Announcement

Collapse
No announcement yet.

กรมสรรพสามิตเล็งเก็บภาษีเครื่องมือถือ-ภาษีโทรคมนาคม-SMS 3%

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • #91
    พูดถึง ม นึง การเมือง
    พูดถึงอีก ม ไม่การเมือง

    มาตรฐาน -.-

    Comment


    • #92
      ถ้าเราเอาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของโลกน่ะ มันใช่ครับ แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่นิ ในปี2540 เราโดนโจมตีค่าเงินบาท ถ้าคุณบอกไม่รู้ใครกู้ไว้อะนะ กลับไปหาเถอะ เพราะคนเซ็นกู้มันคนที่ตอนนี้เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค พรรคนึงนะ ส่วนคนใช้หนี้ เค้าเริ่มมีการใช้ตั้งแต่ปีแรกที่กู้มาแล้ว ผมจะบอกว่าเค้ามีการผ่อนใช้มาเรื่อยๆ แต่มาหมดในยุคนั้น ในความคิดผมนะ มันถูกปั่นมาตั้งแต่ ปี 2530 แล้ว

      ส่วนภาษีมือถือนั้นผมเห็นด้วยกับการเก็บภาษีจากราคาเครื่องนะ อย่างอื่นไม่เห็นด้วย

      ส่วนนึงผมมองว่าการที่ประเทศไทยจะมีการเก็บภาษีจากตัวเครื่อง เพราะทางศูนย์ไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าได้ เนื่องจากต้องมีการติดต่อทำสัญญากัน ตัวอย่างที่ผมว่าาเห็นได้ง่ายที่สุดก็คงเป็น IPhone อะ
      Last edited by tjam; 29 Nov 2010, 18:31:18.

      Comment


      • #93
        Originally posted by tjam View Post
        ถ้าเราเอาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของโลกน่ะ มันใช่ครับ แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่นิ ในปี2540 เราโดนโจมตีค่าเงินบาท ถ้าคุณบอกไม่รู้ใครกู้ไว้อะนะ กลับไปหาเถอะ เพราะคนเซ็นกู้มันคนที่ตอนนี้เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค พรรคนึงนะ ส่วนคนใช้หนี้ เค้าเริ่มมีการใช้ตั้งแต่ปีแรกที่กู้มาแล้ว ผมจะบอกว่าเค้ามีการผ่อนใช้มาเรื่อยๆ แต่มาหมดในยุคนั้น ในความคิดผมนะ มันถูกปั่นมาตั้งแต่ ปี 2530 แล้ว
        เพิ่งรู้น่ะเนี่ย 555+ 2530 ผมยังเด็กอยู่เลย 5555+ เท่าที่รู้น่าจะเกิดจากการปั่นของภาคอสังหาริมทรัพย์
        Originally posted by tjam View Post
        ส่วนภาษีมือถือนั้นผมเห็นด้วยกับการเก็บภาษีจากราคาเครื่องนะ อย่างอื่นไม่เห็นด้วย
        อันนี้เห็นเหมือนกันกับผม

        Comment


        • #94
          ฝองสบู่เเตกเพราะ bibf นะครับ เเล้วใครเป็นคนริเริ้ม bibf ครับ จะมาโทษที่ปลายเหตุไม่ได้หลอกเพราะเงินทุนต่างชาติทะลักเข้ามา ธนาคารเเห่งประเทศไทย มีเงินทุนสำรองเหลือน้อยเเล้ว เพราะสู้กลับไอ้พวกทุบค่าเงินไม่ไหว สุดท้ายจึงต้องยอมลอยตัว bibf มาจากไหนลองศึกษาข้อมูลให้ดี เเล้วจะเข้าใจ ไม่ใช้จะมานั้งโทษคนนูนนี้ ที่มาว่าคนๆที่นั้งเป็นประธานพรรค พรรคหนึ่งอะ ผมว่าควรเคารพกัน บ้าง ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยคอมิวนิส มีอำนาจ เเถวภูมิภาคนี้ เราก็จวนเจียนจะไปเป็นคอมิวนิสเเล้ว ถ้าเข้าไม่บินไปพบ เติ่ง เสียว พิง ที่จีน

          *จริงไม่อยากพูดเรืองการเมือง เลยเเต่เห็นมีบางคนชอบเข้าใจอะไรผิดๆชอบฟังเเต่คนเอื่นพูดมา*

          Comment


          • #95
            ^
            ^
            เอาน่าท่านยอมๆเขาไปเถอะ....

            Comment


            • #96
              โอเค ผมยอม

              Comment


              • #97
                อ่านเป็นวิทยาทานน่ะครับ ไม่เกี่ยวการเมือง

                ผมว่าที่ผ่านๆมามีการพูดในเชิงสรุปกันมากเกินไปเพื่อ ที่จะใช้ในการกล่าวหากัน จนทำให้นักการเมืองเอามาใช้เป็นเครื่องมือหลอกกองเชียร์ของฝ่ายตนให้โจมตี ซึ่งกันและกัน เอาเข้าจริงก็มีส่วนทุกฝ่ายแหละครับ

                เท่าที่ผมจำได้ รัฐบาลที่เปิดประเด็นว่าประเทศไทยควรปล่อยให้มีการแข่งขันอย่างเสรีทาง เศรษฐกิจทั้งด้านการเงินและการค้าก็คือรัฐบาลของนายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งในการปาฐกถาครั้งหนึ่งในยุคอานันท์ 1 ท่านเคยพูดเอาไว้ว่า ประเทศไทยจะยึดมั่นกับความได้เปรียบเรื่องแรงงานราคาถูกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะกลุ่มประเทศอินโดจีนเริ่มจะตั้งหลักฟื้นฟูประเทศกันแล้ว และอินโดนีเซียก็กำลังแย่งการลงทุนโรงงานอุตสาหกรรมจากไทยอย่างจริงจัง ......นี่คือวิสัยทัศน์ของนายอานันทืตั้งแต่ปี 2535-36

                รัฐบาลชวน ซึ่งขึ้นมามีอำนาจหลังเหตุการณืพฤษภาทมิฬ ได้ริเริ่มนโยบายเปิดเสรีทางการเงินโดยการสนับสนุนของกลุ่มสถาบันการเงินภาย ใต้สิ่งที่รู้จักกันว่า BIBF แต่สิ่งที่รัฐบาลชวน 1 ไม่เอาใจใส่ป้องกันคือด้านมืดของการปล่อยเสรีทางการเงิน ไม่มีกลไกควบคุมการไหลเข้า-ออกที่สอดคล้องกับเงื่อนไขเงินทุนเพื่อการผลิต ทำให้ช่วงนั้นเกิดการเก็งกำไรค่าเงินและการหากินกับส่วนต่างของดอกเบี้ย อย่างกว้างขวาง

                เ่ท่าที่ผมจำได้....แม้แต่ในแวดวงการค้าเล็กๆรอบ ตัวผมเขายังพูดกันให้ลั่นไปหมดว่า "ยุคนี้ใครไม่รู้จักเอาเงินคนอื่นมาเป็นทุนหากำไร ถือว่าโง่" ตัวแทนและนายหน้าปล่อยกู้จากต่างประเทศนำเงินกู้มาเสนอจนบรรดานักอุตสาหกรรม มืออาชีพกลายเป็นนักค้าเงินกันเกือบทั้งหมด

                ไม่เว้นแม้แต่เครือ ซีเมนต์ไทยที่ติดกับดักการกู้เงินง่ายๆครั้งนั้นด้วย ในวันที่ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เครือซีเมนต์ไทยประกาศการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทันที 20,000 ล้านบาท (ค่าเงินเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว)

                หลังจากที่รัฐบาลชวน 1 ล่มเพราะพิษสปก. 4-01 รัฐบาลบรรหารขึ้นมาแทนและต่อด้วยรัฐบาลชวลิต ในช่วง 2 ปีกว่าๆนี้เค้าลางของอาการฟองสบู่แตกก็เริ่มเกิดขึ้น เพราะการเฟ้อและง่ายของการกู้เงินทำให้เกิดการเก็งกำไรกันไปทั่วทุกหย่อม หญ้าคล้ายๆกับยุคของรัฐบาลชาติชาย เงินหาง่ายขนาดเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อธนาคารบางแห่งสามารถร่วมมือกับผู้กู้ บางคนปั่นราคาทรัพย์สินที่จำนองให้มีมูลค่าเกินจริง 4-5 เท่าได้าสบายๆ

                เมื่อ อาการมูลค่าทรัพย์สินเกินจริงขนาดนี้ บรรดาเจ้าของเงินกู้จากต่างประเทศเริ่มวิตกจนเกิดการเร่งรัดเงินกู้คืนเป็น เหตุให้เสถียรภาพเงินบาทเริ่มออกอาการไม่ดี ปัญหาถูกกระหน่ำซ้าด้วยการเข้ามาโจมตีค่าเงินบาทของ Hedge Fund ซึ่งเป็นกลุ่มฉลามที่ได้กลิ่นเลือดตั้งแต่แรกแล้ว รัฐมนตรีคลังของไทยคือนายอำนวย วีรวรรณเลือกที่จะใช้วิธ๊เอาเงินคงคลังมาแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อสู้กับกลุ่ม ของ "โซรอส" ทั้งๆที่หลายฝ่ายเตือนแล้วว่าอย่าทำ จนในที่สุดรัฐบาลเป็นฝ่ายแพ้จนยอดทุนสำรองเหลือน้อยจนอยู่ในระดับขาด เสถียรภาพจนไทยมีปัญหาเครดิตความน่าลงทุน และสถานการณ์บีบจนไทยต้องลดค่าเงินบาทจนได้

                ตรงนี้ผมมีข้อสังเกตุ เล็กน้อยที่คาใจมาตลอดหลายปีครับ ครั้งหนึ่งนายธารินทร์อ้างว่าเคยอภิปรายเตือนรัฐบาลชวลิตในรัฐสภาแล้วว่าค่า เงินบาทของไทยจะต้องมีปัญหาโดยอ้างสัญญาณจากการเปรียบเทียบค่าเงินเยนของ ญี่ปุ่นในช่วงเวลาเดียวกัน และการรุกคืบของกองทุนเก็งกำไรที่จะโจมตีค่าเงิน แต่รัฐบาลชวลิตไม่ยอมรับฟัง

                ถ้านายธารินทร์อภิปรายอย่างนั้นจริง แปลว่านักธุรกิจระดับใหญ่ๆจะต้องตระหนักสถานการณ์มาแล้วล่วงหน้ากันในวง กว้าง อยู่ที่ความระมัดระวังของแต่ละบุคคลว่าจะป้องกันอย่างไร แล้วทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงบอกว่าทักษิณ"รู้"อยู่คนเดียวเรื่องการลดค่า เงินบาท จนรวยขึ้นในขณะที่คนอื่นเจ๊งเป็นส่วนใหญ่

                นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤต "ต้มยำกุ้ง" ทำเอาเพื่อนบ้านเดือดร้อนกันไปด้วย

                ...............................................................................................................

                ที่ จริงแล้วรัฐบาลชวน 2 มีทางเลือกในการแก้ไขปัญหาพิษต้มยำกุ้งนอกเหนือจากการยอมเดินตาม IMF ดังเช่นที่ประเทศมาเลเซียเลือกที่จะเชื่อวิธีการของ "พอล ครุ๊กแมน" ที่เตือนว่า วิธีการของ IMF เคยซ้ำเติมลูกหนี้กลุ่มประเทศอเมริกาใต้จนทรุดจมดินมาหลายที่แล้ว ในขณะที่ประชาธิปัตย์โดยนายธารินทร์อ้างว่าแม้แต่ในอเมริกาเองยังไม่มีใคร เชื่อนายครุ๊กแมนเลย จึงยืนกรานจะเดินตาม IMF

                ผลก็คือไทยต้องจม ปลักกับเงื่อนไขการกู้เงินและสถานการณ์ก็ทรุดลงเรื่อยๆ แต่พร่ำบอกประชาชนว่า "เราเดินมาถูกทางแล้ว" ในขณะที่มาเลย์เซียฟื้นตัวภายในไม่ถึง 1 ปี จนในที่สุดทุกวงการมีความเห็นตรงกันว่ารัฐบาลชวน 2 และพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีน้ำยาจะฟื้นฟูประเทศไทยได้แน่ๆ จึงยอมเสี่ยงกับพรรคไทยรักไทยที่เสนอแนวทาง "คิดใหม่ ทำใหม่" ด้วยการออกเสียงเลือกตั้งจนเกิดปรากฏการณ์ที่สื่อฝรั่งเรียกว่า Land Slide

                สรุปสาระสำคัญของหนังสือแสดงเจตจำนงจากฉบับที่ 1-8

                เตือน ความจำประชาคม
                สองปีเศษภายใต้ผลงานของรัฐบาลชวน
                จากหนังสือแสดงเจตจำนงที่ถูกบัญชาจากไอเอ็มเอฟ
                ชี้ให้เห็นกระบวนการทำงานของ คนไทยใจฝรั่ง
                ที่พร้อมสมคบกับต่างชาติสร้างพันธกรณี
                เพิ่มทุกข์จากวิกฤติเศรษฐกิจให้หนัก
                และผูกพันมาถึงปัจจุบัน
                และจะล่วงสู่อนาคต
                ความเปลี่ยนแปลงในภาคเศรษฐกิจและสังคม
                ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
                ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากพันธกรณี
                ที่ประเทศไทยทำขึ้นตามคำบัญชา
                ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
                ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่
                ผ่านหนังสือแสดงเจตจำนงหรือแอลโอไอ
                แรกเริ่มที่รัฐบาลชวน หลีกภัย
                เข้ามารับตำแหน่งบริหารประเทศ
                เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2540
                รัฐบาลเชื่อว่า
                หากทำตามพันธกรณีของไอเอ็มเอฟแล้ว
                จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
                แต่สองปีเศษที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า
                พันธกรณีต่างๆเหล่านั้น
                ไม่ได้ส่งดีต่อเศรษฐกิจแม้แต่น้อย
                ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นโซ่ตรวนที่ล่ามประเทศไทย
                ซ้ำเติมทุกข์ของคนไทยมากขึ้น
                การล้มละลายของธุรกิจ การยึดครองกิจการของคนไทย
                โดยคนต่างชาติ ปรากฏให้เห็นมากขึ้นเป็นลำดับ

                เพื่อให้ภาพชัดเจนขึ้น "ผู้จัดการ"
                ได้รวบรวมสาระสำคัญของหนังสือแสดงเจตจำนงจากฉบับที่ 1-8
                ที่ไทยได้ตกลงไว้กับไอเอ็มเอฟ (LOI1-8)
                ที่เกี่ยวเนื่องกับการออกกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคม
                ซึ่งจะเห็นถึงพัฒนาการต่างๆที่รัฐบาลไทยจำนนต่อต่างชาติดังนี้

                LOI ฉบับที่ 1 (14 สิงหาคม 2540)
                (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)
                - พันธกรณีในการดำเนินนโยบาย
                เน้นในการจัดการพื้นฐานทางเศรษฐกิจและวางระเบียบใหม่
                ในการดูแลสถาบันการเงิน-การคลังของประเทศให้เข้มงวด
                แต่ไม่มีพันธะที่จะต้องออกฎหมายมาใช้บังคับ
                ใน LOI ฉบับที่ 1 มีการกำหนดไว้ชัดเจนข้อหนึ่งว่า
                รัฐบาลไทยจะไม่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินมาชำระแทนเอกชน
                ซึ่งทางไอเอ็มเอฟก็เห็นด้วยอยู่แล้ว
                เนื่องจากเป็นการไม่ยุติธรรมแก่คนไทยทั้งประเทศ
                ที่จะต้องไปรับผิดชอบหนี้สิน ของภาคเอกชน

                LOI ฉบับที่ 2 (25 พฤศจิกายน2540)
                เริ่มรัฐบาลชวน(20 พฤศจิกายน 2540)
                - ได้มีการทบทวนมาตรการหลายอย่างที่ทำมาในช่วง LOI 1
                โดยเฉพาะการปรับเพดานการกู้เงินต่างประเทศเพิ่มขึ้น
                และยกเลิกตลาดเงินตราต่างประเทศ 2 ตลาด(Two-tier system)
                - ขณะเดียวกันเริ่มใช้มาตรการบีบบังคับสถาบันการเงิน
                ด้วยกฎเกณฑ์การจัดชั้นสินเชื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
                - ปรับปรุงพ.ร.บ.ล้มละลาย
                ให้เจ้าหนี้สามารถบังคับหลักประกันได้ในเวลาเร็วขึ้น
                - ประกาศให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นข้างมาก
                ในสถาบันการเงินได้เป็นเวลา 10 ปี
                - กำหนดเป้าหมายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
                โดยเสนอให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายที่จำเป็น

                LOI ฉบับที่ 3 (24 กุมภาพันธ์ 2541)
                - กำหนดกรอบในการแก้ไขพ.ร.บ.ล้มละลาย
                โดยพิจารณาถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
                อาทิ การทำธุรกิจของคนต่างด้าว

                LOI ฉบับที่ 4 (26 พฤษภาคม 2541)
                - นำแนวทางในการประเมินมูลค่าหลักประกันมาใช้
                โดยทบทวนกฎหมายธนาคารพาณิชย์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
                - กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
                ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลโดยเฉพาะ อย่างยิ่งการบันทึกบัญชี
                ซึ่งเป็นจุดเริ่มแรกในการปรับปรุงมาตรฐานบัญชีใหม่ให้เป็นสากล
                และการร่างกฎหมายการบัญชีใหม่
                - เน้นการเปิดเสรีมากขึ้น เสนอให้แก้ไขกฎหมายปว.281
                และกฎหมายต่างๆเกี่ยวกับการลงทุนทั้งหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์

                LOI ฉบับที่ 5 (25 สิงหาคม 2541)
                - เพื่อสนองนโยบายเปิดประเทศ รัฐบาลได้เสนอแก้ปว.281
                ให้เป็นพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
                - แก้กฎหมายล้มละลาย ในประเด็นกระบวนการบังคับหลักประกัน
                และข้อกฎหมายเกี่ยวกับการให้กู้ยืม
                เพื่อเป็นเงื่อนไขจูงใจให้ทั้งเจ้าหนี้
                - แก้ไขกฎหมายประมวลกฎหมายที่ดินและพระราชบัญญัติอาคารชุด
                - อนุมัติร่างแก้ไขพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย
                ธนาคารพาณิชย์ว่าด้วยการประกอบธุรกิจ
                บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และเครดิต ฟองซิเอร์
                - เพิ่มความเข้มงวดระบบบัญชี
                - ออกพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
                - ปรุงกฎหมายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
                โดยการออกพ.ร.บ.ทุน
                ให้อำนาจในการแปลงทุนเป็นหุ้น
                และแปลงรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทจำกัด
                แก้ไข พ.ร.บ. การเดินอากาศ
                ให้ขายหุ้นส่วนใหญ่ของการบินไทยให้ต่างชาติได้

                LOI ฉบับที่6 (1 ธันวาคม 2541)
                - ดำเนินการต่อเนื่องในรายละเอียดของกฎหมายล้มละลาย และปว.281
                - ขณะที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลสถาบันการเงิน
                มีการออกกฎหมายมา หลายฉบับ
                คือ กฎหมายจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต (เครดิตบูโร)
                พ.ร.ก.ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ให้ควบรวมการกันได้
                - พ.ร.ก.จัดตั้งเอเอ็มซีแก้ไขพ.ร.บ.เงินตรา

                LOI ฉบับที่ 7 ( 23 มีนาคม 2542)
                - เน้นนโยบายการจัดการข้อพิพาทระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนไทย
                โดยแก้ไข พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลาย
                และวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฉบับใหม่ และผลักดันกฎหมาย
                ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการบังคับหลักประกัน 2 ฉบับ
                พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ร.บ. อาคารชุด และเร่งออกกฎหมาย
                ฟื้นฟูเศรษฐกิจอีกส่วนหนึ่ง

                LOI ฉบับที่ 8 ( 21 กันยายน 2542)
                - ดำเนินการต่อเนื่อง เสนอให้แก้ไขกฎหมาย
                ธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่
                ซึ่งเชื่อว่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ธปท.
                (รวมบัญชี ล้างขาดทุนกองทุนฟื้นฟู) กฎหมายเงินตรา
                ซึ่งจะทำให้การบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
                มีความยืดหยุ่นสูง
                - ร่างกฎหมายรับประกันเงินฝาก

                ----------------------------------------------------------

                ลองอ่านฉบับที่สองสมัยชวนทำกับ IMF
                แสบๆ ทั้งนั้นโดยเฉพาะเรื่องการรวมตลาดเงินจาก 2 ตลาด
                ที่รัฐบาลจิ๋วแยกไว้
                เพื่อให้พวกที่โจมตีค่าเงิน
                ไม่สามารถหาเงินบาทมาชำระได้
                กับเร่งรีบร่วมทันทีที่พวกตัวเองมาเป็นรัฐบาล
                ผลก็คือต่างชาติสามารถหาเงินบาท
                จากพวกแบงค์ใหญ่ๆ ที่สมคิดกันฟันกำไรส่วนต่าง
                ทำให้ต่างชาติมีเงินบาทจำนวนมากพอ
                มาส่งมอบตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 1 ปี
                ตอนช่วงมาโจมตีค่าเงินตอนปี 40
                ถ้าหามาไม่ได้
                โอกาสที่ฝ่ายนั้นจะสูญเสียมากกว่าที่แบงค์ชาติจะสูญเสีย
                สรุปก็คือแบงค์ไทยฟันกำไรกันถ้วนหน้า
                ท่ามกลางเศรษฐกิจตกต่ำโดยทั่วไป
                นี่เป็นตราบาปที่สำคัญอันหนึ่งของรัฐบาลชวน

                อ่านต่อ คลิก

                Comment


                • #98
                  ประเทศไทยเล็กมากครับเมื่อเทียบกับขนาดการเงินของประเทศมหาอำนาจ จะ IBF หรือ เสรีทางการเงิน แต่ถ้าเกิดการโจมตีค่าเงินขึ้นมา มันก็เป็นแบบที่เห็นล่ะครับ ที่จริงตอนนี้ถ้าจะโจมตีก็ทำได้ครับ เพราะเราเริ่มสร้างหนี้สูงขึ้น และอสังหาเราก็เริ่มจะเป็นฟองใหญ่ขึ้นอีกรอบ

                  แต่ปัญหาใหญ่ก็คือเราตามเกมต่างชาติไม่ทัน ตอน ปี40 เราไม่กล้าแม้แต่จะคิดแบบที่ มหาเธทำ คิดยังไม่กล้า ได้แต่เป็นเด็กดีของ IMF โดนต่างชาติเข้ามาซื้อทรัพสินของเราในราคาถูกๆ ธนาคารสิ่งที่สำคัญสำหรับระบบเศรษฐกิจในประเทศก็ไปอยู่ในมือคนอื่น เราหลงไปกับองกรค์เสือกระดาษที่สร้างขึ้นผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจ ตอนที่ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ลงแข่งเป็นผู้อำนวยการ WTO มันเห็นชัดว่ามันเกี่ยวกับผลประโยชน์ทั้งนั้น เมกาลอบบี้ทุกวิถีทางที่จะให้ ไมค์ มัวร์ เป็นผู้อำนวยการ คนละ 3 ปี มันไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตยอะไรทั้งน์นั้น มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์เท่านั้น แต่ประเทศไทยไม่ได้มองเรื่องนี้

                  สถานะการโลกตอนนี้ก็ไม่ค่อยดี เมกาเป็นหนี้ท้วมหัว หลายรัฐล้มละลายไปแล้วในทางบัญชี ประชาชนเมกาต้องพึ่งคูปองอาหาร 40 กว่าล้านคน ยุโรปก็ไม่ดีนัก กรีซ กะ ไอร์แลนด์ เข้า IMF โปรตุเกต กับ สเปนก็อาจะเป็นรายต่อไป

                  แล้วประเทศไทยจะไปทางใหนครับ ถ้านักการเมืองเราคิดอะไรไม่เป็น ตั้งหน้าตั้งตาโกงกันเอง

                  อีก 2ปีข้างหน้าจับตาเรื่อง ศก กันไว้นะครับ โดยเฉพาะเงินเฟ้อ ราคา ทอง เงิน และพวก commodity ทั้งหลาย อย่างมองว่าหุ้นขึ้นแล้วจะ ศก ดี อย่าคิดว่า คอนโดที่ขึ้นยังกะเห็ดหน้าฝน ไปถามกี่ที่ก็ขายหมด แล้วคิดว่า ศก ดี ประเทศไทยกำลังฟื้นตัว

                  ความจริง กับ สิ่งที่เราเชื่อว่าจริง มันต่างกัน อย่าไว้ใจ สื่อ เดี่ยวนี้มากนัก

                  Comment


                  • #99
                    Originally posted by kenjix55 View Post
                    อืมๆๆ กระแสนิยมตกต่ำจริงๆ อนาคตร่อมล่อ พัฒนาบ้านเมืองไม่ได้
                    ได้ยินข่าว ว่าภาษามุลค่าเพิ่ม เป็น 10 เปอเซ็นต์ นี้

                    จริงเท็จอย่างไรรึ ผมไม่ได้ตามข้อมูล
                    เรื่อง VAT 7% VAT คื่อภาษีมูลค่าเพิ่มครับ เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภค การขาย และการให้บริการครับ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 80 นั้นใช้อัตราภาษี ร้อยละ 10.0 ครับ แต่ มีพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 479 นั้นให้ใช้อัตราร้อยล่ะ 6.3 + ภาษีท้องถิ่นอีก 0.7% เป็น ร้อยล่ะ 7.0 ครับ และตามพระราชกฤษฎีกานี้จะหมดมาตราการขยายระยะเวลาลดอัตราภาษีในวันที่ 30 กันยายน 2553 ครับ หมายความว่าตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2553 จะต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตตราเดิมคือ 10 % ครับ แต่ได้มีมติคณะรัฐมนตรีดังนี้ครับ
                    คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
                    1. เห็นชอบมาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อให้การจัดเก็บในอัตราร้อยละ 7 (รวมภาษี
                    ท้องถิ่น) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 2 ปี จนถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555
                    2. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่า
                    เพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่าง
                    พระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญดังนี้
                    2.1 ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 6.3 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลา
                    คม 2553 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2555
                    2.2 ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็น
                    ต้นไป

                    จึงเป็นที่เข้าใจกันได้ว่า อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT นั้นปกติแล้วเราต้องเสียตามประมวลรัษฎากร คือ 10% แต่กฎหมายได้เปิดช่องให้สามารถลดได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ปัจจุบันเราจึงเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% (รวมภาษีท้องถิ่นแล้ว)

                    มีข้อสังเกตครับว่า VAT ที่พวกเราได้เสียกันไปนั้น สามารถขอคืนได้ครับ ถ้าหากว่า เรานั้นมีเงินได้สุทธิที่อยู่ในเกณฑ์ ที่ไม่ต้องเสียภาษี

                    Comment


                    • เก็บๆไปเหอะๆ คนใช้มือถือทั่วไปมักใช้ราคาไม่แพงมาก เครื่องนึงใช้หลายปีถ้าไม่เสีย ส่วนที่ใช้แพงมักจะมีฐานะค่อนข้างดีเปลี่ยนตัวโน้นเปลี่ยนตัวนี้

                      Comment

                      Working...
                      X