มาแล้วจ้า Review DAC PCM1794 Hi-end "Dual Chip Dual MONO" + Discrete Regurator
VS Edifier S530D
ใครมาอ่านอย่าพึ่งตกใจว่าทำไมเอา DAC มาสู้กับลำโพงได้ เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ
S530D มี DAC ในตัวและผมกับท่านผู้นึงที่ใช้ S530D ก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะไปได้แบบไหน
ถ้าได้ใช้ DAC แยกตาหาก ก็เลยตามหา DAC ที่ถูกใจซักตัว ทีนี้ผมกับท่านผู้นั้นก็เห็นตรงกันสนใจตัวเดียวกัน
และผมได้มีความคิดจะเอา DAC ตัวนี้มาใช้กับลำโพงชุดในอนาคตของผมอยู่แล้ว
ก็เลยสอยมาลองให้รู้ซะก่อนเลย อิอิ
ขอประวัติพอสังเขบละกันนะครับ
DAC 1794 (ชื่อเล่น) เป็น DAC สัญชาติไทย ทำโดยคนไทย แต่คุณภาพเค้าว่ากันว่าดีกรีของฝรั่งราคาต้อง Up ไปอีก 6-10 เท่า
อันนี้ผมไม่ขอยืนยันนะครับ ไม่เคยลองของนอกราคาเป็นหมื่น แต่อยากสนับสนุนของคนไทยด้วยกันครับ ^^
ส่วน S530D (ชื่อเล่น) ลำโพงสัญชาติ Canada เป็นลำโพงคอม 2.1 แต่ให้เสียงที่ดีเอามากๆ โดยเฉพาะการฟังเลง
มาดู System เล็กๆของผมกันดีกว่า ทีใช้ในการทดสอบครั้งนี้เริ่มด้วย
CPU เอ้ย ไม่ใช่ Overclock หรือ Brenchmark นะเฟ้ย
เริ่มด้วย Software : Foobar 1.0.3 + wasapi + Tube sound + Noise Sharpening + Resample (SoX)
เนื่องจากหลายไฟล์ที่ใช้ในการทดสอบเป็น 24bit - 192k เลยเลือกใช้ของ SoX ละกันนะครับ จะได้ขับออกมาได้สุดเลย
มาที่ DAC 1794 ใช้สายไฟธรรมดา เส้นละไม่กี่สิบบาท
แต่ตัวนี้ผมขอให้ท่าน Time เปลี่ยนลำไส้ให้เป็นสาย Kimber และผ่าตัดศัลกรรมหน้าตาให้ออกมาเป็นสีเงิน
พร้อมใส่คอนแทคเลนสี ข้างนึงฟ้า ข้างนึงขาว และยังขอให้เพิ่ม USB Input เพื่อจะใช้ฟังเพลงกับ Notebook ในยามแก้ขัด
หน้าตาแบบนี้ดูเรียบๆ ไม่มีอะไรเลย ใครมาเห็นคงนึกว่ากล่องเหล็กธรรมดา

วางคู่กันก็ดูไปด้วยกันได้ดี

รูปนี้สาย Coax เป็นของผมเองอีกเส้นนึง ถ่ายไว้ตั้งแต่ได้มาและ พอดีขี้เกียจถ่ายใหม่ แหะๆ ^^
สวิชเปิดปิด หรือตัวเลือก Input อยู่ด้านหลังใช้โยกเอา ดูย้อนยุคดี

สายสัญญาณ
Coax : QED Reference Digital Audio ขอขอบคุณท่าน Samad ด้วยที่ให้ยืมสายมาทดลอง
RCA : The Green ด้วยตัวผมเอง เหตุผลเพราะว่า ตอนนี้ผมมี RCA ชุดนี้ดีสุดแล้วเท่าที่มีในบ้าน
ก่อนอื่นเมื่อแรกเริ่มยังไม่ได้เบินผมก็ลองเปิดฟัง เปิดปุ๊บ เกิดคำบอกในใจว่า หลอนมากๆ
ก็เริ่มบอกตัวเองอย่าพึ่งดีใจไป ลองฟังเพลอื่นก่อน ก็ลองเปลี่ยนไปอีกซัก 4-5 เพลง
ความรู้สึกบอกได้เลยว่า หลอน เหมือนเดิมครับ ไม่ใช่มันเลวร้าย
แต่มันดีจนผมขนลุกเลย ถ้าได้จับคู่กับลำโพงบ้านผมว่าไปได้ไกลกว่านี้อีก
ตอนนี้ก็เบินมาได้ประมาณ 120ชม. ก็เห็นว่ามันคงไปไกลกว่านี้ไม่มากเท่าไหร่แล้ว(มั้ง)
ก็เลยขอมาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับ
ผมขอแบ่งการรีวิวและการทดสอบเป็นส่วนๆไปนะครับ โดยการฟังจะเปิดฟังสลับกันระหว่าง
S530D และ 1794 เป็นช่วงๆไป เพื่อให้ฟังความต่างออก และไม่ฟังนานจนเกินไปเดี๋ยวหูจะล้า
และแน่นอนตื่นมาปุ๊บ ทานอาหารเช้าเสร็จปั๊บ ก็เริ่มฟังเลย เพราะพึ่งตื่นคงทำให้ประสาทหูเราตื่นตัว
เพลงร้อง
มีบรรยากาศการโอบล้อมมากขึ้น มีมิติการแยกซ้ายขวาที่ชัดเจน เวทีเสียงนั่นเขยิบมาข้างหน้ามากขึ้น
มีโฟกัสและการแยกซ้ายขวาที่ดีขึ้น เสียงนักร้อง S530D เหมือนอยู่ที่ลำคอออกมาสุดที่รอยต่อระหว่างฟันและเหงือก
แต่ 1794 เสียงร้องได้ทะยานออกมาจากปากของนักร้อง เสียงเบสนั้นกังวาลขึ้นมากกว่า มีมวลมากขึ้น และที่เหมือนจะมากเกินไปคือ
มันลงได้ลึกมากขึ้น คงเป็นอย่างท่าน Time บอกคือเหมาะกับลำโพงบ้าน(วางหิ้ง) เอามาเจอลำโพง 2.1 มีตู้เบส
ทีนี้เบสลึก หัวใจสั่นตามเลย T_T (สั่นเพราะหลงไหลใน DAC ตัวนี้ น้ำเน่าซะไม่มีเลยเรา 555+) สั่นจริงๆนะครับไม่ได้เล่นมุข
เพลงคอนเสริต บรรเลงสด หรือพวก Version Live
นิยามของคำว่าสมจริง เวทีการแสดงและบริเวณทีนั่งผู้ชมกว้างขวางกว่า S530D อยู่พอสมควร
เสียงผู้ชมปรบมือและเสียงผู้คนกรี๊สๆๆๆๆ ทำได้ดีเอามากๆ เหมือนจริงมาก ทำให้ผมมีอารมณ์ร่วมเหมือนไปนั่งฟังตรงนั้นด้วยจริงๆ
มันมีน้ำหนักสูงต่ำหนักเบา ซ้ายขวา ไกลใกล้ได้ดีกว่า S530D แบบชัดเจนเลยทีเดียว
และที่สำคัญเลยการใช้ 1794 เหนือกว่า S530D ตรงที่ได้นั่งบัตรแถวหน้าโซนติดเวที
แต่ S530D ได้นั่งแค่หน้าๆของโซนกลาง ในส่วนนี้ผมขอพูดถึงบรรยากาศอย่างเดียวละกันนะครับ
เพลงเพราะสดคงฟังกันถึงจุดนี้เป็นสำคัญ จุดอื่นขอพูดใน Part ต่อๆไป
เพลง บรรเลง เครื่องดนตรีน้อยชิ้น
เสียงเครื่องสายทั้งดีดและสี ได้ยินชัดเจนถึงการดีดตัวของสายแต่ละเส้น
ความลื่นไหลทำได้ดีกว่าเยอะ ที่สำคัญคือบางเพลงที่เสียงต่ำคอยบรรเลงอย่างเบาๆ
และมี Melody เป็นเสียงที่ค่อนข้างสูงถึงสูง S530D ฟังแล้วมีความขัดแย้งอยู่บ้าง เหมือนไม่ค่อยไปด้วยกันซักเท่าไหร่
แต่ 1794 ทำให้มันอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนมากกว่า อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่โอบล้อมและเสียงต่ำที่มีความกังวาล
หรือมีเนื้อเสียงช่วง Upper Bass มากกว่า และมีความอบอุ่นมากกว่า
deep bass ประมาณ 0 - 40 Hz
mid bass ประมาณ 40 - 80 Hz
upper bass ประมาณ 80 – 200 Hz
เพลง บรรเลงวงใหญ่ (รวมถึงเดี่ยว Piano)
พูดง่ายๆว่า S530D บรรเลงอยู่ในหอประชุมโรงเรียน เสียงที่ได้จะอับหน่อย เพราะว่าความโอ่โถงของสถานที่มันไม่มี
เสียงมันก็เลยไม่ค่อยโล่งซักเท่าไหร่นัก มิติก็ถูกลดลงไปด้วย แต่เมื่อเปรียบกับ 1974 เหมือนเล่นอยู่ใน
ศุนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ อะไรประมาณนั้น สถานที่โอ่อ่า กว้างขวาง ด้านบนเปิดโล่ง ทำให้เสียงที่ถูกปิดกัน
ทำให้เสียงที่ออกมาได้ความเป็นธรรมชาติมากกว่า มิติที่มากกว่า ความเข้ากันของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นแต่ละเครื่อง
เสียงกลองใหญ่ในวง Symphony บอกได้ชัดเจนว่าอยู่ตรงไหน และลงได้ลึกมาจริงๆ ถึงจะเบาแต่ก็มีความไพเราะมากๆ
ใครเล่นดนตรีคงเคยได้ยินคำที่ว่า " เล่นให้เบาแล้วเพราะนั้นเล่นยาก " S530D ทำพอได้
แต่ 1794 ทำได้ค่อนข้างเนียนเลยทีเดียว อย่างพวกเสียงพวกเครื่องดนตรีที่เป็นตัวประกอบทั้งหลาย อย่างเช่นเครื่องเคาะ
เครื่องดีด หรือจะเครื่องเป่า ก็เก็บรายละเอียด และน้ำหนักของตัวโน๊ตได้ดี เสียงกลองคองโก รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่ลงบนหลังกลอง
ถ้าฟังดีๆฟังให้จับผิด(แต่ขอให้ฟังแบบสบายดีกว่า จะได้ไม่เครียดและผ่อนคลาย) ก็จะพอแยกออกว่าใช้ไม้หรือใช้มือ
อะไรประมาณนั้นเลยทีเดียว เสียดายผมเลิกเล่นดนตรีมานาน ไม่งั้ยคงแยกแยะได้ดีกว่านี้
ต่อมาเปียโน ผมฟังจาก Lossless Chopin นะครับ
การกดคีเปียโนแต่ละตัวแม่นและรับรู้ได้ถึงน้ำหนักการลงนิ้วเป็นอย่างดี ความต่อเนื่องและไหลลื่นมีความสมดุลอย่างดี
ฟังแล้วเคลิ้มมากๆ ซึ่งต่างจาก S530D ตรงที่ S530D จะมีความขุ่นมัวของเสียงมากกว่า ความต่อเนื่องและลื่นไหล
ทำได้น้อยกว่าไม่มากเท่าใดนัก
เครื่องเป่า
เสียงเครื่องเป่าของ 1794 เหมือนนักดนตรีที่วิ่งหรือว่ายน้ำและมีการบริหารปอดทุกวันอย่างสม่ำเสมอ
เสียงที่ได้มีพลังมากกว่า และแน่นอนว่ารายละเอียดีะยิบระยิบของเทคนิคต่างๆของนักดนตรี
ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี และแน่นอนคุณภาพเสียงนอกจากทรงพลัง และเปิดโล่งมากกว่า
ยังใสกว่าเหมือนกับว่า S530D เป็น Flute ทองแหลือง แต่ 1974 เป็น Flute เงิน และที่สำคัญ Open Hold ซะด้วย
แต่คงยังไม่ถึงขั้น Flute ไม้ แน่นอนว่าผมไม่เคยมีปัญญาได้ลองแตะหรือมีปัญญาได้ลองฟังจากที่ไหน
เพราะค่าตัว Flute ไม้ยี่ห้อบ้านๆอย่าง Yamaha ยังอยู่ที่ 3แสนกว่าในรุ่นกลางๆ
ซึ่ง Flute เงินรุ่น Top ราคาอยู่ราว 70k-150k ถ้า Hand made ก็อยู่ราว 100k-200k
เสียง Trumpet Solo
1974 ฟังแล้วรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ส่งออกมาจากนักดนตรี ความสงัดที่มาจากหื้นหลังทำให้ขนลุกเอาได้ง่ายๆ
ใครเล่นเครื่องทองเหลืองจะรู้ว่า เวลาเป่าเสียงสูงๆนั้นทำได้อยากยิ่ง มือชั้นเซียนยังพลาดได้
S530D ทำได้ไปถึง แต่เหมือนจะหมดลมเป่าแต่ยังฝืนเล่นได้ แต่ 1794 เหมือนรุ่นพี่เล่นมามากกว่า 5-10 ปี
ขึ้นเสียงสูงไปได้ง่ายกว่า ให้เสียงที่ไม่อึดอัด เป่าออกมาอย่างธรรมชาติมากกว่า แต่ปลายเสียงสุดท้ายก็ยังมีแหบแห้งเล็กน้อย
(ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นลีลาของผู้เป่าจริงๆ หรือว่าเป็นที่ System ผมมันไม่ถึง)
เพลง Pop และ Rock ตามฉบับชาวบ้าน อิอิ
บอกไว้ก่อนตรงนี้ 192 และ 320 ล้วนๆ ไม่มี Flac หรือ Lossless ใดๆทั้งสิ้น
เบสลงได้ลึกขึ้น เสียงสูงทอดตัวได้ยาวขึ้น รายละเอียดได้ยินชัดเจนขึ้น
เรียกง่ายๆ กริ้งกริ๊งมากขึ้น แต่ความไพเราะในการฟัง แทบจะไม่ต่างกับ S530D ซักเท่าไหร่เลย
สรุป
1794 ให้พื้นหลังที่สงัดกว่า มีจังหวะจะโคนที่ดีกว่า รายละเอียดเรียกว่ายอดเยี่ยม
เสียงเบสลงได้ลึกมากๆเก็บตัวได้ไวแต่จะทิ้งหางเสียงให้มีความชุ่มชื้น
เสียงกลางมีมวลเสียงที่อิ่มและอุ่น เสียงสูงพริ้วไหวมีปลายทอดยาวไพเราะเสนาะหู
น้ำเสียงมีความใสไม่ขุ่นมัว
หากท่านต้องการ DAC ไว้เพิ่มประสิทธิภาพ System เพื่อการฟังเพลงเพราะๆ
ผมมองว่าคุ้มค่ามากๆ ยิ่งถ้าเล่นลำดพงบ้านรับรองว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
แต่หากเล่นลำโพงคอมรุ่นเล็กๆ ไม่คุ้มอย่างแน่นอน
แต่หากเป็นลำโพงคอมรุ่นบนๆ อย่าง S530D ก็ถือว่าอาจต้องจ่ายเกินความสามารถอยู่แต่ไม่มาก
ก็เรียกได้ว่าอาจจะคุ้มหรือไม่คุ้ม ตรงนี้แล้วแต่วิจารณญาณละกันครับ
ไว้มีโอกาสหน้าได้ลองกับชุดวางหิ้งเมื่อไหร่ ตัวผมเองถึงจะได้รู้ว่ามันไปได้ไกลกว่านี้ขนาดไหน
และถ้าท่านฟังเพลงแนวตลาดๆก็ไม่เหมาะที่จะเอามาใช้แต่อย่างใด
จะไฟล์ MP3 192 หรือ 320 ก็ไม่เกี่ยว
เพราะเพลงที่ผมได้ทำการทดสอบนั้นมีทั้ง Lossless / Mp3 192 และ 320
สุดท้ายก็ต้องขอบคุณท่าน Samad ที่ให้ยืมสายมาลอง
ท่าน HiddenDragon ที่ให้คำแนะนำบางอย่างกับผม
ท่าน Tiger X-fi และอีกหลายๆท่านในนี้ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกัน และคอยหนับหนุนผม
ทางครอบครัว ที่ไม่เคยมาบ่นเวลาผมเปิดเพลงแล้วดังออกไปนอกห้อง ก้แน่นอนละอยู่คนละชั้น ฮ่าๆ
ท่านแฟนสุดที่รัก ที่ไม่ขัดข้องแถม DAC ตัวนี้ คุณแฟนผมก็มีเอี่ยวด้วย น่าชื่นใจสุดๆ
VS Edifier S530D
ใครมาอ่านอย่าพึ่งตกใจว่าทำไมเอา DAC มาสู้กับลำโพงได้ เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ
S530D มี DAC ในตัวและผมกับท่านผู้นึงที่ใช้ S530D ก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะไปได้แบบไหน
ถ้าได้ใช้ DAC แยกตาหาก ก็เลยตามหา DAC ที่ถูกใจซักตัว ทีนี้ผมกับท่านผู้นั้นก็เห็นตรงกันสนใจตัวเดียวกัน
และผมได้มีความคิดจะเอา DAC ตัวนี้มาใช้กับลำโพงชุดในอนาคตของผมอยู่แล้ว
ก็เลยสอยมาลองให้รู้ซะก่อนเลย อิอิ
ขอประวัติพอสังเขบละกันนะครับ
DAC 1794 (ชื่อเล่น) เป็น DAC สัญชาติไทย ทำโดยคนไทย แต่คุณภาพเค้าว่ากันว่าดีกรีของฝรั่งราคาต้อง Up ไปอีก 6-10 เท่า
อันนี้ผมไม่ขอยืนยันนะครับ ไม่เคยลองของนอกราคาเป็นหมื่น แต่อยากสนับสนุนของคนไทยด้วยกันครับ ^^
ส่วน S530D (ชื่อเล่น) ลำโพงสัญชาติ Canada เป็นลำโพงคอม 2.1 แต่ให้เสียงที่ดีเอามากๆ โดยเฉพาะการฟังเลง
มาดู System เล็กๆของผมกันดีกว่า ทีใช้ในการทดสอบครั้งนี้เริ่มด้วย
CPU เอ้ย ไม่ใช่ Overclock หรือ Brenchmark นะเฟ้ย
เริ่มด้วย Software : Foobar 1.0.3 + wasapi + Tube sound + Noise Sharpening + Resample (SoX)
เนื่องจากหลายไฟล์ที่ใช้ในการทดสอบเป็น 24bit - 192k เลยเลือกใช้ของ SoX ละกันนะครับ จะได้ขับออกมาได้สุดเลย
มาที่ DAC 1794 ใช้สายไฟธรรมดา เส้นละไม่กี่สิบบาท
แต่ตัวนี้ผมขอให้ท่าน Time เปลี่ยนลำไส้ให้เป็นสาย Kimber และผ่าตัดศัลกรรมหน้าตาให้ออกมาเป็นสีเงิน
พร้อมใส่คอนแทคเลนสี ข้างนึงฟ้า ข้างนึงขาว และยังขอให้เพิ่ม USB Input เพื่อจะใช้ฟังเพลงกับ Notebook ในยามแก้ขัด
หน้าตาแบบนี้ดูเรียบๆ ไม่มีอะไรเลย ใครมาเห็นคงนึกว่ากล่องเหล็กธรรมดา

วางคู่กันก็ดูไปด้วยกันได้ดี

รูปนี้สาย Coax เป็นของผมเองอีกเส้นนึง ถ่ายไว้ตั้งแต่ได้มาและ พอดีขี้เกียจถ่ายใหม่ แหะๆ ^^
สวิชเปิดปิด หรือตัวเลือก Input อยู่ด้านหลังใช้โยกเอา ดูย้อนยุคดี

สายสัญญาณ
Coax : QED Reference Digital Audio ขอขอบคุณท่าน Samad ด้วยที่ให้ยืมสายมาทดลอง
RCA : The Green ด้วยตัวผมเอง เหตุผลเพราะว่า ตอนนี้ผมมี RCA ชุดนี้ดีสุดแล้วเท่าที่มีในบ้าน
ก่อนอื่นเมื่อแรกเริ่มยังไม่ได้เบินผมก็ลองเปิดฟัง เปิดปุ๊บ เกิดคำบอกในใจว่า หลอนมากๆ
ก็เริ่มบอกตัวเองอย่าพึ่งดีใจไป ลองฟังเพลอื่นก่อน ก็ลองเปลี่ยนไปอีกซัก 4-5 เพลง
ความรู้สึกบอกได้เลยว่า หลอน เหมือนเดิมครับ ไม่ใช่มันเลวร้าย
แต่มันดีจนผมขนลุกเลย ถ้าได้จับคู่กับลำโพงบ้านผมว่าไปได้ไกลกว่านี้อีก
ตอนนี้ก็เบินมาได้ประมาณ 120ชม. ก็เห็นว่ามันคงไปไกลกว่านี้ไม่มากเท่าไหร่แล้ว(มั้ง)
ก็เลยขอมาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับ
ผมขอแบ่งการรีวิวและการทดสอบเป็นส่วนๆไปนะครับ โดยการฟังจะเปิดฟังสลับกันระหว่าง
S530D และ 1794 เป็นช่วงๆไป เพื่อให้ฟังความต่างออก และไม่ฟังนานจนเกินไปเดี๋ยวหูจะล้า
และแน่นอนตื่นมาปุ๊บ ทานอาหารเช้าเสร็จปั๊บ ก็เริ่มฟังเลย เพราะพึ่งตื่นคงทำให้ประสาทหูเราตื่นตัว
เพลงร้อง
มีบรรยากาศการโอบล้อมมากขึ้น มีมิติการแยกซ้ายขวาที่ชัดเจน เวทีเสียงนั่นเขยิบมาข้างหน้ามากขึ้น
มีโฟกัสและการแยกซ้ายขวาที่ดีขึ้น เสียงนักร้อง S530D เหมือนอยู่ที่ลำคอออกมาสุดที่รอยต่อระหว่างฟันและเหงือก
แต่ 1794 เสียงร้องได้ทะยานออกมาจากปากของนักร้อง เสียงเบสนั้นกังวาลขึ้นมากกว่า มีมวลมากขึ้น และที่เหมือนจะมากเกินไปคือ
มันลงได้ลึกมากขึ้น คงเป็นอย่างท่าน Time บอกคือเหมาะกับลำโพงบ้าน(วางหิ้ง) เอามาเจอลำโพง 2.1 มีตู้เบส
ทีนี้เบสลึก หัวใจสั่นตามเลย T_T (สั่นเพราะหลงไหลใน DAC ตัวนี้ น้ำเน่าซะไม่มีเลยเรา 555+) สั่นจริงๆนะครับไม่ได้เล่นมุข
เพลงคอนเสริต บรรเลงสด หรือพวก Version Live
นิยามของคำว่าสมจริง เวทีการแสดงและบริเวณทีนั่งผู้ชมกว้างขวางกว่า S530D อยู่พอสมควร
เสียงผู้ชมปรบมือและเสียงผู้คนกรี๊สๆๆๆๆ ทำได้ดีเอามากๆ เหมือนจริงมาก ทำให้ผมมีอารมณ์ร่วมเหมือนไปนั่งฟังตรงนั้นด้วยจริงๆ
มันมีน้ำหนักสูงต่ำหนักเบา ซ้ายขวา ไกลใกล้ได้ดีกว่า S530D แบบชัดเจนเลยทีเดียว
และที่สำคัญเลยการใช้ 1794 เหนือกว่า S530D ตรงที่ได้นั่งบัตรแถวหน้าโซนติดเวที
แต่ S530D ได้นั่งแค่หน้าๆของโซนกลาง ในส่วนนี้ผมขอพูดถึงบรรยากาศอย่างเดียวละกันนะครับ
เพลงเพราะสดคงฟังกันถึงจุดนี้เป็นสำคัญ จุดอื่นขอพูดใน Part ต่อๆไป
เพลง บรรเลง เครื่องดนตรีน้อยชิ้น
เสียงเครื่องสายทั้งดีดและสี ได้ยินชัดเจนถึงการดีดตัวของสายแต่ละเส้น
ความลื่นไหลทำได้ดีกว่าเยอะ ที่สำคัญคือบางเพลงที่เสียงต่ำคอยบรรเลงอย่างเบาๆ
และมี Melody เป็นเสียงที่ค่อนข้างสูงถึงสูง S530D ฟังแล้วมีความขัดแย้งอยู่บ้าง เหมือนไม่ค่อยไปด้วยกันซักเท่าไหร่
แต่ 1794 ทำให้มันอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนมากกว่า อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่โอบล้อมและเสียงต่ำที่มีความกังวาล
หรือมีเนื้อเสียงช่วง Upper Bass มากกว่า และมีความอบอุ่นมากกว่า
deep bass ประมาณ 0 - 40 Hz
mid bass ประมาณ 40 - 80 Hz
upper bass ประมาณ 80 – 200 Hz
เพลง บรรเลงวงใหญ่ (รวมถึงเดี่ยว Piano)
พูดง่ายๆว่า S530D บรรเลงอยู่ในหอประชุมโรงเรียน เสียงที่ได้จะอับหน่อย เพราะว่าความโอ่โถงของสถานที่มันไม่มี
เสียงมันก็เลยไม่ค่อยโล่งซักเท่าไหร่นัก มิติก็ถูกลดลงไปด้วย แต่เมื่อเปรียบกับ 1974 เหมือนเล่นอยู่ใน
ศุนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ อะไรประมาณนั้น สถานที่โอ่อ่า กว้างขวาง ด้านบนเปิดโล่ง ทำให้เสียงที่ถูกปิดกัน
ทำให้เสียงที่ออกมาได้ความเป็นธรรมชาติมากกว่า มิติที่มากกว่า ความเข้ากันของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นแต่ละเครื่อง
เสียงกลองใหญ่ในวง Symphony บอกได้ชัดเจนว่าอยู่ตรงไหน และลงได้ลึกมาจริงๆ ถึงจะเบาแต่ก็มีความไพเราะมากๆ
ใครเล่นดนตรีคงเคยได้ยินคำที่ว่า " เล่นให้เบาแล้วเพราะนั้นเล่นยาก " S530D ทำพอได้
แต่ 1794 ทำได้ค่อนข้างเนียนเลยทีเดียว อย่างพวกเสียงพวกเครื่องดนตรีที่เป็นตัวประกอบทั้งหลาย อย่างเช่นเครื่องเคาะ
เครื่องดีด หรือจะเครื่องเป่า ก็เก็บรายละเอียด และน้ำหนักของตัวโน๊ตได้ดี เสียงกลองคองโก รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่ลงบนหลังกลอง
ถ้าฟังดีๆฟังให้จับผิด(แต่ขอให้ฟังแบบสบายดีกว่า จะได้ไม่เครียดและผ่อนคลาย) ก็จะพอแยกออกว่าใช้ไม้หรือใช้มือ
อะไรประมาณนั้นเลยทีเดียว เสียดายผมเลิกเล่นดนตรีมานาน ไม่งั้ยคงแยกแยะได้ดีกว่านี้
ต่อมาเปียโน ผมฟังจาก Lossless Chopin นะครับ
การกดคีเปียโนแต่ละตัวแม่นและรับรู้ได้ถึงน้ำหนักการลงนิ้วเป็นอย่างดี ความต่อเนื่องและไหลลื่นมีความสมดุลอย่างดี
ฟังแล้วเคลิ้มมากๆ ซึ่งต่างจาก S530D ตรงที่ S530D จะมีความขุ่นมัวของเสียงมากกว่า ความต่อเนื่องและลื่นไหล
ทำได้น้อยกว่าไม่มากเท่าใดนัก
เครื่องเป่า
เสียงเครื่องเป่าของ 1794 เหมือนนักดนตรีที่วิ่งหรือว่ายน้ำและมีการบริหารปอดทุกวันอย่างสม่ำเสมอ
เสียงที่ได้มีพลังมากกว่า และแน่นอนว่ารายละเอียดีะยิบระยิบของเทคนิคต่างๆของนักดนตรี
ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี และแน่นอนคุณภาพเสียงนอกจากทรงพลัง และเปิดโล่งมากกว่า
ยังใสกว่าเหมือนกับว่า S530D เป็น Flute ทองแหลือง แต่ 1974 เป็น Flute เงิน และที่สำคัญ Open Hold ซะด้วย
แต่คงยังไม่ถึงขั้น Flute ไม้ แน่นอนว่าผมไม่เคยมีปัญญาได้ลองแตะหรือมีปัญญาได้ลองฟังจากที่ไหน
เพราะค่าตัว Flute ไม้ยี่ห้อบ้านๆอย่าง Yamaha ยังอยู่ที่ 3แสนกว่าในรุ่นกลางๆ
ซึ่ง Flute เงินรุ่น Top ราคาอยู่ราว 70k-150k ถ้า Hand made ก็อยู่ราว 100k-200k
เสียง Trumpet Solo
1974 ฟังแล้วรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ส่งออกมาจากนักดนตรี ความสงัดที่มาจากหื้นหลังทำให้ขนลุกเอาได้ง่ายๆ
ใครเล่นเครื่องทองเหลืองจะรู้ว่า เวลาเป่าเสียงสูงๆนั้นทำได้อยากยิ่ง มือชั้นเซียนยังพลาดได้
S530D ทำได้ไปถึง แต่เหมือนจะหมดลมเป่าแต่ยังฝืนเล่นได้ แต่ 1794 เหมือนรุ่นพี่เล่นมามากกว่า 5-10 ปี
ขึ้นเสียงสูงไปได้ง่ายกว่า ให้เสียงที่ไม่อึดอัด เป่าออกมาอย่างธรรมชาติมากกว่า แต่ปลายเสียงสุดท้ายก็ยังมีแหบแห้งเล็กน้อย
(ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นลีลาของผู้เป่าจริงๆ หรือว่าเป็นที่ System ผมมันไม่ถึง)
เพลง Pop และ Rock ตามฉบับชาวบ้าน อิอิ
บอกไว้ก่อนตรงนี้ 192 และ 320 ล้วนๆ ไม่มี Flac หรือ Lossless ใดๆทั้งสิ้น
เบสลงได้ลึกขึ้น เสียงสูงทอดตัวได้ยาวขึ้น รายละเอียดได้ยินชัดเจนขึ้น
เรียกง่ายๆ กริ้งกริ๊งมากขึ้น แต่ความไพเราะในการฟัง แทบจะไม่ต่างกับ S530D ซักเท่าไหร่เลย
สรุป
1794 ให้พื้นหลังที่สงัดกว่า มีจังหวะจะโคนที่ดีกว่า รายละเอียดเรียกว่ายอดเยี่ยม
เสียงเบสลงได้ลึกมากๆเก็บตัวได้ไวแต่จะทิ้งหางเสียงให้มีความชุ่มชื้น
เสียงกลางมีมวลเสียงที่อิ่มและอุ่น เสียงสูงพริ้วไหวมีปลายทอดยาวไพเราะเสนาะหู
น้ำเสียงมีความใสไม่ขุ่นมัว
หากท่านต้องการ DAC ไว้เพิ่มประสิทธิภาพ System เพื่อการฟังเพลงเพราะๆ
ผมมองว่าคุ้มค่ามากๆ ยิ่งถ้าเล่นลำดพงบ้านรับรองว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
แต่หากเล่นลำโพงคอมรุ่นเล็กๆ ไม่คุ้มอย่างแน่นอน
แต่หากเป็นลำโพงคอมรุ่นบนๆ อย่าง S530D ก็ถือว่าอาจต้องจ่ายเกินความสามารถอยู่แต่ไม่มาก
ก็เรียกได้ว่าอาจจะคุ้มหรือไม่คุ้ม ตรงนี้แล้วแต่วิจารณญาณละกันครับ
ไว้มีโอกาสหน้าได้ลองกับชุดวางหิ้งเมื่อไหร่ ตัวผมเองถึงจะได้รู้ว่ามันไปได้ไกลกว่านี้ขนาดไหน
และถ้าท่านฟังเพลงแนวตลาดๆก็ไม่เหมาะที่จะเอามาใช้แต่อย่างใด
จะไฟล์ MP3 192 หรือ 320 ก็ไม่เกี่ยว
เพราะเพลงที่ผมได้ทำการทดสอบนั้นมีทั้ง Lossless / Mp3 192 และ 320
สุดท้ายก็ต้องขอบคุณท่าน Samad ที่ให้ยืมสายมาลอง
ท่าน HiddenDragon ที่ให้คำแนะนำบางอย่างกับผม
ท่าน Tiger X-fi และอีกหลายๆท่านในนี้ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกัน และคอยหนับหนุนผม
ทางครอบครัว ที่ไม่เคยมาบ่นเวลาผมเปิดเพลงแล้วดังออกไปนอกห้อง ก้แน่นอนละอยู่คนละชั้น ฮ่าๆ
ท่านแฟนสุดที่รัก ที่ไม่ขัดข้องแถม DAC ตัวนี้ คุณแฟนผมก็มีเอี่ยวด้วย น่าชื่นใจสุดๆ
Comment