Announcement

Collapse
No announcement yet.

ไฟล์ lossless ถ้าไรท์ไปแล้ว แผ่นที่ได้จะได้คุณภาพระดับไหนครับ

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • #61
    ท่าน Fourpoint เข้าใจถูกต้องทุกประเด็นเลยคับ

    ที่ยกตัวอย่าง Compressor เช่น Winzip, winrar ในการบีบอัดข้อมูลก็เป็นตัวอย่างที่ดี

    ซึ่งผลของการขยายไฟล์ก็จะเหมือนเดิมทุกประการ แต่ในกรณีที่ Compressor ของ lossless audio บีบอัดกันได้ขนาดไม่เท่ากันมันก็เป็นเรื่องเทคโนโลยีการบีบของ Compressor แต่ละเจ้าซึ่งไม่เหมือนกัน

    เช่นเดียวกับการบีบอัดไฟล์ Winzip, winrar ซึ่งอัตราในบีบอัดและความเร็วในการบีบก็ไม่เท่ากัน

    Comment


    • #62
      Originally posted by sierra View Post
      หูเป็นประสาทสัมผัสที่เชื่อถือไม่ได้คับ
      ไม่มีสัมผัสอะไรเที่ยงตรงหรอกครับ เพราะ input ของร่างกายเรา เป็น Analogs ทั้งหมด

      เหมือนมือจุ่มน้ำร้อนน้ำเย็นตอนแบบเรียนมัธยม ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นมีความสามารถด้านใดเป็นพิเศษ

      ผมศรัทธาในหูนี่เหละมากที่สุด เป็นอะไรที่อธิบายไม่ถูก มันช่วยดึงสมาธิใด้อย่างรวดเร็ว จดจ่อ และดำดิ่งเข้าไปสัมผัส

      จิตวิญญาณ , บรรยากาศ , อารมณ์ , มโนภาพ ของเพลงนั้นๆ ใด้มากมาย จนบ้างครั้งฟังแล้วขนลุก ทั้งๆ

      ที่ system กากเหลือรับ

      Originally posted by Avant View Post
      พวกสาย USB นี่ไม่อยากจะพูด ขอแค่ใช้ที่มีมาตรฐานก็พอแล้ว

      ถ้ามันเป็นแบบที่อ้างๆ กันจริงพวก Gamers ทั่วโลก และห้องเกมใน OCZ ต้องมาโมกันมันแล้ว และพวก Fayal1ty ต้องออกแบรนด์มาแล้ว

      บริษัท Network ทั้งหลายแหล่ที่เน้นความเร็ว การให้บริการเครื่องเข้า 40-50 ล้านยังใช้สายจีนเลย ทั้งที่ๆ ความผิดพลาดคือโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง สาย USB Kimบ๊ง Kimber อะไรไม่รู้จัก

      แต่เอาเหอะ เชื่อหูตัวเองละกัน
      ขอบคุณครับ เป็นความคิดเห็นที่ทำให้ผมหัวเราะใด้ด้วย ทั้งๆที่ไม่เห็นจะขำตรงใหน

      Comment


      • #63
        ขออ้างอิงการทดลองอันนี้ครับ
        http://audio-teams.com/webboard/?ca1=16&id=53707
        ท่านเจ้าของกระทู้เขาได้ทำ 2 อย่างคือ เอา DVD ต้นฉบับ มาทำ lessles แล้ว write กลับมาเป็น DVD อีกที
        2 เอาต้นฉบับ มาไรท์เป็น MP3 แล้วเอามาฟังเทียบกันทั้ง 3 แบบ
        ได้ผลว่า

        ผลการทดสอบ
        การทดสอบที่ 1
        Wave to audio DVD (Princo)
        ได้เสียงที่มีพลังมากขึ้น (Impact และ Dynamic), Body ใหญ่มากขึ้น พื้นเสียงสะอาดดีขึ้น ช่องไฟขยายตัวมากขึ้น แต่สิ่งที่หายไปคือ บรรยากาศ อ่อนรายละเอียด ความหวานฉ่ำ (Livingston Taylor) มีแต่ความแห้งผาก ปลายเสียงที่ห้วน แข็ง (Nat King Cole) (dvd ตัวนี้เล่น CD ปกติ น้ำเสียงถือว่าพอใช้ อบอุ่น มีรายละเอียดพองาม แต่ก็ไม่แห้งผาก)

        การทดสอบที่ 2
        Mp3 to audio DVD (TDK)
        แนวทางเป็นไปตามการทดสอบที่ 1 แต่ที่น่าพอใจคงจะเป็น mp3 ที่ 192 kbps ขึ้นไปได้สำเนียงเสียง ละม้ายคล้าย CD ต้นฉบับ เพียงแต่อ่อนด้านรายละเอียด ความสดใสไปบ้าง

        จากตรงนี้แล้วทางเจ้าของกระทู้ได้ไปสรุปเป็น เรื่องของแผ่นไปเสีย
        แต่ที่แน่ๆ ผลการทดสอบนี้ไม่ได้เกิดจากผม แต่มีผลตรงกันว่า
        ฟังออกนะครับ ว่าดีหรือด้อยจาก master อย่างไร ส่วนว่า จะเกิดจากส่วนไหน ผมไม่ได้ร่วมทดสอบด้วยเลยไม่อาจทราบได้

        ท่าน redbook ได้ให้ข้อคิดไว้อย่างสวยงามว่า
        ถ้านำเรื่องที่พิจารณามาเขียนเป็นสมการ อาจเห็นได้ดังนี้

        แผ่น CD
        เสียงดนตรีธรรมชาติ (A) - บันทึก PCM -> มาสเตอร์ (B) - ปั๊ม (P) -> ซีดี (CD)
        : A -PCM-> B -Press-> CD

        แผ่น SACD
        เสียงดนตรีธรรมชาติ (A) - บันทึก DSD -> มาสเตอร์ (B) - ปั๊ม (P) -> ซีดี (SA)
        : A -DSD-> B -Press-> SA

        สิ่งที่เปรียบเทียบกันคือ CD v.s. SA

        โดยเงื่อนไขคือกระบวนการ PCM และ DSD ที่ *ผู้ผลิต* เป็นผู้ทำ ให้เสียงของ CD และ SA มี "คุณภาพ" ตามมาตรฐานของเขา

        ทางเลือกโดยใช้โปรแกรมแปลงเป็น mp3 หรือ upsampling
        ซีดี - ดัดแปลง (Modify) -> ไฟล์ใหม่ (F) -เบิร์น-> CD2
        : CD -MOD-> F -Burn-> CD2

        สิ่งที่เปรียบเทียบกันคือ CD v.s. CD2

        ถ้าเอามาเทียบกันแบบนี้

        ผู้ผลิตทำ
        1. A -PCM-> B -Press-> CD
        2. A -DSD-> B -Press-> SA
        ผู้ฟังทำ
        3. CD -MOD-> F -Burn-> CD2

        เราจะมีตัวเทียบให้เล่นได้มากกว่าเดิม
        1. CD v.s. SA
        2. CD v.s. CD2
        3. CD2 v.s. SA

        ในงานวิจัยข้างต้นเขาเอาผลของ CD v.s. SA มาให้ดูกัน ก็น่าสนใจอยู่ที่จะมีงานวิจัยที่เชื่อถือได้มาให้เราดูกัน สำหรับ CD v.s. CD2 และ CD2 v.s. SA

        แต่สิ่งที่ซาว์นเอ็นจิเนียร์ เขายังไม่ยอมรับกันคือ

        PCM v.s. MOD

        โดยมาตรฐานของกระบวนการผลิตที่เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลแยกแทรกหรือต้นฉบับที่บันทึกมาจากเสียงดนตรีได้ ซึ่งผิดจากวิธีการทำ CD2 ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปถึง A ได้ รวมทั้งวิธีการดัดแปลงข้อมูล MOD นี้ทำอะไรลงไปบ้างก็ไม่ทราบ นอกจากการฟังเสียงที่ได้ยินจากชุดฟังของผู้ใช้เอง

        สิ่งยังไม่ได้รับการอธิบายและพิสูจน์ให้เห็นชัดเจน อย่างที่เขียนไว้ใรกระทู้ต้นๆครับ

        คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวกัน

        "ก๋วยเตี๋ยวอร่อย" กลับมาบ้านปรุงรสเอง กินแล้ว "อร่อยกว่า" แล้วไปบอกเจ้าของร้านว่าตัวเอง "ทำ" ได้อร่อยกว่าอีก เจ้าของร้านคงงงน่าดู เพราะว่าลูกค้าก็เต็มร้านอยู่วัน แถมเครื่องปรุงต่างๆนาๆก็มีมากมายกว่า น้ำตาล น้ำส้ม พริกป่น น้ำปลา ที่เติมกันที่บ้าน

        ตกลงว่าก๋วยเตี๋ยวไหนอร่อยกันแน่ ? ที่บ้านหรือที่ร้าน

        ถ้าอยากรู้ก็ต้องไปเปิดร้านแข่งข้างๆแล้วดูว่าร้านไหนลูกค้ามากกว่ากัน

        แต่ถ้าขายคนใต้ ถ้าไม่เผ็ดละก็ขายไม่ออกแน่ๆ เจ้าของร้านรู้ใจ มีเครื่องปรุงไว้ให้ อยากปรุงอะไรปรุง เผ็ดแค่ไหนก็ใส่กันเองเลย หรือว่าถ้าเปิดเพลงคลาสิกแผ่นซีดีทองในร้านก๋วยเตี๋ยวให้ลูกค้าฟัง คนกินอาจจะบอกว่ารำคาญ ปิดไปเถอะ

        "อีชั้นชอบหมอลำมากกว่า" แค่วิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องละ 200 บาท ก็ไพเราะจับใจแล้ว ก๋วยเตี๋ยวก็แซ่บอีหลี :-)

        ผมขอสรุปตามความคิดเห็นตรงนี้และจะไม่ขอเข้ามาตอบอีกครับ ฝากให้พี่น้องพิจารณาและเทสกันดูตามอัธยาศัย

        Comment


        • #64
          ^
          ^
          การทดลองที่คุณยกมา คือการทดลองเปรียบเทียบการ up-sampling จากต้นฉบับ file wav ธรรมดา เป็น format audio DVD นะครับ

          เป็นการตั้งใจดัดแปลงข้อมูลจากต้นฉบับให้มี sampling มากขึ้นจากการจำลองข้อมูลด้วยsoftwareเพิ่มขึ้นมานะครับ ยังไงมันก็ต้องเปลี่้ยนอยู่แล้วล่ะ

          งงว่า มันเกี่ยวกับประเด็นที่เราคุยกันตรงไหน? เราคุยกันเรื่องการแปลงข้อมูลดิจิตอล ที่ไม่เกิดการสูญเสียกันนะครับ ไม่ใช่เรื่อง การดัดแปลงข้อมูลขึ้นด้วยการ up-sampling?!?!?!

          Comment


          • #65
            เรื่องสาย Dac Ayre Qb-9 (ตัวเปงแสง) เห็นด้านหลังมีแต่ช่องเสียบ usb แค่อย่างเดียว เจ๋งจริง

            Comment


            • #66
              Originally posted by XsoeIIsJ View Post
              ไม่มีสัมผัสอะไรเที่ยงตรงหรอกครับ เพราะ input ของร่างกายเรา เป็น Analogs ทั้งหมด

              เหมือนมือจุ่มน้ำร้อนน้ำเย็นตอนแบบเรียนมัธยม ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นมีความสามารถด้านใดเป็นพิเศษ

              ผมศรัทธาในหูนี่เหละมากที่สุด เป็นอะไรที่อธิบายไม่ถูก มันช่วยดึงสมาธิใด้อย่างรวดเร็ว จดจ่อ และดำดิ่งเข้าไปสัมผัส

              จิตวิญญาณ , บรรยากาศ , อารมณ์ , มโนภาพ ของเพลงนั้นๆ ใด้มากมาย จนบ้างครั้งฟังแล้วขนลุก ทั้งๆ

              ที่ system กากเหลือรับ


              ขอบคุณครับ เป็นความคิดเห็นที่ทำให้ผมหัวเราะใด้ด้วย ทั้งๆที่ไม่เห็นจะขำตรงใหน
              หูคนเราอาจจะไม่เที่ยงตรงที่สุด แต่อย่างน้อย มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ก่อเกิดการพัฒนาในแง่ของอุปกรณ์เสียงเหล่านี้อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งก็ถือว่ามีความจำเป็นที่จะขาดเสียมิได้ แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น analog หรือ digital ก็ย่อมมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป แม้แต่ในร่างกายมนุษย์ก็ยังใช้ระบทั้งสองควบคู่กันไป (digital น่าจะเห็นได้ชัดจากระบบ feedback หรือแม้แต่การประมวลผลความคิดเวลาอ่านเนื้อความของผู้อื่น ว่าจะ เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย ดี )

              แต่พูดถึง แม้ผมจะชอบความคมชัดที่ได้จาก cd แต่ก็ยังติดใจกับความเป็นธรรมชาติจากเสียงฮาร์โมนิคที่ได้จากเทปด้วย ส่วนที่ว่าแผ่นเสียงเสียงดีกว่า cd นั้น ผมว่าอาจจะแล้วแต่แนวเพลงที่ฟังและรสนิยมของผู้ฟังด้วยครับ (บางทีเราเห็นไฟล์ rip จากแผ่นเสียงซึ่งใหญ่กว่า cd เลยอาจจะมองว่าเสียงจากแผ่นเสียงน่าจะดีกว่า) เช่น ถ้าชอบฟังพวก metal อันนี้แผ่นเสียงกับฟอร์แมตเทปดูจะเข้าทางมากกว่า เพราะจะได้อารมณ์ดิบและสดเสมือนมาจากห้องอัด แต่กับเพลงบรรเลงที่เน้นการเล่นที่ซับซ้อน ผู้ฟังอาจจะต้องการรายละเอียดในแง่ของความชัดเจนของเครื่องดนตรี cd ดูจะหมาะสมกว่า แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนฟังอีกเช่นกันครับ หรือบางคนอาจจะเป้นนักสะสม ซื้อไว้ทุกฟอร์แมตเลย สบายใจดี ^ ^

              Comment


              • #67
                ผมว่าไปกันใหญ่ ละครับ

                Comment


                • #68
                  เอ่อ คนที่เข้ามาอ่านบางท่าน ผมว่าต้องปรับความเข้าใจนิดนึง

                  กระทู้นี้ น่าจะเป็นกระทู้ถกประเด็นกัน

                  ไม่ใช่กระทู้ทะเลาะกันนะครับ - -"

                  ส่วนเรื่องประสาทสัมผัสร่ากยห่วยมั้ย

                  จากที่ผมเรียนมา ผมบอกเลยครับ ว่ามันถ้าวัดที่ input เเย่กว่าอุปกรทั้งหลายเเน่ๆ

                  เเต่วัดที่ process การประมวลผลเเล้ว ร่างกายนุษ ทำได้ดีกว่าเยอะครับ

                  ไว้เดวผมเข้ามาอ่านเรื่อยๆนะ กะลังจะสอบ - -"

                  Comment


                  • #69
                    อันนี้ลองคิดเล่นๆดูนะครับ ว่าไฟล์ Lossless อย่างพวก FLAC นี่จะไม่มีการสูญเสียข้อมูลเลยแบบ100% แน่นอนหรือเปล่า หรืออาจจะใช้ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในอนาคตอาจจะมีการตรวจพบว่ายังไม่เป็น lossless โดยแท้จริง เพราะบางทีฟังก์ชั่นการตรวจจับความผิดพลาดเช่นพวก crc มันจะคำนวณโดยใช้ method แบบหนึ่ง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าได้มีการพัฒนาอัลกอริธึ่มที่มีประสิทธิภาพกว่านี้หรือเปล่า หรือการ sync พวก clock signal ทั้งในแง่ของตัววงจรเองและตัว software ควบคุม ถ้ามองในแง่ฟิสิกส์คือมีคนตั้งทฤษฏีขั้นมาแล้วพบว่ามันยังใช้ได้ถูกต้องจนกว่าจะมีทฤษฏีใหม่ๆที่ดีมามาแย้ง หรืออย่างเช่น optical fiber ที่มีการพิสูจน์กันว่า จุด zero fiber loss zero dispersio nอยู่ที่ 1.3 และ 1.55 um ตามลำดับ (กลุ่มที่ค้นพบกลุ่มแรกเป็นนักวิจัยญี่ปุ่น) และได้นำหลักนี้มาใช้กันอยู่หลายทศวรรษ แต่ไม่นานมานี้รู้สึกจะมีพวก paper บางตัวออกมาบอกว่าสองจุดดังกล่าว จะไม่ได้อยุ่ที่ความยาวคลื่นที่ค้นพบตั้งแต่แรก เพราะได้มีการคำนึงถึงปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งทำให้มีความละเอียดยิ่งขึ้น เป็นต้น แต่คิดว่าถ้า ณ ตอนนี้ ที่ยังไม่มีข้อมุลใดมาแย้งได้แบบชัดเจน ก็คงจะเป้นไปตามมาตฐานที่ว่ากันอยู่ ผมคิดว่าแบบนั้นนะ

                    Comment


                    • #70
                      ไม่ครั ตอนนี้ก็ยืนยันได้เเล้วว่า Flac มันมีค่า Error ครับ เพียงเเต่ว่ามันน้อยมากๆ

                      อันนี้เพื่อนผมมันเรียนมามันก็รู้ ผมเองก็ยังรู้ระดับหนึ่ง

                      ลองถามคนที่เรียนด้านนี้ดูครับ

                      เทคโนโลยีปัจจุบันไปไกลกว่านั้นเยอะครับ

                      เรื่องพวกนี้ หลักฐานเยอะเเยะอยู่เเล้ว

                      ประเด็นคือ มันยาว ขี้เกียจอ่าน

                      อันนี้คือความรู้ผมที่เคยศึกษามา


                      ไฟล์ Flac มันจะอ่านค่าเเค่ความสูงของแอมปลิจูดกราฟ ซึ่งมีค่า + กับ - เเค่นั้น เเต่ Slope ของตัวกราฟ SineWave ในเเต่ละจุด (หรือ differential นั่นเอง) มันไม่ได้อ่านครับ ซึ่งจุดที่ว่านี่คือ บันทึก 2 ครั้ง ใน 1 วินาที เเล้วเเตกย่อยไปครับ

                      ฉะนั้น ทำไม พอกอปไฟล์ไปเร่ือยๆ เเล้วคุณภาพจะลดลง เเต่ลดน้อยมากครับ เราะทั้งความยาวกราฟ ความถี่ คาบ มันเก็บครบหมดครับ

                      ถ้าผมมีโอกาส จะถามอาจารที่สอนอยู่จุฬาให้

                      เเต่ยืนยันว่า เรื่องพิสูจ ได้อยู่เเล้วครับ เรื่องพวกนี้ จิ๊บๆ


                      ส่วนเรื่องสาย USB Kimber พวกนั้น

                      ผมว่า ราคามันก็เเค่ 1000 นิดๆ คือ คนที่ซื้อ เนี่ย sys ต้องระดับ 30k up อย่างของผม HD800 ทั้งเซ็ตราวๆ 80000

                      กะไอเเค่ usb 1000 เนี่ย ผมมองว่า เเค่ความสวยงามของสายถัก ความคงทน ปราณีต ประกัน ก็คุ้มเเล้วครับ (ผมเองก็ใข้เพราะมันสวย) ไม่ได้กลัวมันส่งสัญญาณไม่ครบอะไรหรอก

                      คือไม่ได้ดูถูกเงิน1000 นะ เเต่ถ้าจะถามว่า ทำไมถึงซื้อเนี่ย ผมก็บอกเลย เพราะมนทน เเละสวย ครับ ไม่ดูรกโต๊ะเมือนสายดำๆบ้านๆทั่วๆไป ยังเเอบโชว์สายด้วยซ้ำ
                      Last edited by sleipnir; 25 Jun 2010, 01:41:27.

                      Comment


                      • #71
                        Originally posted by sleipnir View Post
                        ไม่ครั ตอนนี้ก็ยืนยันได้เเล้วว่า Flac มันมีค่า Error ครับ เพียงเเต่ว่ามันน้อยมากๆ

                        อันนี้เพื่อนผมมันเรียนมามันก็รู้ ผมเองก็ยังรู้ระดับหนึ่ง

                        ลองถามคนที่เรียนด้านนี้ดูครับ

                        เทคโนโลยีปัจจุบันไปไกลกว่านั้นเยอะครับ

                        เรื่องพวกนี้ หลักฐานเยอะเเยะอยู่เเล้ว

                        ประเด็นคือ มันยาว ขี้เกียจอ่าน

                        อันนี้คือความรู้ผมที่เคยศึกษามา


                        ไฟล์ Flac มันจะอ่านค่าเเค่ความสูงของแอมปลิจูดกราฟ ซึ่งมีค่า + กับ - เเค่นั้น เเต่ Slope ของตัวกราฟ SineWave ในเเต่ละจุด (หรือ differential นั่นเอง) มันไม่ได้อ่านครับ ซึ่งจุดที่ว่านี่คือ บันทึก 2 ครั้ง ใน 1 วินาที เเล้วเเตกย่อยไปครับ

                        ฉะนั้น ทำไม พอกอปไฟล์ไปเร่ือยๆ เเล้วคุณภาพจะลดลง เเต่ลดน้อยมากครับ เราะทั้งความยาวกราฟ ความถี่ คาบ มันเก็บครบหมดครับ

                        ถ้าผมมีโอกาส จะถามอาจารที่สอนอยู่จุฬาให้

                        เเต่ยืนยันว่า เรื่องพิสูจ ได้อยู่เเล้วครับ เรื่องพวกนี้ จิ๊บๆ


                        ส่วนเรื่องสาย USB Kimber พวกนั้น

                        ผมว่า ราคามันก็เเค่ 1000 นิดๆ คือ คนที่ซื้อ เนี่ย sys ต้องระดับ 30k up อย่างของผม HD800 ทั้งเซ็ตราวๆ 80000

                        กะไอเเค่ usb 1000 เนี่ย ผมมองว่า เเค่ความสวยงามของสายถัก ความคงทน ปราณีต ประกัน ก็คุ้มเเล้วครับ (ผมเองก็ใข้เพราะมันสวย) ไม่ได้กลัวมันส่งสัญญาณไม่ครบอะไรหรอก

                        คือไม่ได้ดูถูกเงิน1000 นะ เเต่ถ้าจะถามว่า ทำไมถึงซื้อเนี่ย ผมก็บอกเลย เพราะมนทน เเละสวย ครับ ไม่ดูรกโต๊ะเมือนสายดำๆบ้านๆทั่วๆไป ยังเเอบโชว์สายด้วยซ้ำ
                        อยากเห็น HD800 เป็นบุญตาจังครับ เมื่อก่อนก็เคยฝันถึง HD650 ตอนได้ไปฟังผ่านแอมป์หูฟังช้นดีได้สายสัญญาณขั้นเยี่ยมแล้วตอนฟังก็ได้แต่เคลิ่ม อิจฉาจังเลย

                        ท่าน sleipnir มีแต่หูฟังดีๆ สมัยก่อนผมก็อยากได้หูฟังดีๆ เพราะอยู่ไม่ค่อยติดบ้านเลย
                        ได้ใช้ดีสุดก็ Shure E3C เมื่อยังวัยรุ่น ตอนนั้นจำได้เลย In-Ear ที่ไทยมีสามยี่ห้อคือ
                        Shure / Western / Etymotic

                        ปล.ชอบกระทู้นี้จัง สำหรับคนที่เข้ามาอ่าน อย่าตกใจหรืออย่าคิดว่าทะเลาะกันนะครับ
                        นี่แหละครับการพูดคุยกันด้วยเหตุผลและมีหลักฐานและหลักการที่อ้างอิงได้ ไม่ได้ทะเลาะกันหรือดราม่าแต่อย่าใด
                        Last edited by TroRuwA; 25 Jun 2010, 08:21:42.

                        Comment


                        • #72
                          ก็คิดว่าเป็นไปได้ครับ เพราะน่าจะมีการพัฒนาไปพอสมควรเช่นกัน แต่ตรงที่บอกว่าเรื่องการประมาณค่า ตรงนี้ขอเสนอความเห้นเล็กน้อยครับ ผมไม่แน่ใจว่าการประมาณที่คุณ sleipnir กล่าวมา น่าจะเป็นในช่วงเริ่มแรกที่สัญญาณ analog แปลงไปเป็น digital เลยหรือเปล่าครับ เพราะรู้สึกว่ามันจะเริ่มจาก sine wave แล้วทำการแปลงแบบซอยพื้นที่ย่อยๆไปให้เต็มรูปกราฟ (ถ้าง่ายสุดก็อาจจะนึกถึงผลรวมรีมันน์ แต่ปัจจุบันมี method ที่คิดได้ละเอียดกว่าเยอะพอวมควร ex. ในเชิง numerical เช่น finite difference) ซึ่งจะเห็นว่าความต่อเนื่องในบางจุดจะขาดหายไป ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นปกติของการสูญเสียจากการแปลงดังกล่าว แต่คราวนี้พอนำมาแปลงเป็นสัญญาณ digital ในแบบพวก step signal กระบวนการ DSP อาจจะมีความเกิดขึ้นได้บ้าง แม้จะเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็อยู่ในระดับที่อาจจะพอมีบางคนแยกออกบ้าง แต่เป็นส่วนน้อย คราวนี้ก็ต้องรอดูกันครับว่าในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกขนาดไหน แต่อันนี้ความคิดส่วนตัวว่า จริงๆอาจจะพัฒนาได้มากกว่านี้อีก เพราะในการวิจัยแง่คณิตศาสตร์ มันมีอัลกอริธึ่มแปลกๆ ดีๆขึ้นมาเยอะ เพียงแต่ เวลาจะนำไปใช้ บางทีคนพัฒนาอาจจะยังไม่ได้ค้นคว้าหมด เพราะมันก็เยอะ และอาจจะไม่ได้ประสานงานกับกลุ่มนักคณิตศาสตร์โดยตรง (แต่จุดนี้มองไปจะเข้าทางของวิศวะไฟฟ้าจำพวกสื่อสารมากกว่าครับ) เพราะบางทีอ่านจากพวก paper หลายที่ก็มีการกั๊กวิธีพอสมควร แต่อันนี้เป็นลูกเล่นของทาวกลุ่มนั้นๆ ต้องให้เรามานั่งงมต่ออีกที -_ -#

                          Comment


                          • #73
                            Originally posted by HiddenDragon View Post
                            ไม่ได้พยายามจะเถียงแต่อย่างใดครับ เพียงแต่วันนี้ DAC เริมเกิด ไฟลล์ lessles เริมมี usb ก็ตามมา เป้นของใหม่ครับ ต่อไปคงมีคนเริ่มใช้
                            ตอนนี้เทคโนโลยีเริมไปที่ lessles แต่เสียงนี่ผมไม่ยอมรับครับ เพราะว่า มันต่างจากCD
                            ซึ่งแม้ CD ผมยังไม่ยอมรับเลยครับ
                            ชอบแผ่นเสียงมากกว่า
                            ทุกวันนี้ เรามีแต่จ่่ยเงินมากขึ้นแต่ฟังเสียงที่แย่ลง โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว

                            เพิ่มเติม USB นี้ไม่ได้ใช้ในการให้ข้อมูลเดิมเร็วขึ้น เขาใช้ทำให้เสียงดีขึ้น Review จาก What Hifi
                            The gains in low-end body and punch, midrange spaciousness and detail, and high-end smoothness alone are significant.

                            And, when you take into account the additional scale, superior timing and altogether more vivid presentation, the Ultraviolet 5/2 becomes a compulsory audition, if not an automatic purchase.
                            เพิ่มเติม USB นี้ไม่ได้ใช้ในการให้ข้อมูลเดิมเร็วขึ้น เขาใช้ทำให้เสียงดีขึ้น


                            สาย USB ต่อให้ดีแค่ไหนส่งผลได้แค่ดีสุด คือ "="(Equal) สัญญาณเดิม ไม่ได้ดัดแปลง หรือ "+" Plus ทำ effect ใดๆให้สัญญาณเดิมให้มัน improved ฉะนั้นสาย USB ดีแค่ไหนก็ไม่สามารถไปเพิ่มสัญญาณหรือไปเพิ่ม dynamic เพิ่ม mid ramge หรือทำให้เสียงดีขึ้น เพราะฉะนั้นไอ้ที่ What Hi-FI มันโม้มา มันเชื่อไม่ได้

                            เพราะมัน ส่งแค่ 0, 1 มีแต่ส่งถึงหรือไม่ถึง ถ้าสายแพงส่งแล้วกลายเป็น 0 1 1 ให้ฟรีก็ไม่เอา

                            สายถูก แต่ within spec ก็ทำได้เหมือนกัน

                            สายถูกแต่ไม่อยู่ใน spec ถ้าห่วยจริง ไม่ต้องหูทองก็ฟังออกครับ เพราะมันจะฟ้อง มาเป็นเสียงกระตุก ตกร่อง ไม่ใช่ฟ้องมาเป็นหวานไม่ครบ เบสไมาไม่สุดแต่อย่างใด

                            สาย Kimber ผมหมายถึงไอ้เส้นละ $300 นะ
                            เพราะถ้าเส้นละพันเอาสวยไม่ว่าเพราะถ้าแต่งบ้านแต่งโต๊ะผมก็เอาเหมือนกัน

                            Comment


                            • #74
                              ประเด็นอยู่ที่ว่า เอาไฟล์ Lossless มาจากไหนมากกว่าครับ

                              ถ้าโหลดมา ผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร

                              แต่ถ้า rip เองกะมือ ผมเคยลองเพลงของ แคลลอลี่ บลาๆ แผ่นแท้ กะ rip mp3 320k เป็นแผ่น cd-R sony
                              ผมฟังแล้วไม่ต่างครับ ยิ่งถ้าเป็น lossless ผมว่าไม่ต่างไปใหญ่

                              จริงๆแล้ว ชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้นครับ ^^
                              กลัวแผ่นเป็นรอยก็ rip มา แล้ว ไร้ใส่แผ่นไปฟังก็ไปได้ครับ ถนอมแผ่นมันดี ไม่เป้นรอย

                              Comment


                              • #75


                                ผมดึงข้อมูล WAV ซึ่งอยู่ในแผ่นแท้ออกมาให้ดูละกันนะครับ

                                ตามหมายเลขในภาพ
                                1. คำนวณหาค่า digest แบบอัลกอริทึม SHA1 ของไฟล์ต้นฉบับ ด้วยคำสั่ง sha1sum
                                ได้ค่าคือ 7c8afa4772037ae247081c72d1cc9db61273c54d

                                - สร้างไดเรกทอรี TEST และเข้าไปยังไดเรกทอรี TEST เพื่อทำการแปลงไฟล์ไว้ที่ไดเรกทอรีนี้

                                - จากนั้นทำการแปลง WAV เป็นไฟล์ flac ด้วยคำสั่ง flac
                                flac ../"ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์ - 01 - ลมรัก.wav" -o "ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์ - 01 - ลมรัก.flac"

                                - ทำการแปลงไฟล์ flac ที่ได้ กลับมาเป็น WAV อีกครั้ง ด้วยคำสั่ง flac -d
                                flac -d "ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์ - 01 - ลมรัก.flac" -o "ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์ - 01 - ลมรัก.wav"

                                2. คำนวณหาค่า digest แบบอัลกอริทึม SHA1 ของไฟล์ wav ที่ได้จากการแปลงกลับจากไฟล์ flac ด้วยคำสั่ง sha1sum เช่นเคย
                                ได้ค่าคือ 7c8afa4772037ae247081c72d1cc9db61273c54d

                                ซึ่งค่า sha1sum ที่ได้ทั้งจากไฟล์ wav ต้นฉบับ กับไฟล์ wav ที่ได้จากการแปลงกลับจากไฟล์ flac นั้นมีค่าตรงกัน
                                นั่นคือ ไม่มีข้อมูลบิทใดเลยที่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ

                                ---------------------------------------------------------------------------

                                ป.ล. 1 เห็นคำว่า LOSSLESS ผมคิดถึงไฟล์ FLAC กับ APE ทันทีเลย และคิดถึงคำว่าข้อมูลที่ได้
                                หลังการคลายข้อมูลของไฟล์ LOSSLESS แล้วต้องไม่สูญเสียข้อมูลตามนิยาม
                                ป.ล. 2 เคยเห็นบางท่านบอกไว้ว่า Apple Lossless , WMA Lossless นั้นไม่น่าจะเรียกว่า Lossless เลย
                                เพราะมันมีการสูญเสียข้อมูล พูดง่าย ๆ คือ ทั้งคู่มันเป็น Lossless เทียมนั่นเอง
                                น่าจะเรียกว่า Higher Quality หรืออะไรอื่น ๆ มากกว่าจะมาบอกว่าเป็น Lossless ให้ผู้ใช้สับสน

                                Comment

                                Working...
                                X