ไฟล์ lossless ถ้าไรท์ไปแล้ว แผ่นที่ได้จะได้คุณภาพระดับไหนครับ เท่ากับไฟล์ต้นฉบับไหมครับ ขอบคุณครับ
Announcement
Collapse
No announcement yet.
ไฟล์ lossless ถ้าไรท์ไปแล้ว แผ่นที่ได้จะได้คุณภาพระดับไหนครับ
Collapse
X
-
ขอถามอีกเรื่องครับ a/v ของ leona http://www.leonathai.com/product_detail.php?cat=6&id=74
มันดีไหมครับ เห็นมันถูกดีอ่ะครับ
Comment
-
#2 มันจะไม่เท่าได้ไงครับ ในเมื่อมันคือการบีบอัดจาก raw PCM มาเป็น compressed PCM โดยไม่มีการตัดทอนข้อมูลใดๆ
ซึ่งการบีบอัดนี้ทำย้อนกลับได้โดยไม่มีการสูญเสียใดๆ ไม่ต่างจากการใช้ zip file บีบอัด file เอกสาร .doc แล้วเปิดกลับนั่นแหละ
ยกเว้นว่าจะเทียบกับ การฟังจากแผ่นแท้ ที่อันนี้อาจมีข้อกังขาจากนักฟังที่เครื่องอ่าน (drive CD) ว่าอ่านได้ครบถ้วนจริงหรือไม่ ซึ่งก็ต้องบอกว่า หากมันอ่านได้ตรง(ตอน rip จากแผ่น CDเป็น wav ที่เป็น raw PCM) แปลงเป็น FLAC ไปและแปลงกลับก็ต้องได้เท่ากันเสมอ แต่หากมันอ่านเพี้ยนแต่แรก แปลงไปเป็นอย่างอื่นมันก็เพี้ยนตามเท่านั้นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้ามองว่า เราเล่นที่ drive เดิมๆเสมอ และเป็น Drive CD-ROM ใน PC ผมก็มองว่ามันก็อ่านได้เท่าๆกันเสมอไม่ว่าแผ่นแท้แผ่น copy(ที่ write จากการ copy ที่ drive เดียวกัน) หรือเล่นกลับจาก file นั่นแหละครับ เพราะมันอ่านครั้งแรกได้แบบนึง นำไป rip แปลงเป็น FLAC มาเปิดเทียบกับการอ่านค่าจากแผ่นเดียวกัน ย่อมได้เท่ากัน ค่า input เป็น 0101 เหมือนกัน ตัวโปรแกรมเล่นเพลง ก็ต้องส่งเสียงออกมาเหมือนๆกันครับ ด้วย algorithm ในการ error correction ของ PC CD-ROM ทำให้แก้ไขปัญหาการอ่านได้ไม่เหมือนกันไปหมด (ถ้าแก้ไม่ได้ก็อ่านไม่ได้เลยหรือไม่ก็กลายเป็นเสียงขาดๆหายๆไปไม่มีอิ่มน้อยอิ่มมาก) ส่วนเรื่อง jitter หากแปลงเป็น file แล้วย่อมไม่เกิดขึ้นครับ(จริงๆ drive CD-ROM ยุคใหม่ก็ไม่มีทางเกิด jitter ระหว่างการอ่านได้อยู่แล้วเพราะมีการอ้างอิง clock ที่แน่นอน)
แต่ถ้าไปเล่นที่เครื่องเล่นแบบแยกชิ้น อันนี้อาจมีต่าง แต่เป็นเรื่องของเทคโนโลยีในการอ่านแผ่น และมาตรฐานที่เขียนมาในวงจรอ่านค่าของเครื่องเล่น ทำให้แม้แต่การอ่านแผ่นเดิมๆ อาจได้ค่าไม่เหมือนเดิมก็ได้ด้วยซ้ำเพราะขาดการแก้ไขค่าผิดพลาดที่อ่านได้ในระดับบน (มีแต่การแก้ค่าใน low level)
Comment
-
Originally posted by Fourpoint View Post#2 มันจะไม่เท่าได้ไงครับ ในเมื่อมันคือการบีบอัดจาก raw PCM มาเป็น compressed PCM โดยไม่มีการตัดทอนข้อมูลใดๆ
ซึ่งการบีบอัดนี้ทำย้อนกลับได้โดยไม่มีการสูญเสียใดๆ ไม่ต่างจากการใช้ zip file บีบอัด file เอกสาร .doc แล้วเปิดกลับนั่นแหละ
ยกเว้นว่าจะเทียบกับ การฟังจากแผ่นแท้ ที่อันนี้อาจมีข้อกังขาจากนักฟังที่เครื่องอ่าน (drive CD) ว่าอ่านได้ครบถ้วนจริงหรือไม่ ซึ่งก็ต้องบอกว่า หากมันอ่านได้ตรง(ตอน rip จากแผ่น CDเป็น wav ที่เป็น raw PCM) แปลงเป็น FLAC ไปและแปลงกลับก็ต้องได้เท่ากันเสมอ แต่หากมันอ่านเพี้ยนแต่แรก แปลงไปเป็นอย่างอื่นมันก็เพี้ยนตามเท่านั้นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้ามองว่า เราเล่นที่ drive เดิมๆเสมอ และเป็น Drive CD-ROM ใน PC ผมก็มองว่ามันก็อ่านได้เท่าๆกันเสมอไม่ว่าแผ่นแท้แผ่น copy(ที่ write จากการ copy ที่ drive เดียวกัน) หรือเล่นกลับจาก file นั่นแหละครับ เพราะมันอ่านครั้งแรกได้แบบนึง นำไป rip แปลงเป็น FLAC มาเปิดเทียบกับการอ่านค่าจากแผ่นเดียวกัน ย่อมได้เท่ากัน ค่า input เป็น 0101 เหมือนกัน ตัวโปรแกรมเล่นเพลง ก็ต้องส่งเสียงออกมาเหมือนๆกันครับ ด้วย algorithm ในการ error correction ของ PC CD-ROM ทำให้แก้ไขปัญหาการอ่านได้ไม่เหมือนกันไปหมด (ถ้าแก้ไม่ได้ก็อ่านไม่ได้เลยหรือไม่ก็กลายเป็นเสียงขาดๆหายๆไปไม่มีอิ่มน้อยอิ่มมาก) ส่วนเรื่อง jitter หากแปลงเป็น file แล้วย่อมไม่เกิดขึ้นครับ(จริงๆ drive CD-ROM ยุคใหม่ก็ไม่มีทางเกิด jitter ระหว่างการอ่านได้อยู่แล้วเพราะมีการอ้างอิง clock ที่แน่นอน)
แต่ถ้าไปเล่นที่เครื่องเล่นแบบแยกชิ้น อันนี้อาจมีต่าง แต่เป็นเรื่องของเทคโนโลยีในการอ่านแผ่น และมาตรฐานที่เขียนมาในวงจรอ่านค่าของเครื่องเล่น ทำให้แม้แต่การอ่านแผ่นเดิมๆ อาจได้ค่าไม่เหมือนเดิมก็ได้ด้วยซ้ำเพราะขาดการแก้ไขค่าผิดพลาดที่อ่านได้ในระดับบน (มีแต่การแก้ค่าใน low level)
ยังงัย ถ้าคุณถอดกลับมันก็ไม่ต่างครับ
เเต่เทียบก็ต้องเทียบตอนที่มันเป็น m4a กับ Flac ไม่ใช่รึ ถอดกลับเป็น Flac ไปเทียบทำไมล่ะ - -"
รู้สึกกว่า m4a มันจำกัดบิทเรทสูงสุดที่ได้ครับ เเละค่าความถี่ก็จำกัดด้วย
Comment
-
คำถามคือ เอาไฟล์ lossless ไปไรท์เป็น lossless ตามเดิม คำตอบก็ต้องเป็น lossless อยู่วันยังค่ำ
แล้วใหงบางคำตอบเหมือนเค้า RIP ไปเป็นอีก Format ล่ะหือ ? หรือผมเข้าใจอะไรผิด
การอ่าน , เขียนใหม่ ในแบบ Digital ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ข้อมูลจะมีการสูญเสียเสมอ แต่น้อยมากแทบไม่ถึง 0.1 %
เพราะบรรดา Noise ในเคส,คลื่นความถี่แม่เหล็ก,สัญญาณที่ดรอปในสาย,แผ่นเกิดความร้อนขณะเบิร์น ฯลฯ
ทำให้ 101001 บางตัวมีการเปลี่ยนแปลงไป หรือเรียกง่ายๆ ว่าสัญญาณดรอปนั่นเอง
แต่ก็น้อยมากจริงๆ ต้องทำการก๊อปปี้ซ้ำเป็นแสนทอด ล้านทอด แล้วเอามาฟังกับแผ่นแรก ถึงจะแยกออกชัดเจน
แต่ในกรณีที่ Analogs ที่แปลงเป็น Digital อันนั้นข้อมูลจะดรอปหายไปประมาณ 60% แต่ด้วยเทคโนโลยี DAC ในปัจจุบัน
ก้าวหน้าไปไกล สามารถสังเคราะห์คลื่นความถี่เพื่อทดแทนที่ถูกตัดทอน ให้ใด้เสียงสมจริง ไกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด
จริงๆ นิดเดียว แต่พิมพ์เยอะไปหน่อย มันส์มือ
Comment
-
mp4 = Apple Lossless
>>>ALAC รองรับ sample rate แค่ 44,100 และ 48,000 Hz
FLAC
รองรับ sample rate ตั้งแต่ 1 Hz ถึง 1048.57 kHz
ครับ bit depth ก็ใช้ได้ถึง 32 bit ครับ
ฉะนั้น ถ้าให้ตอบ จขกท คือ ถ้าเอา CD ทั่วไป มาไรท์เป็น lossless มันลดลงเเน่ครับ ที่บิทเรทเเละคุณภาพเสียงก็ต่างเเล้ว
เเต่ถ้าเอา lossless CD มาไรท์ ผมไม่รู้ว่า ที่คุณหมายถึง lossless มันเเค่ไหนครับ เพราะมันมีหลายอย่างทั้ง FLAC, WMA lossless, Alpple Lossless, WAV เเละอื่นอีก - -"
ส่วน จขกท เดวจะงง คืองี้ครับ
ขอจาก http://www.kotakuclub.com/forum/index.php?topic=75.0 มาละกัน
เค้าอธิบายสมมตครับ สำหรับมือใหม่ เข้าใจง่ายๆ
เป็นค่าสมมตินะครับ ให้เข้าใจง่ายๆเฉยๆ
ไฟล์เสียงรูปแบบดิจิตอลที่ใช้กันทั่้่วไปนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. Lossless Audio คือ ประเภทที่มีการสูญเสียรายละเอียดน้อย
2. Lossy Audio คือ ประเภทที่มีการสูญเสียรายละเอียดเยอะ
การสูญเสียรายละเอียดของเสียงนั้นเกิดจากการถูกบีบอัดจะว่าง่าย ๆ ก็ลองนึกถึงการเก็บค่าต่าง ๆ จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ สมมติว่าอาจารย์ให้เราไปวัดอุณหภูมิของสถานที่หนึ่ง หากวัดด้วยสายตาเราอาจประมาณได้ไม่ตรง แต่หากเราใช้มาตรวัดดิจิตอลที่มีความละเอียดสูง แล้วได้ค่าออกมา 25.65578887494444444444 องศาเซลเซียส
(ทั้งหมดนี้เป็นการสมมติเพื่อให้เข้าใจง่าย ไม่ได้เก็บแบบนั้นจริง ๆ เพราะของจริงมีขึ้นตอนวิธีที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาศึกษา)
หากเป็นการเก็บค่าแบบ FLAC จะได้ 25.65578887494[10] << ประมาณว่ามีข้อมูลที่สูญเสียน้อยมาก
หากเป็นการเก็บค่าแบบ MP3 จะได้ 25.65579
เป็นต้น ซึ่งจะทำให้รายละเอียดด้านหลังหายไป
*จะเห็นได้ว่าจากการเก็บค่าเลข 4 10 ตัว จะเหลือแค่ 2 ตัวและ [] เท่านั้น
ส่วนเรื่อง Bit Rate คือจำนวนของบิทที่จะถูกประมวลผลภายในหนึ่งหน่วยของเวลา เช่น 128 kbps คือจะมีทั้งหมด 128,000 bit ถูกประมวลผลในเวลา 1 วินาที หมายความว่า ถ้ามีจำนวนของบิทที่ถูกประมวลผลเยอะ แสดงว่าใน 1 วินาทีนั้นจะมีเสียงที่ออกมาครอบคลุมความถี่ในช่วงที่มากขึ้น ทำให้เสียงมีความละเอียดขึ้นนั่นเอง
Sample Rate จะมีหน่วยเป็น Hz
อธิบายก็คือ ความถี่(บ่อยครั้ง)ในการเก็บ ค่าความสูงของกราฟคลื่นเสียงนั่นเอง
โดยวินาทีนึงจะ เก็บค่าความสูงกี่ครั้ง
เช่น ตามปกติ เราจะใช้กันอยู่ที่ 44,100Hz
ก็หมายความว่า ในเสียง(เพลง) 1วินาที
ไม่ว่าจะมีคลื่นเสียงกี่ลูกหรือความถี่เท่าไหร่ก็แล้วแต่
เราจะเก็บค่าความสูงไว้ 44,100 ครั้ง จากเสียงนั้น 1วิ (แล้วเพลงคุณกี่นาทีนี่ เยอะชิหายเลยนะ)
ดังนั้นยิ่งเยอะ ก็จะยิ่งเก็บมาได้คล้ายกราฟเดิมมากเท่านั้น
เสริมนิดนึง
- คลื่นเสียงลูกนึง ทั่วไปก็จะมี ขึ้น กับ ลง (เอาง่ายๆบ้านๆเลยนะ ไม่อยากทำรูป -*-)
ดังนั้นถ้าจะ Sample Rate ให้ "อย่างน้อย"
มันยังคงรูปเดิมได้ ก็ต้องทำ 2 ครั้งใน 1 ลูกคลื่น คือ ตรงส่วนที่สูงที่สุด กับต่ำที่สุด
(แถมเอาเข้าจริงๆ ก็เสียรายละเอียดไปอีกเยอะด้วยซ้ำ เพราะ จำแค่ สูงสุด + ต่ำสุด)
- คนเราฟังเสียงที่มีความถี่ได้สูงสุดราว 20,000Hz
ดังนั้นโอกาสที่เป็นไปได้ สูงสุดคือ เสียง 20,000Hz ตลอด 1 วินาที
ก็คือ 20,000 ลูกคลื่น ใน 1วินาที
จากอธิบายไปว่า ลูกคลื่นนึงอย่างน้อยต้อง Sample 2 ครั้ง
ถ้า 20,000 คลื่นใน 1 วินาที
ดังนั้น เค้าจึง Sample Rate กันที่ 44,100Hz ครับLast edited by sleipnir; 23 Jun 2010, 23:04:14.
Comment
-
#7 ผมพูดถึง M4A ตอนไหนครับ? มาตรฐานของ Apple ผมไม่สนใจเท่าไรคงตอบอะไรไม่ได้
แต่ที่ผมพูดไปคือพูดถึง raw PCM ที่อ่านจาก CD-ROM โดยตรงซึ่งโดยปกติก็จะบันทึกออกมาเป็น file WAV ครับ มีการ sampling และความถี่เท่าต้นฉบับทุกประการ 44.1kHz 16Bits(*แก้ไขค่าความถี่sampling rate ผมจำผิด) ที่เป็นมาตรฐานจากการบันทึกบน CD-Audio ครับ
#8 ถ้าเป็นดิจิตอลที่มีการตรวจสอบและแก้ไขค่าผิดพลาด (Error correction) ย่อมไม่มีการผิดเพี้ยนไปครับ ไม่งั้นคุณ save file word .doc ไป แล้วส่งให้เพื่อนคุณทาง email เพื่อนคุณส่งต่อให้คนอีก 100 ทอด คนสุดท้ายที่ได้รับ email คงเปิดอ่านออกมาเป็นคนละเรื่องกับ email ฉบับแรกแล้วสิ -_-" (ถ้าไฟล์เสียเพราะปัญหาระหว่างการส่งมันก็เปิดไม่ได้เลย หรือฟ้องข้อผิดพลาด ไม่ใช่เสียแล้วทำให้เนื้อความเปลี่ยนไปดื้อๆไม่รู้ตัว)
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับขั้นตอนการฟังเพลงของเรา
1.Studio อัดการบันทึกเสียงเล่นสด Analog --> Digital
2.โรงงานทำแผ่น Master copy Digital --> Digital
3. โรงงานปั๊มแผ่นแท้จาก Master copy Digital -->Digital
4. เราเอาแผ่นแท้มาเปิดในคอม Digital --> Digital (Drive CD อ่านค่าดิจิตอล และส่งค่าออกมาเป็น digital ไม่ได้ใช้ DAC ในตัวเอง ไม่มีการแปลงใดๆทั้งสิ้น)
5. เล่นโปรแกรมเล่นเพลง ต่อลำโพงผ่าน sound card Digital -->Analog (ตรงนี้แหละที่มีการใช้ DAC)
ถ้าเราตัดส่วน 1-3 ที่ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ก็จะมีแค่ ขั้นตอนการอ่านค่า digital จากแผ่นใน#4 และ #5 ที่ sound card แปลงค่าจาก digital กลับเป็น Analog
ซึ่งตรงที่ #4 นี่แหละที่เป็นประเด็นถกเถีัยงกัน เพราะตามมาตรฐาน CD Audio ตั้งต้นนั้นไม่มีการทำ ECC ในระดับบน คืออ่านยังไง ก็ส่งออกมาแบบนั้น อ่านผิดพลาดเพราะเป็นรอย มันก็ส่งค่าผิดพลาดมา โดยที่ไม่รู้ว่าผิด พวกเครื่องเล่นแยกชิ้นทั่วไปที่ยึุดถือมาตรฐานเก่า ก็จะเจอปัญหานี้จริง (และส่งผลให้การอ่านแผ่นแท้แต่ละครั้ง ก็อาจอ่านได้ไม่เท่ากันด้วยซ้ำ)
แต่ด้วยเทคโนโลยีของ CD-ROM (ชนิดของ drive ที่ใช้ใน computer) มีการแก้ไขค่าผิดพลาดเพิ่มมากขึ้น จากมาตรฐาน CD Audio แบบเก่าครับ มีการทำ Error correction ระดับบน มีการ sync clock เพื่อแก้ปัญหา jitter หากมันพยายามอ่านแต่อ่านไม่ได้ แก้ไขค่าผิดพลาดไม่ได้ มันก็จะฟ้องมาให้เรารู้ว่า นี่เกิดความผิดพลาดในการอ่านนะ ไม่ใช่อ่านแบบผิดๆเพี้ยนๆมาหลอกเราโดยไม่รู้ตัวได้
แต่ ok บางคนอาจจะไม่เชื่อถือว่า drive PC CD-ROM ราคาถูกๆมันจะอ่านได้ถูกต้องอะไรกันนักกันหนา (ทั้งๆที่ตัวเองนั่ง write file งานส่งประจำ) แต่ถ้ามองว่าเราใช้แผ่นต้นฉบับ อ่านค่าในระหว่างการ rip เป็น file ได้ 0101 แล้ว (ไม่สนใจว่ามันจะเพี้ยนหรือตรงตามต้นฉบับจริงๆ แต่ถือว่า เราอ่านได้ 0101)
เมื่อนำ file ที่ได้ (0101) ไปแปลงเป็น lossless ต่างๆ มันก็ยังเป็น 0101 ครับ แปลงกลับไป write แผ่นมันก็ write 0101 แล้วมาเปิดกลับ มันก็อ่านได้ 0101 เท่าๆกับที่มันเคยอ่านได้จากแผ่นแท้นั้นเอง
และเมื่อ input เป็น 0101 เท่ากัน แล้ว sound card เราจะแสดงผล(เสียง) ออกมาไม่เท่ากันได้อย่างไร?
คงต้องตีกรอบกันนะครับ ว่าจะพูดถึงมาตรฐานไหนกนัน ถ้าเครื่องเสียงราคาแพงผมไม่รู้ แต่ถ้ามาตรฐาน PC CD-ROM ล่ะก็ ยืนยันว่าเท่ากันครับ
Comment
-
อ๋อ
กำ สรุป เถียงมาตั้งนาน คนละประเด็นกันเลย
ประเด้นผม น่าจะเหมือน จขกท คือ หากไรท์ไฟล์ต้นฉบับจากเเผ่นเป็น Flac , m4a , wav มันจะมีคุณภาพเสียงที่เล่นออกมา ต่างจากว่าเเผ่นเดิมมั้ย
คำตอบคือต่าง ตามกรณีดังนี้
1 เอาเเผ่นที่เราอัดมาใหม่ ไปลง CD อีกอัน เเล้วเอาไปเล่นกับเครื่องเสียงดีๆ เทียบกับตัวต้นฉบับ ต่างเเน่นอน
2 เอาต้นฉบับ ไรท์ลงคอม ในเเต่ละฟอเเมท ต่างกันมั้ย ต่างอีกเหมือนกัน
สรุป ต่าง หากแผ่นเป็นแผ่นที่ บิทเรทสูงๆ อัดมาดีๆว่างั้นเหอะ
เพราะ m4a (Apple Lossless) จะมีค่าความถี่ที่จำกัด sample rate ที่จำกัด (เพราะต้องเอามาใช้บน itunes เเละ iPod ได้ด้วย)
WAV นี่คือ Lossless อย่างเเท้จริง จากเเผ่นครับ เเละ Flac คือการเอา WAV มาบีบอัดโดยที่ไม่เสีย Error ไปเลย เเต่าร output ออกมา ต้องขึ้นกับ player เเล้วล่ะครับ
ทีนี้ ขอตอบ จขกท
ไฟล์ จาก CD เพลง ไรท์เป็น WAV จะเหมือนต้นฉบับครับ ไม่เพี้ยนเลย เช่นเดียวกับ FLAC ที่บีบอัดมาอีกที
เเต่ทีนี้ ปัญหาคือ อาจจะเครื่องเล่นไม่ได้ เพราะเครื่องเล่นบางอันมันไม่รองรับไฟล์บางชนิด
ปัญหาคือ ไฟล์เล่นไม่ได้ ความไม่สะดวก เเละขนาดความจุ ที่มหาศาล
คนทั่วไปไม่ต้องการหรอกครับ เเบบนั้น
ดังนั้น mp3 มันถึงยังดังอยู่ในทุกวันนี้ไงครับ เพราะเครื่องไหนมันก็เล่นได้
สรุป ผมเเนะนำ ถ้าจะเอาตามสเปคจริงๆ ต้องเป็น FLAC, WAV ครับ ถ้าเครื่องที่อัดมากะ CD มีความถี่สูงจัดๆ ขนาดเกือบเป็น ultrasonic ก็สามารถเก็บได้ครับ (เเต่ลำโพงท่านอาจ�0ะเล่นไม่ได้ เเต่ตัวwฟล์อะ มันเเสดงผลได้ > ส่วน m4a เนี่ย จะเล่นไม่ได้เลย เพราะค่า max output มันไม่ถึง ต่อให้ลำโพงเล่นเสียง ultrasonic ได้ ก็ไม่ออก เเพราะไฟลที่เก็บมาจาดต้นฉบับในรอบเเรก มันเก็บความถี่ไม่ได้สูงขนาดนั้น)
เเต่่ส่วนตัว ไรท์เป็นพวก Apple lossless, mp3 คุณภาพสูง โดยเฉพาะอันเเรกคือ m4a ก็จับออกยากเเล้วครับ สำหรับหูมนุษ ยกเว้น CD 24 bit เอาเเผ่นไรท์เทพๆฟังเทียบเเผ่นเเท้ เครื่องเล่นเสียงดีๆฟังออกครับ เเหลมต่างกันอยู่บ้าง ผมฟังมาเองเเล้วอันนี้ เเต่สำหรับคนทั่วไปคงไม่ขนาดนั้นLast edited by sleipnir; 23 Jun 2010, 23:24:10.
Comment
-
ปกติก็จะมีการเช็คค่า CRC อยู่นะครับ ทั้งเวลาไรท์หรือแม้แต่เวลา Rip ไฟล์ลงเครื่องก็ตาม (ผมก็เจอบางแผ่นนะ เช็ค CRC ไม่ตรง ใช้ EAC มันก็จะพยายามแก้ให้อย่างสุดความสามารถเลย จนกว่าจะไม่ได้จริงๆ)
แต่ทั้งนี้ เรื่องคุณภาพของแผ่น ผมว่ามันก็น่ามีผลเหมือนกันนะ มีหลายกระทู้ที่พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะพวกแผ่น SHM-CD ซึ่งผู้ผลิตบอกว่าจะมีความละเอียดของเสียงและมิติที่มากกว่าโดยสามารถเล่นกับเครื่องเล่น CD ปกติได้ แต่พอดีผมลองฟังจาก System ของผมแล้วมันยังแยกความต่างไม่ออก คงต้องรอท่านอื่นซื้อมาลองบ้าง ว่าได้ผลเป็นอย่างไร (อาจจะไม่ตรงประเด็นที่ถามมาก ต้องขออถัยครับ)
Comment
Comment