Announcement

Collapse
No announcement yet.

[Review] แกะกล่อง DSLR Sony Alpha300 น้องเล็กจากค่ายใหญ่

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • [Review] แกะกล่อง DSLR Sony Alpha300 น้องเล็กจากค่ายใหญ่



    "มันจะดีหรอ ?" ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากเพื่อนผมทันทีที่ผมบอกกับมันว่าจะซื้อกล้อง DSLR ของ SONY หลังจากที่ผมหันหลังให้กับ SLR (ฟิล์ม) แล้วมาบี้กับกล้อง Digital Compact อยู่นานหลายปี พาให้ผมเองสงสัยว่าทำไมเพื่อนผมจึงเอ่ยประโยคกึ่งคำถามนี้ออกมา และคิดว่ามีอีกหลายคนที่สงสัยเช่นกันว่ากล้อง DSLR ของ SONY “มันจะดีหรอ?”...


    สวัสดีครับ เพื่อนๆชาว OCZ ทุกท่าน วันนี้ผมจะมาReview อุปกรณ์ถ่ายภาพ ที่ใครๆหลายคนกำลังสนใจจะหาซื้อมาใช้งาน นั่นคือกล้อง DSLR (Digital Single Lens Reflex) ส่วนรุ่นที่ผมจะนำมาเสนอเป็นกล้องของ SONY รุ่น Alpha 300 กล้องจากค่ายผู้ผลิตที่ได้ชื่อว่าเป็นยักษ์ใหญ่แห่งโลกอิเลคทรอนิกส์ เพื่อเป็นข้อมูลคร่าวๆ ในการตัดสินใจว่าผู้ใช้ระดับ Entry Level (เพิ่งซื้อเป็นตัวแรก) ควรจะเลือกใช้กล้องของ SONY หรือไม่ อะไรในตัวกล้องที่มันดีกว่ายี่ห้อที่เป็น "ขาใหญ่” ในโลกของการถ่ายภาพ ... แต่ก่อนอื่น เรามารู้จักกับผลงานคร่าวๆของ SONY ในโลกของกล้องถ่ายภาพกันก่อนดีกว่า


    SONY เริ่มก้าวเข้าสู่ระบบการถ่ายภาพแบบไม่ใช้ฟิล์มเป็นครั้งแรกด้วยกล้อง MAVICA (Magnetic Video Camera) ในปี 1981 ซึ่ง MAVICA นับได้ว่าเป็นกล้องอิเลคทรอนิกส์ (ยังไม่ใช่กล้องดิจิตอล) ตัวแรกของโลกที่ผลิตออกวางจำหน่าย โดยบันทึกภาพลงบนแผ่น FDD 2.0”, ใช้ CCD, บันทึกภาพได้ที่ 570*490 pixels หลังจากนั้นในปี 1989 ก็ปล่อย MAVICA -A7AF กล้องอิเลคทรอนิกส์ออโต้โฟกัสตัวแรก พร้อมเลนส์ซูม 6 เท่า ใช้แผ่น FDD 2.0” เหมือนเดิม สำหรับกล้องอิเลคทรอนิกส์ยุคแรกๆจะ ไม่มีจอภาพที่กล้อง เวลาจะดูภาพก็ต้องดูภาพบน TV โดยใส่แผ่น FDD ลงในเครื่องเล่น FDD... นับจากนั้นเป็นต้นมา ชื่อของ SONY MAVICA ก็เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยจุดเด่นของ MAVICA คือ “ใช้งานง่าย สื่อบันทึกราคาถูก หาง่าย” พร้อมกับปล่อยกล้อง MAVICA ตามมาอีกหลายรุ่น




    ล่วงเลยมาถึงปี 1996 จึงได้เปิดตัว MAVICA FD 5 กล้องดิจิตอลตัวแรกของโซนี่ที่บันทึกภาพลงบน FDD 3.5“ ตามมาด้วย MAVICA FD7x, FD 8x, FD9x ในปีต่อมา... แต่ในตอนนั้น มีสื่อบันทึกข้อมูลชนิดใหม่ที่จุได้สูงกว่า เล็กกว่า ทนทานกว่า และเป็นมาตรฐานของกล้องคู่แข่งอย่าง Smart Media (SM) Compact Flash (CF) ตามมาด้วย MMC และ SD เมื่อสื่อบันทึกมีขนาดเล็กลง,จุได้มากขึ้น ส่งผลให้ตัวกล้องเองก็เล็กลงและไม่ต้องพกแผ่นไปเซฟรูปทีละเป็นปึกๆ ซึ่งจุดอ่อนนี้เองที่ SONY พยายามแก้ไขโดยการเปิดตัวกล้องที่ใช้ Minidisc (MD) เป็นสื่อบันทึกภาพคือ DSC-MD1 และกล้องที่มี Memory ในตัวอย่าง DSC-F1, F2, F3 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก




    ในปี 1997 SONY จึงได้เปิดตัว Memory Stick (MS) สื่อบันทึกข้อมูลชนิดใหม่เพื่อใช้กับกล้องของตนเอง และพัฒนา MAVICA รุ่นใหม่ที่สามารถบันทึกได้ทั้ง FDD3.5 และ MS ในรุ่น FD100, FD200 เปิดตัว MAVICA ที่สามารถบันทึกภาพลงบน Mini CD-R ได้โดยตรง ในรุ่น CD2xx, CD3xx, CD400, CD500 และ CD1000 พร้อมกับการเกิดขึ้นมาของซับแบรนด์อย่าง “Cyber Shot” ที่จะลบภาพเดิมๆของ MAVICA ทิ้งไป...ไม่นานหลังจากนั้น ชื่อของ MAVICA ก็ถูกลบเลือนและแทนที่ด้วย Cyber Shot อย่างเต็มตัว จนถึงปัจจุบัน



    .
    .
    แล้วกล้องแบบ DSLR หายไปไหน? ทำไมถึงมีแต่ Compact และ DSLR-Like (ซึ่งผมว่ามันไม่ Like เหมือนชื่อ เพราะไม่มีกระจกสะท้อนภาพ ไม่มีแพนทาปริซึม เปลี่ยนเลนส์ก็ไม่ได้ เซนเซอร์เหมือน Compact แต่เทอะทะเหมือน DSLR)

    ที่ SONY ไม่มีไม่ใช่ว่า SONY ไม่สนใจตลาด DSLR แต่เป็นเพราะ SONY ยังไม่พร้อมในหลายๆด้าน และการลงทุนแบบ “นับ 1” กับ DSLR ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบรรดายักษ์ใหญ่ของโลก DSLR ทั้ง Canon, Nikon, Minolta, Pentax, Olympus ต่างก็พัฒนากล้องของตนเองมาตลอดเวลาอันยาวนานเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกล้องแบบที่จับเอากล้อง SLR มาใส่ Digital Back (ฝาหลังที่ฝัง CCD ) ในยุคแรกๆ และแบบที่พัฒนากล้องของตนเองให้เป็น DSLR เต็มรูปแบบโดยถ่ายทอดเทคโนโลยีเดิมจากกล้องSLRระบบฟิล์ม (ที่ SONY ไม่เคยมีกะเค้าเลย)





    และแล้ว โอกาสของ SONY ก็มาถึง เมื่อ Konica-Minolta หนึ่งในยักษ์ใหญ่ของโลก DSLR เกิดอาการร่อแร่ ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า ทั้งๆ ที่กล้องก็ไม่ได้เป็นรองค่ายอื่นแต่อย่างใด เมื่อถึงขีดสุดจึงต้องขายแผนกกล้องทั้งหมด ให้กับ SONY และ SONY เองก็ถ่ายทอดเทคโนโลยีของ Minolta แทบทุกอย่างมาใช้กับกล้อง DSLR ที่ตนเองจะผลิต โดยไม่คิดที่จะเอาชื่อเสียงของ Minolta มาใช้ด้วยแต่อย่างใด (ไม่เหมือนกับ Ericsson)

    กล้อง DSLR Gen 1 ของโซนี่เปิดตัวในปี 2006 ในชื่อว่า Alpha 100 ตามด้วย Alpha 700 ในปี 2007 ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับจากผู้ใช้ (ต่างประเทศ) ดีพอสมควรด้วยจุดเด่นที่สามารถใช้อุปกรณ์เดิมของ Minolta ได้ทั้งหมด ตามมาด้วยกล้องใน Gen 2 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางปี 2008 ได้แก่ Alpha 200, 300, 350 และ Alpha 900 พร้อมด้วยเลนส์และอุปกรณ์เสริมชุดใหม่อีกหลายชนิดให้เลือก
    Last edited by gidd009; 26 Jan 2009, 02:09:13.

  • #2
    เมื่อรู้ความเป็นมาของ Alpha คร่าวๆแล้ว คราวนี้เรามาลองทำความรู้จักกับ Alpha 300 ตัวเป็นๆที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องตรงหน้าผมกันดีกว่าครับ



    Package ของ Alpha300 มาในกล่องกระดาษลูกฟูกอาบมันสีส้มสดใส มุมกล่องมีสัญลักษณ์ Alpha ด้านข้างกล่องมีรูปของกล้องและเลนส์ ไม่มีเจาะหูหิ้ว ไม่มีเจาะช่องใดๆ ฝาเปิดกล่องมีสติ๊กเกอร์ซีลปิดไว้และมีตัวเลขวันที่ผลิตพิมพ์อยู่ กล้องรุ่นที่ผมจับมานี่เป็น A300X มีเลนส์ Kit ในชุดนี้ 2 ตัว คือเลนส์ 18-70 เลนส์นอมอลซูมมาตรฐานที่มีมากับกล้องตั้งแต่รุ่น A100 A200 A300 และ A350 อีกตัวก็เป็นเลนส์ 55-200 เทเลซูมระยะกลาง ต่อกับ 18-70 ปุ๊บก็ใช้งานกันได้ครบช่วงพอดี



    ส่วนที่แถมมาต่างหากเป็นอุปกรณ์ทำ Promotion นอกจากในกล่องก็มี... กระเป๋ากล้องขนาดเล็ก (LCS-BDF) ใช้ใส่บอดี้ เลนส์สองตัว พร้อมอุปกรณ์ต่างๆได้พอดิบพอดี ตัวกระเป๋าคุณภาพค่อนข้างดี ตัดเย็บเรียบร้อย แต่วัสดุหุ้มในกระเป๋าใบนี้เป็นแบบอ่อนไม่ใช่แบบโครงแข็ง (ถ้าไม่ใส่อะไรนั่งทับแล้วจะแบนแต๊ดแต๋) ใครไม่ถูกใจหรือของเยอะจะหาเปลี่ยนทีหลังก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด อีกชิ้นที่แถมมาก็คือ CompactFlash ความเร็ว 133x ของ Transcend ขนาด 2Gb. (อุปกรณ์มาตรฐานในกล่องจะไม่แถมเมมฯ) ซึ่งก็ไม่มากไม่น้อย ใช้งานกันได้เป็นงานๆ เหมือนกัน... เอาล่ะ มาแกะกล่องดูของข้างในกล่องกันดีกว่า




    อุปกรณ์ในกล่องจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ (แต่แน่นเอี๊ยด) เมื่อรื้อทุกอย่างออกมาแล้วจะประกอบไปด้วย

    -- บอดี้ Alpha300
    -- เลนส์ 18-70 F 3.5-5.6 พร้อม Hood กระบอก
    -- เลนส์ 55-200 F4-5.6 พร้อม Hood กระบอก
    -- แบตเตอร์รี่มาตรฐาน 1 ก้อน
    -- ชุดชาร์ตแบตเตอรี่พร้อมสายไฟ
    -- สาย USB
    -- สาย video สำหรับต่อกับ TV
    -- สายคล้องคอแบบกว้าง (ฝรั่งเรียกสายคล้องไหล่) พร้อมแผ่นปิดช่องมองภาพ
    -- CD Software 1 แผ่น
    -- คู่มือใช้งาน 2 เล่ม (ไทย-อังกฤษ), Catalog อุปกรณ์เสริม, คู่มือประกอบกล้อง, ใบรับประกันศูนย์ SONY THAI

    ทั้งหมดนั่น คือของที่ทุกท่านจะได้รับกลับบ้าน (เมื่อจ่ายตังแล้ว) ของบางชิ้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง โดยเฉพาะ CF (รุ่นหลังๆ จะแถมของ SONY เอง) เอาล่ะเมื่อรู้แล้วว่ามีอะไรบ้าง ต่อไปผมว่าเรามาดูรายละเอียดอุปกรณ์แต่ละชิ้นกันดีกว่า... เริ่มกันที่


    SONY SAL 18-70 F3.5-5.6 DT


    เลนส์ซูมคิต (Zoom Kit) ระยะมาตรฐาน ช่วงการซูมตั้งแต่ 18-70 มม. เมื่อเทียบกับกล้องแบบฟิล์มแล้วก็จะได้ระยะเป็น 28-105 มม. เลนส์ตัวนี้ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา (มากๆ) รูปร่างก็ธรรมดาพอไปวัดไปว่าได้ ช่วงซูมที่ให้มาถือได้ว่าครอบคลุมการถ่ายภาพทั่วไปได้ดีมากๆ ซึ่งเลนส์คิตยี่ห้ออื่น มักจะให้มาแค่ 18-55 เท่านั้น เลนส์ตัวนี้มาพร้อมกับฮูดทรงกระบอกแบบบางขนาดจิ๋ว




    ขนาดกระบอกเลนส์เมื่อหดสั้นสุด (35 มม.) และยืดสุด (70มม.) วงแหวนซูมเป็นยางแบบซี่ละเอียด ดูดมือ(และฝุ่น)ดีมาก หมุนซูมง่ายเหมาะมือ แต่วงแหวนโฟกัสมีขนาดเล็กเกินไปหน่อย ไม่เหมาะกับการโฟกัสด้วยมือ เลนส์ตัวนี้โฟกัสได้ใกล้สุดที่ 38 ซม. ก็พอจะถ่ายภาพมาโครเล็กๆได้อยู่



    หน้าเลนส์ขนาด 55 มม. หมุนตามเมื่อทำการโฟกัส (ใส่ฟิลเตอร์ CPL ไม่ได้ T^T) ส่วนเม้าท์ท้ายเลนส์เป็นพลาสติกตามแบบฉบับของเลนส์คิต




    เมื่อสวมเข้ากับกล้องแล้วมีขนาดเล็กกำลังดี จับถนัด และเพราะเป็นเลนส์ที่มีน้ำหนักเบาจึงไม่ทำให้กล้องหน้าทิ่มเมื่อคล้องสายคล้องคอ ส่วนฮูดไม่ใส่จะสวยกว่า เพราะรูปร่างเลนส์เมื่อใส่ฮูดมันยังดูแปร่งๆไงไม่รุ และเอาเข้าจริงๆ ผมว่าฮูดบางแบบนี้ มันแทบจะไม่ได้ช่วยกันแสงอะไรเท่าไหร่เลย


    SONY SAL 55-200 F 4-5.6 DT

    เลนส์เทเลซูมคิต (Tele Zoom Kit) ระยะไกล ช่วงการซูมตั้งแต่ 55-200 มม. เมื่อเทียบกับกล้องแบบฟิล์มแล้วก็จะได้ระยะเป็น 80-300 มม. เลนส์ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบากว่าเลนส์เทเลทั่วไป รูปร่างสวยงามลงตัวกับกล้องเป็นอย่างดี ช่วงซูมที่ให้มาครอบคลุมการถ่ายภาพระยะกลางและไกลได้ดี ตัวเลนส์มาพร้อมกับฮูดทรงกระบอกขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งเท่าที่ลองใช้งาน ฮูดตัวนี้ช่วยกันแสงอันไม่พึงประสงค์ได้ดีมาก




    เมื่อหดสั้นสุดที่ 55 มม. ไม่ยาวเลย ดูแทบไม่ออกว่านี่คือเทเล แต่เมื่อยืดสุดที่ 200 พร้อมโฟกัสที่ใกล้สุด จะยาวเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ยางวงแหวนซูมเป็นแบบซี่ละเอียดเหมือน 18-70 (และก็ดูดฝุ่นเหมือนกันด้วย) ซูมง่าย เหมาะมือ แต่แหวนโฟกัสเล็กและใช้งานยากเหมือน 18-70 เดี๊ยะ (-_-)




    หน้าเลนส์ขนาด 55 มม. เท่ากับ 18-70 จึงสามารถเปลี่ยนใช้ฟิลเตอร์ร่วมกันได้ แต่เปลี่ยนฮูดไม่ได้ เม้าท์ท้ายเลนส์เป็นพลาสติกตามแบบฉบับเลนส์คิต (เช่นเคย)




    รูปร่างเมื่อสวมฮูดใช้งานดูดุดันและไม่ “ก๋องแก๋ง” เหมือนฮูดของ 18-70 น้ำหนักก็ไม่มากเกิน หน้ากล้องไม่ทิ่มลงเมื่อสวมสายคล้องคอ วงแหวนซูมใช้งานได้ถนัด แต่โฟกัสค่อนข้างช้ากว่าและมีเสียงดังกว่า 18-70 เล็กน้อย



    SONY Alpha300 Body

    ถึงคิวพระเอกของ Review ครั้งนี้
    บอดี้ A300 กล้อง DSLR ความละเอียด 10.2 ล้านพิกเซล โครงสร้างหลักภายนอกเป็นพลาสติกพ่นผิวทราย เนื้องานของตัวบอดี้เรียบร้อยดีมาก ไม่มีกรอบแกรบยวบยาบ รอยต่อต่างๆสนิทไม่มีเผยอ ขนาดโดยรวม “ไม่เล็ก” น้ำหนัก “ไม่เบา” (เป็นกล้อง Entry Level ที่หนักที่สุด แต่ก็ไม่ได้หนักเป็นหิน) ด้านหน้าของกล้องจะมองเห็นแปลนเม้าท์เป็น Stainless เซาะขอบสีส้ม ตัวฐานแปลนเม้าท์จะยกสูงกว่ากล้องยี่ห้ออื่นเล็กน้อย ด้านหน้ามีโลโก้ Alpha และชื่อรุ่น มือจับ (Grip) หุ้มยางผิวหยาบลายหนัง




    ด้านหลังอุดมไปด้วยปุ่มต่างๆมากมาย จัดวางตามหลัก Ergonomic สำหรับคนถนัดขวา (ไม่มีกล้องสำหรับคนถนัดซ้ายอย่างผมเลย T^T) จอ LCD มีขนาด 2.7 นิ้ว (ในภาพ ผมติดฟิล์มกันรอยแล้ว) ก็ไม่ถือว่าเล็ก ช่องมองภาพ มีเซนเซอร์ Eye Start AF




    ด้านบน มีแฟลช PopUp พร้อม Hot Shoe แฟลชภายนอก ปุ่มเลือกโหมดบันทึกภาพ ปุ่มเปิดระบบ Live View ปุ่มชัตเตอร์ และวงแหวนปรับเลือกค่า มุมมองนี้จะเห็นว่าฐานเม้าท์มีความสูงมากพอสมควร




    ด้านล่าง มีช่องใส่แบตเตอรี่ สกรูสำหรับขาตั้งหรือกริปแนวตั้ง และที่น่าสนใจคือกล้องตัวนี้ ยัง “MADE IN JAPAN” อยู่ (กล้อง Entry Level ของค่ายใหญ่ค่ายนึงเค้าทำในจีน อีกค่ายนึงก็ทำในไทย )


    USB 2.0 DATA Cable, TV-Out Cable

    อุปกรณ์ที่อาจจะมองว่าไม่จำเป็น แต่มันก็ยังขาดไม่ได้ที่จะอยู่ในกระเป๋ากล้องเสมอๆ สายดาต้าของรุ่นนี้มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร แต่หัวเสียบสายไม่ใช่แบบ Mini USB เหมือนกล้องหรืออุปกรณ์ทั่วไป มันจะเป็นหัวแบบเฉพาะของ Alpha เองเลย เช่นเดียวกับสายต่อกับ TV ที่เป็นหัวแบบเดียวกันและสายต่อ TV จะมีสายสัญญาณภาพเส้นเดียวไม่มีสายสัญญาณเสียงเหมือนกล้องดิจิตอลคอมแพค (เพราะมันถ่าย VDO Clip พร้อมเสียงไม่ได้)



    Baterry, Baterry Charger

    แบตฯ มาตรฐาน ความจุ 7.2V 11.8 Wh พร้อมแท่นชาร์จแบบเร็ว ของที่ไม่มีก็ใช้กล้องไม่ได้ แบตก้อนนี้เป็นชนิด Li-ion เมื่อชาร์จเต็มจะใช้งานได้นานพอสมควร (ถ่ายได้ประมาณ 500-600ภาพ) ใช้เวลาชาร์จจาก 5% จนเต็ม 100% ประมาณ 2 ชม.



    Spec ของ Alpha300
    Last edited by gidd009; 26 Jan 2009, 01:35:03.

    Comment


    • #3
      เมื่อทราบว่าอุปกรณ์ในชุดแต่ละชิ้นมีรายละเอียดยังไงกันมาเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาประกอบเลนส์ แบตเตอรี่ แล้วลองใช้งานกันซักกะที เริ่มกันที่...


      การจัดวางปุ่มควบคุมและความเหมาะมือในการใช้งาน


      กล้อง Alpha300 แม้จะสืบเชื้อสายมาจาก Konica Minolta แต่การจัดวางปุ่มต่างๆบนตัวกล้องจะแตกต่างจาก Konica Minolta อาจเป็นเพราะ SONY ต้องการให้กล้องใช้งานได้ง่ายในแบบฉบับของ SONY เอง ซึ่งแว่บแรกที่เห็น Lay-out แบบนี้ ผมนึกในใจทันทีว่า “มันจะใช้ถนัดหรอเนี่ย" อาจเป็นเพราะผมถนัดซ้าย จึงหากล้องที่เหมาะมือได้ยากเหลือเกิน แต่เมื่อลองใช้งานไปกลับพบว่ามันใช้งานได้คล่องตัวดีมากๆ




      -ทางขวาจะเป็นปุ่มต่างๆที่ต้องใช้บ่อย อย่างเช่น ชดเชยแสง, ล็อกค่าแสง, เลือกจุดโฟกัส, ปุ่ม Fn (Function) และกันภาพสั่นไหว ด้านหลังกล้อง และปุ่ม เลือกโหมด LV, โหมอขับเคลื่อน, ตั้งค่า ISO จะอยู่ด้านบน
      -ทางซ้ายมือ เป็นปุ่มตั้งค่าและปุ่มที่ใช้ไม่บ่อย เช่น ปุ่มเปิดปิด, ปุ่ม Menu, ปุ่มปรับจอ LCD, ปุ่มลบภาพ และปุ่มแล่นภาพที่ถ่ายจะอยู่ด้านหลังกล้อง ส่วนด้านบนจะมีแป้นระบบบันทึกภาพอย่างเดียว




      -ด้านซ้าย เป็นที่อยู่ของช่องเสียบรีโมทหรือสายสั่นชัตเตอร์ และช่องเสียบอแดปเตอร์ มีฝาปิดเป็นยาง ถัดมาด้านหน้าเป็นสวิทเลือกระบบโฟกัส และปุ่มปลดเลนส์ เหนือขึ้นไปเป็นปุ่มเปิดแฟลช
      -ด้านขวา เป็นที่อยู่ของช่องใส่ CF และช่องเสียบสาย USB และ TV-out มีฝาปิดที่เป็นส่วนนึงของกริป จุดนี้เองผมพบว่าถ้าบีบกริบแรงๆกำแน่นๆ ฝาปิดจะเลื่อนเปิดเองได้ (แต่ก็ไม่บ่อยนัก)




      แฟลช PopUp ขนาด Gn.12 บนกะโหลกกล้องมีขาที่ไม่ยาวมากนัก ใช้งานทั่วไปพอได้ และแฟลชยังทำหน้าที่เป็นไฟช่วยโฟกัสในที่ที่มืดสนิทอีกด้วย ด้านล่างเป็นฝาแบตเตอรี่ล็อก 2 ชั้น ตัวฝาปิดสามารถแกะออกได้ด้วยมือเปล่า (เมื่อต้องการจะใส่กริบ)




      เมื่อถอดเลนส์ออก จะพบกับห้องบันทึกภาพ ภายในมีกระจกสะท้อนภาพ วางแนวเฉียง ด้านล่างมีเซนเซอร์ของระบบ Live View ด้านหลังเป็น CCD ขนาด 10.2 ล้านพิกเซลที่ผลิตโดย SONY เอง ( Nikon ก็ใช้บริการ SONY ) บริเวณขอบ มีสกรูออโต้โฟกัส และหน้าสัมผัสของเลนส์ ส่วนช่องมองภาพจะหุ้มด้วยยางกันแสงรบกวน มีเซนเซอร์ Eye Start AF คือกล้องจะโฟกัสภาพทันทีที่เราเอาตาไปแนบช่องมองภาพพร้อมกับปิดไฟที่จอ LCD เพื่อประหยัดพลังงาน และเมื่อเปิดใช้งานโหลด Live View จะมีม่านโลหะมาปิดช่องมองภาพเพื่อกันแสงเข้าไปรบกวนระบบวัดแสงในตัวกล้อง




      จอ LCD ขนาด 2.7” เป็นแบบปรับองศาได้ โดยปรับคว่ำลงได้ 30 องศา และหงายขึ้นได้ 90 องศา เพื่อให้ใช้งานร่วมกับระบบ Live View ได้อย่างเต็มที่ เช่น การยกกล้องขึ้นเหนือศีรษะ หรือวางกล้องในระดับพื้นดิน โครงของจอ LCD เป็นโลหะที่แข็งแรงมาก ไม่ต้องกลัวการโยกคลอน แต่ควรระวังสายแพหน่อยนึง


      รูปแบบเมนูการใช้งาน


      เมนูการใช้งานจะถูกแบ่งเป็น 2 ชุด ชุดแรกเรียงอยู่ด้านบนของตัวกล้อง เป็นชุดที่ต้องเรียกใช้งานเป็นประจำ ได้แก่ แป้นระบบบันทึกภาพ, ปุ่มเลือก Live View, ปุ่มระบบขับเคลื่อน (ตั้งเวลา), ปุ่มปรับ ISO , ปุ่มชดเชยแสง (ซูมลดภาพ), ปุ่มล๊อกค่าแสง(ซูมขยายภาพ) และปุ่มซูมดิจิตอล




      อีกชุดจะเรียงอยู่ด้านหลังกล้อง ประกอบด้วย ปุ่มเมนูตั้งค่า, ปุ่มปรับจอแสดงผล, ปุ่มลบภาพ, ปุ่มเล่นภาพ, ปุ่มฟังก์ชั่น (Fn) แป้นเลือกค่า 5 ทิศทาง(เลือกจุดโฟกัส), และปุ่มระบบกันภาพสั่นไหว




      เฟิร์มแวร์เมนูเครื่องที่ผมใช้ เป็นเวอร์ชั่น 1.0 หน้าจอเมนูเมื่อใช้งานปกติแบ่งเป็น 3 แบบ คือ
      --แบบ Simple ที่แสดงรายละเอียดพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้มือใหม่
      --แบบเป็นแบบที่แสดงรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด เหมาะกับผู้ใช้ในระดับ Advance
      --แบบสุดท้ายคือแบบที่ใช้ฟังก์ชั่น Live View




      หน้าจอแสดงผลเมื่อกดปุ่มใช้งานต่างๆ ได้แก่
      -หน้าจอเมื่อกดปุ่ม ISO บนตัวกล้อง สามารถตั้งค่า ISO ได้ตั้งแต่ 100 - 3200
      -หน้าจอแสดงระบบขับเคลื่อนและตั้งเวลา ถ่ายภาพต่อเนื่องได้สุงสุด 3 เฟรม/วินาที ตั้งเวลาถ่ายภาพได้ 2 หรือ 10 วินาที ภาพคร่อมได้ครั้งละ 3 ภาพ
      -หน้าจอแสดงระบบชดเชยแสง สามารถชดเชยแสงได้ +/- 2 EV ปรับละเอียดได้ครั้งละ 0.3 EV
      -หน้าจอแสดงภาพที่ถ่ายไป เมื่อกดปุ่ม Play สามารถเลือกได้ว่าจะให้แสดงรายละเอียดของภาพแบบใดบ้าง หรือไม่แสดงเลยก็ได้






      หน้าจอแสดงผลเมื่อใช้งานปุ่มฟังก์ชั่น (Fn) ร่วมกับปุ่มปรับ 5 ทิศทาง ซึ่งปุ่ม Fn นี้จะรวมเอาฟังก์ชั่นที่มีการใช้งานบ่อยที่สุดได้แก่
      - โหมดแฟลช มี เปิดแฟลชตลอด, แฟลชสัมพันธ์ความเร็วต่ำ, แฟลชสัมพันธ์ม่านชัตเตอร์ชุดหลัง และแฟลชไร้สาย
      - โหมดวัดแสง มีระบบวัดแสงให้เลือก 3 ระบบคือ เฉลี่ยพื้นที่ 40 ส่วน เฉลี่ยหนักกลาง และเฉพาะจุดกลางภาพ (5%)
      - โหมดพื้นที่โฟกัส เลือกได้ 3 แบบ คือ แบบกว้าง 9 จุด, แบบกึ่งกลางจุดเดียว และแบบเลือกจุดโฟกัสเอง
      - โหมดสมดุลแสงสีขาว (White Balance) มีแบบสำเร็จรูปให้เลือก 5 แบบ และยังสามารถปรับแสงแฟลชได้ หรือตั้งค่าแสงขาวแบบ Manual ก็ได้
      - โหมดปรับช่วงดนามิค สามารถเลือกได้ 3 แบบ คือปิดใช้งาน แบบธรรมดา และแบบพิเศษ
      Last edited by gidd009; 26 Jan 2009, 19:42:11.

      Comment


      • #4
        ผลทดสอบการใช้งาน


        หลังจากได้กล้องตัวนี้มาไม่นานและได้ใช้งานในระยะสั้นๆ พบว่ากล้องสามารถตอบสนองการใช้งานแตกต่างจากกล้องคอมแพคที่ผมเคยใช้ค่อนข้างมาก ที่เด่นชัดเลยก็คือความรวดเร็วและแม่นยำในการหาโฟกัส การให้สี และสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือ “ความชัดลึก” (เรียกง่ายๆว่า หน้าชัด-หลังเบลอ) ซึ่งทั้งหมดนี้ A300 ไม่ทำให้ผมผิดหวัง ช่วงเลนส์ที่ให้มาครอบคลุมการใช้งานได้ทุกด้าน ไม่ว่าจะถ่ายภาพวิว ภาพมาโคร หรือภาพบุคคล (ผมชอบใช้ 55-200 ถ่ายภาพคนมากกว่า 18-70) และที่ชอบที่สุด คือระบบ Live View ที่ใช้งานได้ไม่ต่างจากกล้องคอมแพค ช่วยให้การถ่ายภาพในมุมแปลกๆ มุมจำกัด ทำได้ง่ายมากขึ้น




        แต่เมื่อมีดี ก็ต้องมีเสียเป็นธรรมดา สิ่งที่ต้องแลกมาเมื่อใช้กล้อง DSLR คือ ความคล่องตัวที่ลดลง ยิ่งมีเลนส์สองตัว ทำให้ทุกครั้งที่ออกไปถ่ายภาพต้องสะพายกระเป๋ากล้องไปด้วยเสมอ หากเป็นกล้องคอมแพค ผมสามารถใส่กล้องลงในกระเป๋าถือ หรือแม้แต่กระเป๋ากางเกงก็ยังได้ แต่เมื่อสามารถปรับตัวได้แล้ว ความคล่องตัวที่หายไปก็ไม่เป็นอุปสรรคเท่าไหร่ ( มีแต่ความเท่ ตามมา..555+)


        และปัญหาจากการใช้งานเล็กน้อยที่พบคือ องศาของปุ่มชัตเตอร์ที่ชันเกินไปและอยู่หลังวงแหวนตั้งค่า ทำให้บางทีที่ผมต้องกดชัตเตอร์ในขณะที่คล้องคอ (แอบถ่าย) ทำได้ยาก เพราะปุ่มมันอยู่ชิดกับตัวผมมากเกินไป อีกเรื่องที่เจอก็คือ ช่องว่างระหว่างแปลนเม้าท์กับกริบมีน้อยเกินไป ทำให้เวลาจับกริบ ปลายนิ้วและเล็บจะไปติดกับฐานเม้าท์ ยิ่งคนที่นิ้วใหญ่ๆ ใส่ถุงมือ หรือไว้เล็บ อาจจะเจอปัญหานี้มากขึ้น และปัญหาอีกอย่างที่ผม(คนเดียว)เจอ ก็คือ มันเหมาะกับคนถนัดขวาอย่างเดียว... -_-




        เมื่อเทียบจุดเด่น จุดด้อยกับกล้อง DSLR ระดับเดียวกันจากกล้องคู่แข่งแล้ว ผมให้ตามนี้ครับ

        จุดเด่น
        + งานประกอบเยี่ยม
        + ปุ่มต่างๆใช้งานได้ง่ายมากๆ
        + มีโหมดแฟลชให้ใช้เยอะ
        + แบตอึด
        + หน้าจอ LCD ปรับได้
        + Live View ใช้งานได้ดีมาก
        + มีระบบกันภาพสั่นไหวที่ตัวกล้อง
        + มีเลนส์เทพๆ อย่าง Carl Zeiss ให้เลือกใช้ด้วย (ถ้าเงินถึง)

        จุดด้อย
        - ช่องมองภาพเล็ก (ต้องสละพื้นที่ให้ระบบ Live View)
        - จับไม่ถนัดในบางมุม
        - ยางหุ้มเลนส์ ฝุ่นเกาะง่ายเหลือเกิน
        - หนัก (แต่ผมชอบนะ)
        - เลนส์และอุปกรณ์เสริม หายาก ราคาค่อนข้างแพง
        - แฟลชภายนอก ต้องใช้ขาเฉพาะของ Sony หรือ Minolta เท่านั้น


        สรุป

        เทียบกับเงินสองหมื่นแก่ๆ และกล้องของคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน Alpha 300 มีจุดเด่นที่กล้องคู่แข่งไม่มีอย่าง Live View และ LCD แบบปรับองศาได้ โหมดแฟลชที่หลายหลากมากกว่า บอดี้กล้องที่เนี๊ยบและแข็งแรง แม้เลนส์และอุปกรณ์เสริม อาจจะหาไม่ง่ายและไม่หลายหลากเท่ากับกล้องเจ้าตลาด แต่ก็ยังมีของ Minolta ให้เป็นทางเลือกของผู้ใช้ได้เช่นกัน และผมคิดว่า Sony เองก็กำลังพัฒนาตรงส่วนนี้อยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นการยาก หาก Sony จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับคนที่สนใจกล้อง DSLR

        ตอนนี้ผมพอจะตอบคำถามที่ว่ากล้อง DSLR ของ SONY “มันจะดีหรอ ?” ให้กับตัวเองได้แล้วว่า "ผมไม่เสียใจเลยครับ ที่เลือก Alpha" แล้วเพื่อนๆล่ะครับ สนใจจะค้นหาคำตอบมั่งหรือเปล่า ?



        เพิ่มเติมรายละเอียดราคาในแต่ละชุดขาย และส่วนที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่นครับ

        ชุด A200K (18-70) = 18990
        ชุด A200W (18-70 + 75-300) = 23990

        ชุด A300K (18-70) = 22990
        ชุด A300X (18-70 + 55-200) = 27990

        ชุด A350K (18-70) = 28990
        ชุด A350X (18-70 + 55-200) = 34990
        ชุด A350B (Body Only) = 24990

        ราคาอัพเดท ก.พ 2009

        สำหรับความแตกต่างของ A200 A300 และ A350 ได้แก่

        A200 ใช้ CCD 10 ล้าน ไม่มี LiveView
        A300 ใช้ CCD 10 ล้าน มี LiveView กับจอ LCD หมุนได้
        A350 ใช้ CCD 14 ล้าน มี LiveView กับจอ LCD หมุนได้

        โครงสร้างเดียวกัน วัสดุเดียวกัน และประกอบใน Japan เหมือนกันหมด
        Last edited by gidd009; 6 Feb 2009, 23:37:35.

        Comment


        • #5
          ภาพตัวอย่างครับ

          เนื่องจากไม่ค่อยได้มีเวลาไปเที่ยวที่ไหนเลย วันๆนั่งจมอยู่กับกองงานตลอด เลยไม่ได้มีโอกาสเทสความสามารถของกล้องอย่างเต็มที่เท่าที่ควร มีแต่ภาพตอนที่ได้กล้องมาใหม่ๆ ลองชมดูครับ

          **ภาพทุกภาพถ่ายด้วยเลนส์คิตสองตัวนี้ตลอด บางภาพเปิดโหมดVividที่กล้อง ไม่ได้ใช้ PS ปรับแต่งใดๆ ย่อ ใส่กรอบ แล้วโพสอย่างเดียว**


























          แสดงความเห็นและถามข้อสงสัยกันได้เต็มที่ครับ
          สำหรับข้อมูลเรื่องความเป็นมาของ Mavica บางอย่างอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง เพราะแปลจากเวปต่างประเทศ

          ขอบคุณครับ
          Last edited by gidd009; 12 Feb 2009, 23:21:18.

          Comment


          • #6
            ขอบคุณครับ อ่านซะเพลินเลย รีวิวได้แจ่มจริงๆครับ

            Comment


            • #7
              รีวิว แจ่มมากครับๆ แต่เล่น Nikon ไปแล้วอ่ะครับ อิอิๆๆ

              Comment


              • #8
                รีวิวแปลจากเวป ต่างประเทศ เหรอครับ แต่ว่าแหล่มเนอะ

                ผมใช้ canon

                Comment


                • #9
                  Originally posted by dear.de View Post
                  รีวิวแปลจากเวป ต่างประเทศ เหรอครับ แต่ว่าแหล่มเนอะ

                  ผมใช้ canon
                  รีวิวทั้งหมดผมเขียนขึ้นมาเองครับ
                  ส่วนที่หามาจากเวปต่างประเทศ(ญี่ปุ่น) คือประวัติของกล้อง Mavica เท่านั้น

                  Comment


                  • #10
                    รอชมภาพทดสอบงิ

                    Sony ทำการบ้านดีขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นานๆ

                    ปล.แต่เขาก็ยังใส่ใจอะไรที่ไม่ควรใส่ใจเหมือนเดิม และที่ควรใส่ใจก็ไม่ใส่ใจซะงั่น -____-" ตามสไตล์เขาล่ะ

                    Comment


                    • #11
                      Originally posted by NICKKIEZ View Post
                      รอชมภาพทดสอบงิ

                      Sony ทำการบ้านดีขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นานๆ

                      ปล.แต่เขาก็ยังใส่ใจอะไรที่ไม่ควรใส่ใจเหมือนเดิม และที่ควรใส่ใจก็ไม่ใส่ใจซะงั่น -____-" ตามสไตล์เขาล่ะ
                      แหม่ ท่านก็... พูดได้ถูกใจจริงๆ

                      ปล. แปะภาพตัวอย่างให้แล้วครับ

                      Comment


                      • #12
                        รีวิวได้แหล่มเป็ดมากๆ

                        Comment


                        • #13
                          เขียนรีวิวออกมาดีใช้ได้เลยครับ

                          ผมมีเรื่องสงสัยนิดหน่อย......กล้องของSonyมันมีปัญหาอะไรรึเปล่า ? เพื่อนผมไม่มีใครใช้กันสักคนเลย ส่วนมากใช้กันแต่ Canon กับ Nikon 2 ยี่ห้อนี้เอง
                          ปล. ผมเจอปัญหากับกล้องCompact Sonyมากับตัวเลย พอเปิดกล้องแล้วมันสั่นหงิกๆจนถ่ายไม่ได้เลย หมดประกันแล้วด้วย T^T

                          Comment


                          • #14
                            ผม ใช้ a200 ครับ แจ่มมากๆ พอดีไม่ชอบตามกระแสอะครับ

                            ไม่รู้ทําไมเวลาเดินไปถ่าย ชอบมีคนมอง เหอๆ สงสัย ของแปลก

                            ไปเจอฝรั่งที่ เสม็ดใช้นิคอยู่ มาขอกดใหญ่เลย บอกว่า มันบอกว่า sony แจ่มมักๆ

                            Comment


                            • #15
                              รีวิวได้ดีมากๆครับ ได้ความรู้มากกมาย

                              Comment

                              Working...
                              X