly) Aura-Teflon capacitors in the filter sections. And most recently, Audience has replaced the aR2p-T with the aR2p-TO, which now includes not only the fancy Aura-Teflon capacitors, but also OHNO (high-purity continuous copper) connecting leads.

The aR2p-TO does not require a power cord, being designed to plug directly into the wall socket. The aR2p-TO measures 3.56? wide by 6.31? high by 3.56? deep and weighs 1.8 pounds. Externally, the aR2p-TO?s appearance is understated, and its feature set consists simply of two Hubbell high-conductivity power receptacles, a Marinco high-conductivity power plug and an on/off breaker power switch. Internally, however, the aR2p-TO's circuit is nearly identical to that of its larger and considerably more costly stablemates, the aR6 and aR12. Like its big brothers, the aR2p-TO is optimized for dynamic range via extremely low DC resistance, and Audience instills the conditioner with partial power factor correction by bringing the voltage and current into closer relation to one another for ensuring proper phase; the resulting benefit of this power factor correction is a claimed subjective increase in a system amplifier?s output power by 10%. Audience eschews circuit boards in the aR2p-TO, choosing instead to hand-wire all connections. The aR2p-TO utilizes powerChord wire for the internal power wiring and wire harness and employs non-resonant damping. Audience cryogenically treats the entire circuit. Ultimately, all of this translates into a full ability to isolate components from EMI and RFI, both inside and outside of the AC line. The aR2p-TO comes with a 15-amp on/off breaker switch and is able to deliver 1,800 watts of power on a continuous basis, with a capability to deliver at least 3,600 watts for an unspecified short period of time. Customers with greater power-delivery requirements can order the aR2p-TO with a 20-amp breaker, which increases power handling to 2,400 watts continuous. Last but not least, the Audience conditioner possesses over-voltage protection utilizing a non-wearing, non-MOV solution that can withstand a 20,000 amp discharge and is said to be sonically transparent. Like all Audience power conditioners, the aR2p-TO is warranted for a period of 10 years.

So, with all those features and possessing a nearly identical circuit, why would anyone choose to spend more money for one of the larger Audience power conditioners? Well, aside from the obvious increased number of outlets, the aR6 and aR12 benefit from considerably more robust construction, including a ground plane of solid copper. Secondly, and most importantly, the larger models incorporate individual filtering for each outlet, which isolates each connected component from one another. In contrast, the aR2p-TO is constructed of a polycarbonate case with no copper ground plane. And the smallest Audience conditioner does not provide individual outlet filtering for complete component-to-component isolation. McDonald did inform me that the aR2p-TO outlets possess a very low impedance at high frequencies, which in and of itself imbues the conditioner with a high level of isolation between components. For those who demand the utmost in individual filtering, Audience can custom-build aR2p models with fully-isolated outlets. This requires a larger enclosure, with pricing determined on a case-by-case basis. Anyone interested is encouraged to contact Audience directly to discuss their individual requirements.

Prospective purchasers should take note that the Audience aR2p-TO requires a significant period of time to break in on account of the Teflon capacitors employed in the filtering sections. Audience recommends 500 hours, and based on my experience, that number should be treated as an absolute minimum. To ameliorate the break-in experience, Audience does burn in every one of its power conditioners for 72 hours at the factory via a high-current device. McDonald thus clarified that the 500-hour user break-in is for passing voltage. What this means for us users is that rather than hooking up the conditioner to refrigerators, big-screen televisions or mainframe computers, we can simply plug it into an unused AC outlet, turn it on and forget about it for a month.

During the review period, I auditioned the Audience aR2p-TO in the context of two systems. I spent a good deal of time listening via a headphone system comprising a SimAudio MOON CD5.3 CD player, STAX SR-007 electrostatic headphones, STAX 006tS headphone amplifier, a Kimber Kable Hero AG interconnect and Audience PowerChord and PowerChord e power cables. Later, I moved the aR2p-TO into a speaker-based system comprising the same SimAudio CD5.3 CD player, Kimber Hero AG interconnect and Audience PowerChords, but adding a Cayin A-55T integrated amplifier, Monitor Audio Gold GX50 loudspeakers, Kimber Kable 4TC speaker cables and Sanus Granite Foundation speaker stands. In all cases, a SolidSteel 6.2 Audio Table provided system support.

As impressed as I was earlier with the aR1p, I had perhaps inordinately high expectations for the aR2p-TO. Within minutes, the aR2p-TO blew those expectations clean out of the water, and over the course of the next few months, my dependence on the little Audience power conditioner and the benefits it brought to my system, and more importantly, to my musical enjoyment, only deepened.

I've always placed a great deal of importance on a system's ability to create a credible soundstage, and within that, dimensional and life-like images. With the Audience aR2p-TO in place, the soundstage expanded, not only in terms of width and depth, but also with respect to height. Listening to well-recorded electronic fare such as Javi Canovas' Nights of Brightness (MusicZeit 16 / 44.1 download; Synth Music Direct CD), the soundstage spread further laterally beyond the speaker locations and extended several feet further back in the depth plane. On "Fugitive Star," the Mellotron flute floated well above the speaker cabinets, and I heard a subjective amelioration of the digital ceiling, with less truncation of the air above and around instruments. Image density was also improved, with images within the soundstage more fleshed-out and dimensional, which made for a reach-out-and-touch-it realism. With the aR2p-TO conditioning my system's AC, I could scarcely credit the dimensional body Miles Davis' trumpet on Kind of Blue (Columbia/Legacy CK 64935) now possessed, and Ike Willis' vocal on "Lucinda Has Messed Up My Mind" from Frank Zappa's Joe's Garage (RYKODISC RCD 10530) was in-the-room palpable.

Once I became accustomed to the spatial improvements wrought by the Audience aR2p-TO, I was able to turn my attention to how much additional clarity, detail and sheer information was being communicated via my headphones and speakers. The resolution that my system was able to wring out of long-familiar recordings was, at times, staggering. Bill Bruford and Pat Mastelotto's multi-tracked dual-drum solo "B'Boom" from King Crimson's Thrak CD (Virgin 24381 21802) has a lot going on, and subsequent to installing the Audience conditioner, I was able to much more easily follow the complex interplay between Mastelotto and Bruford contrasted against the backdrop of Robert Fripp's atmospheric synthesizer playing.

The aR2p-TO introduced no changes in tonality, but there was a newfound vibrancy and precision associated with the overall presentation. In the midrange, voices and instruments were imbued with a greater sense of body and immediacy, as was readily apparent listening to Roger Waters and Paul Carrack trading lead vocals on "The Powers That Be" from Waters' Radio K.A.O.S CD (Columbia CK 40795). And while bass instrumentation was not reproduced with artificially-hyped power or extension, there were improvements in tautness and control, which manifested itself via less bloat and overhang, more clarity and nuance. I was frankly not prepared for the improvements I heard in the treble as a result of the aR2p-TO. I discerned greater transparency and less grunge and grit. Cymbals and high hats were reproduced with much greater realism, even on sub-optimally recorded or mastered CDs like Clinic's Winchester Cathedral (Domino DN035CD) or UK's Danger Money (E'G Records EGCD 39).

Perhaps the most illuminating evidence of the Audience aR2p-TO's capabilities is to remove it from one's system after having grown accustomed to its effects. Without the aR2p-TO in place, I immediately heard a compression and flattening of the soundstage, a subtle patina of grit overlaying the presentation and an overall lack of vibrancy and verisimilitude that had me quickly scrambling to re-insert the little conditioner back into the system.

While less pricy than other state-of-the-art power conditioners, including Audience's own flagship offerings, the aR2p-TO is certainly not inexpensive at $1600. My own experiences with power conditioners in the past have never swayed my opinion that while AC conditioning is a nice-to-have, there are better ways to spend my money when it comes to system upgrades. Well, all that has changed with the aR2p-TO. Even within the context of my relatively modest system, the smallest Teflon-capped Audience conditioner has elevated itself from accessory to essential, enhancing the sound and my overall musical enjoyment as much or more than any other component upgrade I've made. I'm putting my money where my mouth is and purchasing the review sample.



Postscript: Audience's powerChord AC power cords have been a mainstay in my system for years. Extremely flexible, the low-resistance, low-impedance powerChord allows music to emerge from a quieter background, which results in heightened transparency and greater dynamism. In my experience, the Audience powerChord excels at knitting the soundstage together spatially and in optimizing a system's temporal coherence, areas in which it has bested every other power cord I've auditioned, including some priced considerably higher. When McDonald learned of my preference and respect for the regularly-aspirated powerChords, he suggested (practically insisted) that I try a pair of the enhanced 'e' version powerChords.

From a construction standpoint, the Audience powerChord 'e' represents a complete re-build and re-termination of the standard powerChord. The best part is that current owners can have their powerChords upgraded by Audience to 'e' status simply by sending them back to the factory, where, for a charge of $165 per cable, Audience performs the upgrade, re-terminates the cables and returns them to their owners. Note that, as a result of the re-termination process, the returned cords will be a few inches shorter.

In directly comparing the enhanced Audience powerChord 'e' to the non-enhanced version, I discerned a significant improvement in the overall sound of my system with the powerChord 'e' installed. There was a clearly audible reduction in the noise floor, with a concomitant increase in detail retrieval. There was more air around instruments, and the reproduction of dynamic contrasts was improved over the already class-leading performance of the non-'e' powerChord. Bass was tighter, with more texture evident, the midrange was presented with greater articulation and immediacy, and the treble registers were likewise reproduced with greater extension and air, with a reduction in grunge and grit.

If such a thing is possible, the enhanced Audience powerChord 'e' represents an even greater bargain than the standard powerChord, and at its retail price of $695 may be the best power cord available for anywhere near its price. For existing powerChord owners, the low $165 cost of upgrading makes the enhanced 'e' version perhaps the greatest bargain in all of high-end audio. John Acton

[cleaning]

ในคอรสลำโพงขั้นต่ำสุด
R กี่วัตต์
C กี่โวทล์
ครับที่สามารถใส่ได้ครับ

[dracoV]

R กี่วัตต์นี่ก็ขึ้นกับว่าอยู่ในส่วนไหนของ cross over
ถ้าอยู่ในวงจร ทำหน้าที่ร่วมอยู่กับ L, C เพื่อเป็น filter นี่ก็วัตต์ไม่สูงมาก ก็ตั้งแต่ 3-10W แล้วแต่วงจร
แต่ถ้า R ใช้ในส่วนการประบ impedance ต่ออนุกรมตรงเข้ากับขั้วสัญญาณเข้าหรือลำโพง
ก็ต้องใช้วัตต์สูงตามลำโพง ก็ตั้งแต่ 25W ขึ้นไปน่ะครับ

C กี่โวลท์
ปกติก็จะใช้~2-3เท่าของไฟที่จ่ายให้ถาคขยาย เช่น ภาคขยายใช้ไฟ +-35V
C crossover ก็จะใช้ 100V ขึ้นไป เพื่อป้องกันกรณีที่ภาคขยายพังแล้วไฟรั่วออกมา
แต่ถ้าใช้กับแอมป์หลอดที่ใช้ไฟสูงๆ ที่ไม่ได้ใช้ output transformer
ถ้าทำแอมป์เองไม่ได้ป้องกันส่วนนี้ไว้ ในลำโพงก็ต้องใช้ C volt สูงขึ้นตาม

แต่ปกติแล้วถ้าจะโมฯลำโพง ก็ดูว่าของเดิมใช้เท่าไหร่ ก็ใช้เท่านั้นละครับ ทั้ง R และ C
ตามที่โรงงานเขาทดสอบมาแล้วว่าโอเค