Announcement

Collapse
No announcement yet.

เชิญเซ๊ยนมาเลย AVR

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • #16
    ตอบแบบคนธรรมดาๆ นะครับ

    ดูสไตล์เสียง AVR ของแต่ละยี่ห้อ ว่าเสียงมันสไตล์ถูกใจเราไหม
    และฟังชั่นที่ให้มานั้นคุ้มค่าไหม(แต่อย่าซื้อฟังชั่นอะไรที่เราคาดว่าอาจไม่ได้ใช้
    คือซื้อเผื่อได้ แต่ให้เหมาะสม เพราะฟังชั่นที่เพิ่มขึ้น คือราคาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน)
    แล้วค่อยเลือกลำโพงสไคล์เสียงที่เข้ากันได้อีกที
    หรือถ้าไปที่ร้านที่มีให้เลือกมามายก็รบกวนเค้าลองยกมาต่อทดสอบให้เราฟัง
    พร้อมกันทั้ง 2 อย่าง


    ส่วนกลัวว่า AVR นั้นจะขับลำโพงนั้นๆ ไหวหรือเปล่า
    ดูได้คร่าวๆ 2 จุดครับ เมื่อวัดเริ่มต้นที่ความต้านทานเท่ากัน
    ลำโพงมียี่ห้อหน่อยเค้าจะมีบอกไว้


    1. กำลังขับขั้นต่ำที่สามารถขับได้ เช่น 50-100 Watt(50 Watt คือกำลังขับแนะนำขั้นต่ำ)
    2. ความไวของลำโพง มีหน่วยเป็น db(เดซิเบล) เช่น 86 db หรือ 90 db
    (ลำโพงความไวสูงกว่าจะสามารถขับเสียงออกมาได้ดังกว่า เมื่อปรับความดังเท่ากัน
    หรือมองกลับกัน ลำโพงความไวสูงกว่าจะสามารถใช้แอมป์กำลังต่ำกว่าขับให้ทำงานได้ง่ายกว่าความต้านทานสูง)
    *เป็นการวัดความดังที่ระยะ***ง 1 เมตรเท่ากัน*

    ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความขยันทำการบ้านหาข้อมูลที่ถูกต้องตามเว็บของยี่ห้อนั้นๆเอง
    และขยันไปทดลองฟังให้มากๆก่อนจะตัดสินใจซื้อ(ฟังอย่างเดียวแต่ไม่ซื้อเค้าไม่ว่าหรอกครับ
    ถ้าฟังอย่างมีเหตุผลและพอเหมาะพอควร แต่ควรมีตัวที่เล็งไว้นิดหน่อยจะได้มีข้อสรุป
    และใช้เวลารบกวนร้านให้ทดลองไม่นาน)


    ***ถ้าทุนน้อยแนะนำเลือกซื้อ AVR ดีๆไว้เป็นอันดับแรกก่อนครับ***
    ***ปล. ดูกำลังขับของแอมป์ควรดูที่ 8 โอห์ม เป็นมาตรฐานครับ
    เพราะลำโพงและเครื่องเสียงบ้านส่วนมากจะมีความต้านทานที่ 8 โอห์ม ครับ
    เนื่องจากบางยี่ห้อแจ้งกำลังขับที่อาจดูมากกว่าความเป็นจริงโดยแจ้งที่
    ความต้านทานต่ำๆ เช่น 6 โอห์ม ดังนั้นควรดูความต้านทานของลำโพงที่เราเล็ง
    ให้สัมพันธ์กับ AVR ที่เราเอามาขับด้วยครับ***
    Last edited by พจน์; 13 Jan 2008, 23:32:02.

    Comment


    • #17
      ขอตอบหน่อยนะครับ ไม่ได้เซียนมาก

      จิงๆแล้วถ้าเป็นลำโพงมียี่ห้อที่ขายๆกัน พวก KEF JBL Clipsch proac และอื่นๆอีกมากมาย
      การเลือก AVR เนี่ย แบบไหนก็ขับได้ครับ ไม่ต้องไปกังวนว่าลำโพงจะแตก ก่อนลำโพงแตกหูเรา
      คงไปก่อนลำโพงอะครับ

      ที่ต้องระวังควรเป็น impedance ครับ ส่วนมากเป็น 8 โอม แต่ถ้าเจอ 4 โอมต้องระวัง
      แอมป์กำลังขับไม่สูงจิงไหม้ได้ครับ แอมป์ไหม้นะครับ เพราะมันจ่ายไฟให้ลำโพงไม่ทัน
      อีกตัวที่ต้องระวังนะครับ sensitivity ที่มีหน่วยเป็น dB มันเป็นตัวบอกถึงว่ามันขับง่ายหรือยากครับ
      ถ้าตัวนี้ยิ่งน้อยหมายถึง ต้องป้อนกำลังเข้าไปมากลำโพงถึงจะสามารถดังได้
      อันนี้ฟังมาจากคุณชัยวัฒ(จากร้านปิยะนัส) ถ้าเกิน 89dB ขึ้นไปเนี่ย ถือว่าขับง่าย AVR ตัวไหนก็ขับออก ต่ำกว่านี้ กำลังต้องสูงจิงครับ

      ผิดถูกไงก็ขอโทษด้วยนะครับ ผมก็มีประสบการณ์ไม่มาก

      Comment


      • #18
        เสริมอีกนิดครับ
        สำหรับผมเวลาเลือก ผมจะไปฟังลำโพงก่อนครับ
        ชอบเสียงตัวไหน ก็ไปหา AVR ที่ขับมันออก
        ปกติ ลำโพงคู่ละหมื่นก็ใช้แอมตัวละหมื่นขับออกครับ
        มันจะมาตายที่งบ (เหมือนผมนี้แหละ ฟังมากๆแล้วกิเลสครับ 555)
        เวลาซื้อก็ให้ความสำคัญกับลำโพงหน่อยละกันครับ

        Comment


        • #19
          1. กำลังขับขั้นต่ำที่สามารถขับได้ เช่น 50-100 Watt(50 Watt คือกำลังขับแนะนำขั้นต่ำ)
          2. ความไวของลำโพง มีหน่วยเป็น db(เดซิเบล) เช่น 86 db หรือ 90 db
          (ลำโพงความไวสูงกว่าจะสามารถขับเสียงออกมาได้ดังกว่า เมื่อปรับความดังเท่ากัน
          หรือมองกลับกัน ลำโพงความไวสูงกว่าจะสามารถใช้แอมป์กำลังต่ำกว่าขับให้ทำงานได้ง่ายกว่าความต้านทานสูง)
          ผมพยามจะบอกว่า

          1. มันมี range ของกระแส
          2. ความไว้เสียง
          3. watt

          ดังนั้น เราจะไปดูที่ หลังลำโพง แล้วบอกว่า อันนี้รับได้ หรือไม่ได้ มันไม่ได้ครับ ต้องดู Spec sheet ครับ อีกอย่างครับ อย่าลืมเรื่อง วงจร amp มันไม่พังง่ายๆ มันมีวงจรป้องกัน อีกด้วย ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว ลำโพงที่รับกระแสได้มากกว่า amp เพื่อรับการ เร่ง vol ขึ้นไป

          คุณบอกว่าเอา แอมป์ 1000 watt มาอัด 300w (แอมป์ 1000w amp PA เหรอครับอิอิ ล้อเล่นๆ) หรือเป็น PMPO แล้วลำโพงล่ะ ที่ระบุไว้ เป็น PMPO หรือ RMS และ คุณเปิดสุดได้ถึง 12 นาฬิกาหรือครับ ? อันนี้ถามนะ


          ขอตอบหน่อยนะครับ ไม่ได้เซียนมาก

          จิงๆแล้วถ้าเป็นลำโพงมียี่ห้อที่ขายๆกัน พวก KEF JBL Clipsch proac และอื่นๆอีกมากมาย
          การเลือก AVR เนี่ย แบบไหนก็ขับได้ครับ ไม่ต้องไปกังวนว่าลำโพงจะแตก ก่อนลำโพงแตกหูเรา
          คงไปก่อนลำโพงอะครับ

          ที่ต้องระวังควรเป็น impedance ครับ ส่วนมากเป็น 8 โอม แต่ถ้าเจอ 4 โอมต้องระวัง
          แอมป์กำลังขับไม่สูงจิงไหม้ได้ครับ แอมป์ไหม้นะครับ เพราะมันจ่ายไฟให้ลำโพงไม่ทัน
          อีกตัวที่ต้องระวังนะครับ sensitivity ที่มีหน่วยเป็น dB มันเป็นตัวบอกถึงว่ามันขับง่ายหรือยากครับ
          ถ้าตัวนี้ยิ่งน้อยหมายถึง ต้องป้อนกำลังเข้าไปมากลำโพงถึงจะสามารถดังได้
          อันนี้ฟังมาจากคุณชัยวัฒ(จากร้านปิยะนัส) ถ้าเกิน 89dB ขึ้นไปเนี่ย ถือว่าขับง่าย AVR ตัวไหนก็ขับออก ต่ำกว่านี้ กำลังต้องสูงจิงครับ

          ผิดถูกไงก็ขอโทษด้วยนะครับ ผมก็มีประสบการณ์ไม่มาก
          เห็นด้วยนะครับเรื่อง ความไว เสริมอีกนิดครับ ความไว้ นอกจากจะมีผลกับ ความดังเสียง แล้ว ยังสามารถนำมาเป็น Character ให้กับลำโพงได้ ลำโพงที่มีความไวที่ 90 ขึ้นไป กับ amp ที่มีกำลังพอดีๆ ไม่ใช่แอมป์หลอด จะทำให้ แสดงรายละเอียดได้สูงขึ้นด้วยครับ ถ้าใครเคยผ่านไปที่ paragon จะมีร้านนึงขาย ipod ตรงบันไดเลื่อน ชั้น 3-4 จำไม่ได้ ด้านหน้า มี Totem ตัวนึงความไว ที่ 100 กว่า ถ้าจำไม่ผิด 125 มั้ง นั่นล่ะครับ ไว้ขับ แอมป์หลอด ที่มี watt ต่ำ เป็นต้นครับ (แต่ราคาจะทำให้ควักตังค์ออกมาไม่ไวครับ 70000 กว่าบาท 1 คู่)

          อีกอย่างนะครับ ลำโพงบ้านส่วนใหญ่ (HT) มี peak ที่ไม่สูงมากนักหรอกครับ 300 watt peak ก็เป็นพวก Floor Stand แล้ว จะไปหา AVR 1000 watt ที่ไหนกันล่ะครับ

          แต่ตะกี้นี้ เห็นลำโพง NHT ที่เว็บ conice โละรุ่นเก่า น่าสนใจมากเลยครับ อยากเปลี่ยนลำโพงอีกแล้วสิ
          Last edited by Aeromancer; 13 Jan 2008, 23:43:29.

          Comment


          • #20
            Originally posted by Aeromancer
            แอมป์ Marantz 4001 ต่อ Biamp กับ Klipsch rw 10 ไม่มีปัญหาครับ เปิด Iron Maiden , Foo Fighter , Nightwith , Megadeth , ปลุกตัวเองทุกเช้าครับ ตอนนี้ก็ยังไม่มีปัญหาอะไรครับ แล้วเพลงแบบนี้เปิดแบบ หงิมๆ ติ๋มๆ ได้ที่ไหนกัน
            อ่านแล้วตามไม่ทันครับ ต่อกันอย่างไรช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยครับ

            Comment


            • #21
              เสริมอีกนิดครับ (เสริมอีกแล้ว )

              จิงๆไม่มีลำโพงยี่ห้อไหนหรอกครับ ที่อยากทำมาให้ขับยากๆ
              แสดงว่ามันต้องมีเหตุผล คือถ้าขับมันออกละก็เสียงมันก็ต้องดีมากครับ
              สังเกตว่ายิ่งลำโพงยิ่งแพง พวก B&W เนี่ยขับยากมาก
              ก็นั้นแหละ มันก็ต้องใช้ AVR ที่ราคาเหมาะสมกับมัน
              แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นกับหูเรานะครับ

              Comment


              • #22
                ความรู้ - -* ผมเลยไม่ค่อยกล้าตอบเลยท่าน เพราะผมยังไม่ค่อยได้เล่นเครื่องเสียงบ้านเท่าไหร่

                มาหาความรู้เพิ่มเติมก่อนไปเล่นจริงน่ะท่าน


                ปล.ใจร่มๆๆๆกานหน่อยทุกท่าน

                Comment


                • #23
                  Originally posted by The MOO View Post
                  อ่านแล้วตามไม่ทันครับ ต่อกันอย่างไรช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยครับ
                  ขอแจม ปรับให้แอมป์ที่มี แชลแนล A , B ปรับให้เป็น ไบแอมป์ คือ ส่งสัญญาณออกมาพร้อมกันในเวลาเดียวกัน แล้วต่อสายสัญญาณ(สายลำโพง)ให้แชลแนล A ไปเข้าขั้วลำโพงเสียงต่ำ แล้วก็ให้แชลแนล B ไปต่อเข้าขั้วเสียงสูง สำหรับลำโพงคู่หน้า


                  ...ผมเข้าใจถูกต้องมั๊ยครับท่าน Aromancer

                  Comment


                  • #24
                    Originally posted by meekung123 View Post
                    ความรู้ - -* ผมเลยไม่ค่อยกล้าตอบเลยท่าน เพราะผมยังไม่ค่อยได้เล่นเครื่องเสียงบ้านเท่าไหร่

                    มาหาความรู้เพิ่มเติมก่อนไปเล่นจริงน่ะท่าน


                    ปล.ใจร่มๆๆๆกานหน่อยทุกท่าน
                    ตอบไปเถอะครับน้องหมี ถ้ามันช่วยคนอื่นได้ ตอบตรงคำถาม ตรงประเด็นมันก็ช่วยคนอื่นได้แล้วครับ ไม่ใช่งบ3000 จัดชุด30000ไปให้ ไม่มีใครรู้ไปซะทุกเรื่องหรอกครับ รู้แบบผิดๆถูกๆก็มีเยอะไป

                    Comment


                    • #25
                      การต่อ BiAmp นั้น สัญญาณเสียงที่มาจากแหล่งต้องผ่านตัวกรองเสียงที่เป็น CrossOver Network ก่อนครับ บางครั้งก็จะมาเป็นเครื่องของมันเลยหรือบางรุ่นก็จะมีพ่วงมากับ Pre Amp จากนั้นจะแยกความถี่ต่ำกว่าจุดตัดที่เรากำหนดเป็นสัญญาณช่องหนึ่งซึ่งเป็น Mono (ความถี่จะแถว 150Hz ลงมา ความถี่ช่วงนี้หูมนุษย์เราจะจับทิศทางไม่ได้จึงไม่จำเป็นต้องทำเป็นเสียง Stero ก็ได้) ส่งไปยัง Power Amp ตัวที่จะใช้ขับ Sub Woofer ส่วนสัญญาณเสียงส่วนที่สูงขึ้นไปจากจุดตัดก็จะถูกส่งออกไปยัง Power Amp อีกตัวที่กำหนดให้ขับเสียง Mid Range > Tweeter ซึ่งสัญญาณส่วนนี้แน่นอนต้องเป็นสัญญาณ Stereo ครับ
                      ปลีกย่อยลงไปอีก ก็มีการซอยสัญญาณเสียงชุดหลังออกไปเป็นสองชุดอีก ชุดหนึ่งไปยัง Power Amp ที่ใช้ขับลำโพงเสียงกลาง (Mid Range) และอีกชุดไปยังอีกลำโพงเพื่อขับเสียงสูง ซึ่งรูปแบบนี้เขาเรียกว่า Tri Amp ครับ สุด ๆ กันก็เป็น Mono Quad Amp ที่แบ่ง Power Amp แต่ละตัวขับแต่ละ Channel ของแต่ละความถี่กันไปเลย

                      Comment


                      • #26
                        Avatar ของเจ้าของกระทู้เป็นพวงกุญแจรึเปล่าครับ หาซื้อได้ที่ไหน ีึว่า ของนอก *0*

                        Comment


                        • #27
                          แอมป์ Marantz 4001 ต่อ Biamp กับ Klipsch rw 10
                          แอบงงด้วยคน ตามที่ผมเข้าใจ Biamp ก็คือการที่เอา amp 2ตัว มาขับลำโพง 1คู่ โดยตัวนึงต่อไปที่ High อีกตัวต่อไปที่ low แล้วที่ท่านบอกว่า เอา Marantz 4001 ต่อ Biamp กับ Klipsch rw 10
                          นี่คือเอา Marantz 4001 ต่อไปที่ high แล้วใช้ Amp ของ Klipsch rw 10 ต่อไปที่ Low เหรอครับ เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน ที่เอา Amp ของ Sub มาต่อ Biamp

                          แล้วขอเสริมเรื่อง Biwire หน่อย คือถ้า Amp ท่านกำลังไม่มากหรือใกล้เคียงกับความต้องการของลำโพง ไม่ควรจะต่อ biwire เพราะการที่ต่อ Biwire Ampต้องทำงานหนักขึ้น ใช้กำลังขับมากขึ้น
                          ซึ่งถ้า amp ท่านกำลังขับไม่มากพอหรือไม่ดีพอที่จะต่อ Biwire เสียงที่ได้มันจะแย่กว่าต่อ single ซะอีก หรืออาจจะทำให้จะเร่ง volume สูงเกินจากระดับปกติทำให้ Amp ท่านจากไปก่อนวัยอันควรได้ -*-

                          ปล.สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ Biamp กับ Biwire ลองเข้าไปดูรูปที่นี่ได้ http://www.fluance.com/wiring.html#biwire

                          Comment


                          • #28
                            แอบงงด้วยคน ตามที่ผมเข้าใจ Biamp ก็คือการที่เอา amp 2ตัว มาขับลำโพง 1คู่ โดยตัวนึงต่อไปที่ High อีกตัวต่อไปที่ low แล้วที่ท่านบอกว่า เอา Marantz 4001 ต่อ Biamp กับ Klipsch rw 10
                            นี่คือเอา Marantz 4001 ต่อไปที่ high แล้วใช้ Amp ของ Klipsch rw 10 ต่อไปที่ Low เหรอครับ เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน ที่เอา Amp ของ Sub มาต่อ Biamp

                            แล้วขอเสริมเรื่อง Biwire หน่อย คือถ้า Amp ท่านกำลังไม่มากหรือใกล้เคียงกับความต้องการของลำโพง ไม่ควรจะต่อ biwire เพราะการที่ต่อ Biwire Ampต้องทำงานหนักขึ้น ใช้กำลังขับมากขึ้น
                            ซึ่งถ้า amp ท่านกำลังขับไม่มากพอหรือไม่ดีพอที่จะต่อ Biwire เสียงที่ได้มันจะแย่กว่าต่อ single ซะอีก หรืออาจจะทำให้จะเร่ง volume สูงเกินจากระดับปกติทำให้ Amp ท่านจากไปก่อนวัยอันควรได้ -*-

                            ปล.สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ Biamp กับ Biwire ลองเข้าไปดูรูปที่นี่ได้ http://www.fluance.com/wiring.html#biwire

                            ผมว่า ผมพิมพ์ผิดครับ อิอิ แก้ไขนะครับ Klipsch RF 10 ครับ เป็น Floor Stand ครับ ไม่ใช่ Subwoofer RW10 ครับ งงใหญ่เลยอิอิ

                            ผมว่า (อีกแล้ว) คุณ Dios เข้าใจผิดแล้วครับ Biamp หรือ การต่อ Biwire คือ จริงๆ เจ้า แอมป์ตัวนี้ จะ out ออกมา Stereo มา 2 ชุด พร้อมๆ กันครับ เจ้า 4001 OSE SL ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ครับ โดยมี ภาคจ่ายไฟ 2 ชุดครับ ไมเกี่ยวกับ watt ที่น้อยครับ แต่ biwire สัมพันธ์ กับการจ่ายไฟครับ

                            การต่อ biwire เป็นวิธีการเล่นเครื่องเสียงแบบนึง คุณกำลังเข้าใจผิดครับ ลำโพงที่ต่อ biwire ได้ จะต้องมี in put 2 bananaตัวรับ ดังรูปครับ ถือว่าลำโพงนี้ Supoort Biwire แล้วครับ



                            การเชื่อมต่อถ้าด้านหลังลำโพงเป็นดังรูปข้างบน ถือเป็นเรื่องปกติตครับ โดยปกติลำโพงที่ซื้อมาถ้าการเชื่อมต่อด้านหลังเป็นแบบนี้มักมี โลหะถูกหนีบเอาไว้ แต่พอเอาออก แล้วต่อสายแบบ biwire เข้าไปก็ใช้ได้ครับ ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหายอะไรเลยครับ ลำโพงที่ทำมาแบบนี้ ออกแบบมาแบบนี้ ไม่ต้องกลัวครับคนออกแบบเค้าคิดล่วงหน้าไปแล้วครับ เจ้าโลหะ ที่ถูกหนีบมา กับ Klipsch RF 10 ครับ

                            การต่อ Biwire มีหลายวิธีครับ


                            อันนี้ก็ใช่ แต่มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ Biwire น่าจะเรียกว่า biwire เทียมซะมากกว่า รูปนี้ก็เหมือนดังที่คุณ dios ให้ดูนั่นแหละครับ



                            อันนี้เป็นอีกแบบนึงที่เป็น Bi โดยแท้จริงๆ ใช้ amp 2 ตัวขับ



                            ของผมเป็นแบบนี้ครับ ลองเทียบกับรูปข้างล่างดูครับ


                            ด้านหลังของเจ้า Marantz 4001 OSL amp แบบนี้ครับ เกิดมาเพื่อ biwire ครับ แม้จะ 45 watt แต่มี ภาคจ่ายไฟสองชุด

                            สังเกตุครับ มันมี Banana Stereo 2 ชุด ก็สามารถต่อ Biwire ตามที่คนออกแบบได้แล้วครับ ถ้า + กับการต่อ ดังรูปก่อนหน้านี้ครับ (system 1 = a , system 2 = b)

                            การต่อ Biwire ไม่ได้ต่อไปเล่นๆ นะครับ เข้าต่อเพื่อต้องการ Range ความถี่ที่สูงขึ้น ต่ำลงไปอีก สูงขึ้นไปอีก สำหรับลำโพง และ แอมป์ ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น อย่างที่ท่าน dios ว่าหรอกครับ ถ้าไม่ต่อ biwire เทียมแบบนั้น ข้อเสียของการต่อ biwire มีอย่างเดียวครับคือ เวทีเสียงจะแคบลง แต่เพราะ เจ้า 4001 OSL มันออกแบบมาให้มีเวทีเสียงกว้างกว่า 4001 รุ่นธรรมดา ผมจึงทำการต่อ Biwire ผลที่ได้ มิติไม่แคบลงไปมาก เวทีเสียงฟังแล้วชัดเจนเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเข้ามา คือ แหลมสูงขึ้น เสียงต่ำ ระทึกใจขึ้นครับ ช่วงเสียงกลาง ฟังแล้วก็ประทับใจ โดยเฉพาะเสียงกีต้าร์ครับ Biwire คุ้มค่าจริงครับ

                            คุณ Dios ก็พูดซะน่ากลัวเกินไป ครับ อิอิ ต่อ biwire มีตั้งหลายแบบ ไหงพูดแต่การต่อ แบบ Single ให้เป็น Biwire ล่ะครับ สรุปคือ biwire เป็นเทคนิคอีกแบบของนักเล่นเครื่องเสียงครับ ทำกันทั่วโลกครับ ถ้าทำกันอย่างถูกวิธี และให้เสียง เกินหน้าเกินตา กว่าการต่อ Single wire ครับ
                            Last edited by Aeromancer; 14 Jan 2008, 05:01:18.

                            Comment


                            • #29
                              ไม่เข้าใจผิดหรอกครับ แบบที่คุณต่อเค้าจะเรียก Double Biwire หรือการต่อแบบ Biwire แท้ๆ
                              ส่วนเรื่องที่พวกพูดเกี่ยวกับ biwire อันนี้ผมได้รับคำแนะนำอาจารย์อ้อของร้านปิยะนัสมาครับเลยมาบอกต่อ
                              เพราะจริงๆผมก็อยากต่อ biwire เหมือนกัน แต่พออาจารย์แกบอกมาแบบนี้เลยหยุดไปก่อน -*-

                              Comment


                              • #30
                                Originally posted by Areomancer
                                ผมว่า ผมพิมพ์ผิดครับ อิอิ แก้ไขนะครับ Klipsch RF 10 ครับ เป็น Floor Stand ครับ ไม่ใช่ Subwoofer RW10 ครับ งงใหญ่เลยอิอิ
                                โอเคครับ พิมพ์ผิดไม่เป็นไร ตอนแรกอ่านแล้วงงครับ
                                Totem ราคา 70,000 บาทที่พารากอน นี่ รุ่น Model-1 sig หรือเปล่าครับ?..
                                สังเกตุครับ มันมี Banana Stereo 2 ชุด ก็สามารถต่อ Biwire ตามที่คนออกแบบได้แล้วครับ ถ้า + กับการต่อ ดังรูปก่อนหน้านี้ครับ (system 1 = a , system 2 = b)
                                ใช่ครับต่อได้ครับ แต่ความสามารถในการขับลำโพงโหลดต่ำลดน้อยลง เหมือนกับที่บอกว่า
                                Originally posted by Dios
                                แล้วขอเสริมเรื่อง Biwire หน่อย คือถ้า Amp ท่านกำลังไม่มากหรือใกล้เคียงกับความต้องการของลำโพง ไม่ควรจะต่อ biwire เพราะการที่ต่อ Biwire Ampต้องทำงานหนักขึ้น ใช้กำลังขับมากขึ้น
                                ซึ่งถ้า amp ท่านกำลังขับไม่มากพอหรือไม่ดีพอที่จะต่อ Biwire เสียงที่ได้มันจะแย่กว่าต่อ single ซะอีก หรืออาจจะทำให้จะเร่ง volume สูงเกินจากระดับปกติทำให้ Amp ท่านจากไปก่อนวัยอันควรได้ -*-
                                อีกอย่างนึงครับ
                                biwire เป็นเทคนิคอีกแบบของนักเล่นเครื่องเสียงครับ ทำกันทั่วโลกครับ ถ้าทำกันอย่างถูกวิธี และให้เสียง เกินหน้าเกินตา กว่าการต่อ Single wire ครับ
                                ขอเสริมนิดนึงครับ ต่อ biwire ส่วนใหญ่ถ้าซิสเต็มถึง เสียงดีกว่า single wire แต่ไม่เสมอไปทุกกรณีครับ เพราะลำโพงHi-End บางยี่ห้อมีแต่ single wire ครับ
                                Last edited by The MOO; 14 Jan 2008, 11:39:33.

                                Comment

                                Working...
                                X