ตามหลักทษฏี ตัวเก็บประจุในภาคจ่ายไฟ ไม่ว่าจะเป็นCไฟเข้าหรือCไฟออก ควรใช้ค่าสูงเท่าที่สามารถจะใช้ได้หรือใส่ได้ โดยมีค่าความต้านทานภายในของตัวเก็บประจุ(ESR)ไม่สูงเกินไปกว่าค่าที่กำหนด
ดังนั้นจะเห็นว่า ถ้าเราใช้ค่าพื้นฐานหรือค่าที่ผู้ผลิตไอซีเรกกูเลเตอร์แนะนำ ส่วนใหญ่จะใช้ค่าประมาณ10ไมโครและไม่เกิน22ไมโคร
ในทางปฏิบัติ จะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นด้วย เช่น
- พื้นที่ว่างเป็นกรอบบังคับว่า สามารถใส่ค่าความจุได้สูงสุดเท่าไหร่
- อะหลั่ยคุณภาพสูงเกรดดีจะมีขนาดใหญ่กว่าเกรดธรรมดา
- ถ้าใช้อะหลั่ยเกรดธรรมดา จะทำให้ไม่สามารถตอบสนองชดเชยได้ครบทุกส่วน อาจจะต้องใช้อะหลั่ยมาใส่เพิ่มเพื่อชดเชย เช่น การใช้ตัวเก็บประจุค่าน้อยมาต่อขนานกับตัวเก็บประจุค่ามาก(BI-CAP)
- ระยะทางของลายทองแดง บางครั้งต้องจัดเลย์เอ้าวางตัวอะหลั่ยแต่ละตัวห่.างกันมากกว่าปรกติ ก็ต้องใช้การเพิ่มค่าของอะหลั่ยเข้ามาชดเชย
ทั้งหมดที่กล่าวมา จะมีผลให้ได้ผลลัพท์ทางเสียงที่แตกต่างกันออกไปด้วย
แต่ในบางครั้งผู้ผลิตก็ใช้เทคนิคแบบนี้เพื่อปรุงแต่งเสียงให้สินค้าแต่ละรุ่นให้เสียงไม่เหมือนกัน
(แม้จะใช้วงจรเดียวกันอะหลั่ยแบบเดียวกัน แต่ถ้าต้องการให้เสียงไม่เหมือนกัน ก็สามารถทำให้แตกต่างกันด้วยการปรับเปลี่ยนค่าของตัวอะหลั่ยได้)
------------------------------------------
ที่คุณmeanถามว่า
ที่ผู้ผลิตการ์ด(Creative)เค้าใช้ค่าตัวเก็บประจุในการ์ดทั้ง2รุ่นไม่ตรงกัน เป็นเพราะเค้าต้องการให้เสียงของการ์ดแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันนั้น ใช่หรือไม่ ???
เราไม่ต้องรอถามผู้ผลิตหรือรอใครมาตอบ เพราะเราสามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเองครับ
ให้ดูค่าตัวเก็บประจุที่ต่อคั่นกลางระหว่างDACกับOP-Amp
Cตัวนี้ก็คือ Cค่า22ไมโคร ที่หลายคนถอดCที่จุดนี้ออกแล้วใส่ลวดจั๊มเข้าไปแทนที่ หรือ เปลี่ยนไปใช้ค่ามากกว่าเดิม
ตัวเดียวกับที่ผมเคยบอกว่า ถ้าคิดจะใช้Cตัวนี้
ให้ใช้ค่ามากกว่า22ไมโคร เช่น 33ไมโคร แต่ผมแนะนำให้ใช้ค่า 47ไมโคร
* ลองดูสิว่า ELITE ใส่ค่าอะไรมา *
การ์ดทั้ง2รุ่น ออกแบบและผลิตในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่กลับเลือกใช้อะหลั่ยในแต่ละรุ่นต่างกัน
คุณคิดว่า เค้าทำเพื่ออะไร ???
ดังนั้นจะเห็นว่า ถ้าเราใช้ค่าพื้นฐานหรือค่าที่ผู้ผลิตไอซีเรกกูเลเตอร์แนะนำ ส่วนใหญ่จะใช้ค่าประมาณ10ไมโครและไม่เกิน22ไมโคร
ในทางปฏิบัติ จะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นด้วย เช่น
- พื้นที่ว่างเป็นกรอบบังคับว่า สามารถใส่ค่าความจุได้สูงสุดเท่าไหร่
- อะหลั่ยคุณภาพสูงเกรดดีจะมีขนาดใหญ่กว่าเกรดธรรมดา
- ถ้าใช้อะหลั่ยเกรดธรรมดา จะทำให้ไม่สามารถตอบสนองชดเชยได้ครบทุกส่วน อาจจะต้องใช้อะหลั่ยมาใส่เพิ่มเพื่อชดเชย เช่น การใช้ตัวเก็บประจุค่าน้อยมาต่อขนานกับตัวเก็บประจุค่ามาก(BI-CAP)
- ระยะทางของลายทองแดง บางครั้งต้องจัดเลย์เอ้าวางตัวอะหลั่ยแต่ละตัวห่.างกันมากกว่าปรกติ ก็ต้องใช้การเพิ่มค่าของอะหลั่ยเข้ามาชดเชย
ทั้งหมดที่กล่าวมา จะมีผลให้ได้ผลลัพท์ทางเสียงที่แตกต่างกันออกไปด้วย
แต่ในบางครั้งผู้ผลิตก็ใช้เทคนิคแบบนี้เพื่อปรุงแต่งเสียงให้สินค้าแต่ละรุ่นให้เสียงไม่เหมือนกัน
(แม้จะใช้วงจรเดียวกันอะหลั่ยแบบเดียวกัน แต่ถ้าต้องการให้เสียงไม่เหมือนกัน ก็สามารถทำให้แตกต่างกันด้วยการปรับเปลี่ยนค่าของตัวอะหลั่ยได้)
------------------------------------------
ที่คุณmeanถามว่า
ที่ผู้ผลิตการ์ด(Creative)เค้าใช้ค่าตัวเก็บประจุในการ์ดทั้ง2รุ่นไม่ตรงกัน เป็นเพราะเค้าต้องการให้เสียงของการ์ดแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันนั้น ใช่หรือไม่ ???
เราไม่ต้องรอถามผู้ผลิตหรือรอใครมาตอบ เพราะเราสามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเองครับ
ให้ดูค่าตัวเก็บประจุที่ต่อคั่นกลางระหว่างDACกับOP-Amp
Cตัวนี้ก็คือ Cค่า22ไมโคร ที่หลายคนถอดCที่จุดนี้ออกแล้วใส่ลวดจั๊มเข้าไปแทนที่ หรือ เปลี่ยนไปใช้ค่ามากกว่าเดิม
ตัวเดียวกับที่ผมเคยบอกว่า ถ้าคิดจะใช้Cตัวนี้
ให้ใช้ค่ามากกว่า22ไมโคร เช่น 33ไมโคร แต่ผมแนะนำให้ใช้ค่า 47ไมโคร
* ลองดูสิว่า ELITE ใส่ค่าอะไรมา *
การ์ดทั้ง2รุ่น ออกแบบและผลิตในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่กลับเลือกใช้อะหลั่ยในแต่ละรุ่นต่างกัน
คุณคิดว่า เค้าทำเพื่ออะไร ???
Comment