Announcement

Collapse
No announcement yet.

[นอกเรื่อง] หาเพื่อนคุยเรื่องวิทยาศาสตร์ครับ [หมวดดาราศาสตร์]

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • #46
    Originally posted by X3STeNLiTE View Post
    แต่ก่อนอื่นที่เราจะเดินทางไปไหนมาไหนในจักรวาล.. เรามาคิดกันก่อนดีกว่าว่าแสงคืออะไรแน่..

    แสงไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า.. ที่เกิดจากการเผาไหม้ หรือการหลุดออกของอิเล็กตรอน (แล้วมีการสั่นในย่านความถี่ต่าง ๆ) หากเราสามารถบิดเบี้ยวแสงได้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร เพราะความร้อนก็สามารถทำให้แสงบิดเบี้ยวได้เหมือนกัน สังเกต ตอนเราชุดไฟแช็ก เกิดเป็นแสงเหลื่อม ๆ

    ขอสันนิษฐานนี้ อาจจะแย้งกับทฤษฎีของผมด้านบนนะครับ.. พอดีพึ่งได้คิดได้ ก็เลยมาแชร์ความรู้กัน..
    แต่ผมก็สงสัยนะ เพราะว่าโลกมันมีออกซิเจนใช่ไหม เลยทำให้ความร้อนเบี่ยงเบนแสงได้

    เพราะจริงๆ แสงก็มาจากความร้อนนะ น่าจะเป็นอย่างงั้นนะ ผมว่า

    ปล.สีต่างๆที่เราเห็นบนโลก คือ สเปรกตรัม ของแสงนะครับ ถ้าพูดจริงๆคือ ถ้าไม่มีแสง ของทุกอย่างก็ไม่มีสี ....

    Comment


    • #47
      ขอบคุณที่อธิบายแทนครับ
      "พุทธศาสนาเป้นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง" ไอสไตน์ กล่าวไว้

      ควอนตัมฟิสิกส์ เครื่องLCH และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งศึกษาพุทธศาสนาครับ
      โดยเฉพาะศูนย์วิจัย มังพลักซ์ เยอรมัน ศึกษาควอนตัมจิตวิญญาณอย่างมาก

      แต่ช่างเถอะครับ
      คนที่แยกไม่ออกว่าอันใหนคือ ความจริง ความเชื่อ ศรัทธา งมงาย
      หากแยกไม่ออกย่อมไม่เข้าใจ

      สิ่งที่ผมพูดไปก่อนหน้าเกี่ยวกับการเกิดจักวาล มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเห็นด้วยนะครับ และกำลังศึกษาอยู่
      เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผย เพราะวิทยาศาสตร์ ย่อมมีหลักฐานมากพอ ถึงจะเปิดเผยต่อสาธารณะชน
      รู้และศึกษาในวงจำกัดครับ

      Comment


      • #48
        Originally posted by Firedevilz View Post
        แต่ผมก็สงสัยนะ เพราะว่าโลกมันมีออกซิเจนใช่ไหม เลยทำให้ความร้อนเบี่ยงเบนแสงได้

        เพราะจริงๆ แสงก็มาจากความร้อนนะ น่าจะเป็นอย่างงั้นนะ ผมว่า

        ปล.สีต่างๆที่เราเห็นบนโลก คือ สเปรกตรัม ของแสงนะครับ ถ้าพูดจริงๆคือ ถ้าไม่มีแสง ของทุกอย่างก็ไม่มีสี ....
        แสงไม่ได้มาจากความร้อนครับ.. แสงเกิดจากการหลุดออกของอิเล็กตรอน แล้วมีการสั่นเป็นความถี่ต่าง ๆ แล้วตอนนี้ยังมีการศึกษาอยู่ว่า ความร้อนคืออะไร.. (สิ่งที่ง่าย ๆ ที่พบอยู่ในชีวิตเรา แต่ไม่รู้มันคืออะไร.. นักวิทยาศาสตร์บางท่านคิดว่า มันคือ การแผ่กระจายของอนุภาค แต่ก็ช่างเถอะให้เค้าศึกษากันไปก่อน แล้วค่อยมาบอกกันอีกที)

        อธิบายอีกรอบ แสงไม่ได้เกิดจากความร้อน เพราะในคอมพิวเตอร์ก็มีความร้อน แต่ก็ไม่เห็นมีแสง หลอดไฟ LED ไม่มีความร้อน แต่ก็ยังเกิดแสง แต่ความร้อนเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดแสง อย่างเช่น เราให้ความร้อนกับเหล็ก จนทำให้เหล็กแดง แสงที่เห็นออกมาจากเหล็กก็คืออิเล็กตรอนที่หลุดจากอะตอมของเหล้ก แล้วสั่นอยู่ในความถี่แสง ทำให้เราสามารถเห็นว่าเหล็กแดง

        เสริมทฤษฎีที่ผมดูจาก discovery นะครับ..
        ทุกอย่างที่เป็นวัตถุในโลกนี้ ถ้าไม่ไช่แหล่งกำเนิดแสง เกิดจากแสงที่ตกกระทบใส่ ทำให้เราเห็นวัตถุต่าง ๆ แต่สีที่เห็นจากวัตถุต่าง ๆ เกิดจากวัตถุนั้นไม่สามารถดูดกลืนสีที่เป็นสีของมันได้.. เข้าได้หรือเปล่าครับ.. อย่างเช่น ปากกาสีแดง เป็นสีชนิดหนึ่ง ที่มีสีแดงก็เพราะว่า มันไม่สามารถดูดกลืนสีแดงได้.. ทางวิทยาศาสตร์เค้าเรียกว่า การผสมสีแบบ Subtractive ส่วนหากอะไรเป็นแหล่งกำเนิด จะมีแม่สีทั้ง 3 (แดง เขียว น้ำเงิน) แสงทั้งสามจะผสมกับแบบ Additive หรือเป็นการบวกกันของแสงนั่นเอง..

        ต่อนะครับ..
        หากวัตถุนั้นเป็นแหล่งกำเนิดแสงเป็นของตัวเองนะครับ.. เราก็ทำให้แสงที่เปล่งจากออกมาจากวัตถุนั้นมีความถี่เกิน หรือน้อยกว่าที่ตาเรามองเห็น วัตถุนั้นก็น่าจะเป็นวัตถุโปร่งแสง ถูกมั๊ยครับ.. (หลักการวัตถุล่องหนของผม)

        แต่จากที่ผมดูใน Discovery เค้าบอกว่า วัตถุต่าง ๆ ที่เรามองเห็นก็เหมือนกันสายกีตาร์ แต่มีการสั่นตลอดเวลา ทำให้เราเห็นวัตถุนั้นตลอดเวลา.. หากถ้าเราสั่นให้มาก หรือน้อยกว่าความถี่ที่ตาเรามองเห็น เราก็จะมองไม่เห็นวัตถุนั้น กลายเป็นวัตถุล่องหนไปในทันที.. อย่างเช่นแสงอินฟาเรด ในรีโมตบ้าน ๆ เราเนี่ยแหล่ะครับ.. หลายท่านคงคิดว่า มันคุมทีวีได้ยังไง.. ไม่เห็นมีอะไรเลย.. สัญญาณวิทยุก็ไม่ใช่.. ลองเอาโทรศัพท์ (ที่ถ่ายรูปได้) ไปส่องตรงหัวหลอดไฟเล็ก ๆ ตรงหัวรีโมต แล้วลองกดรีโมตดูสิครับ จะเห็นว่ามันมีแสง นั่นเป็นแสงอินฟาเรดที่ตาเรามองไม่เห็น...

        มนุษย์ต่างดาว อาจรู้ถึงคุณสมบัติของสสารนี้.. แต่สามารถควบคุมการสั่นของสสารได้.. ทำให้เรามองไม่เห็นยานของพวกเค้าก็เป็นได้ <<<-- อันนี้ความเห็นส่วนตัวล้วน ๆ นะครับ แหะๆ

        Comment


        • #49
          สุดยอดครับ ความรู้ทั้งนัน อยากรู้ ว่า หลุดดำเกิดจากอะไรมีที่มาอย่างไรครับ งง มานานแล้วครับอยากทราบจริงๆๆ ขอบคุณครับ

          Comment


          • #50
            http://www.youtube.com/watch?v=Hz86TsGx3fc&feature=fvsr

            อันนี้คือหนังที่สร้างจากเรื่องดาว นิบิรุครับ กะลังจะเข้าโรง ชื่อ เรื่อง "2012" งิงิ

            Comment


            • #51
              Originally posted by pkjk View Post
              สุดยอดครับ ความรู้ทั้งนัน อยากรู้ ว่า หลุดดำเกิดจากอะไรมีที่มาอย่างไรครับ งง มานานแล้วครับอยากทราบจริงๆๆ ขอบคุณครับ
              ถามมาจัดไปอีกแว้ว ....

              หลุมดำ เกิดจาก ดาวฤกษ์ที่ดับไปแล้ว .... แต่เป็นดาวฤกษ์ที่มีมวลมหาศาลครับ

              พอดาวฤกษ์ดับ มันจะยุบตัว หากมวลยิ่งเยอะ แรงยุบจะยิ่งมาก .... หากเยอะเกินไป มันจะยุบแบบไร้ที่สิ้นสุด จนมวลไม่อาจจะต้านแรงโน้มถ่วงมหาศาลได้ จึงกลายเป็นหลุมดำ ... ที่มีปริมาตรเป็นศูนย์ แต่มีมวลเป็นอนันต์

              ปล.ส่วนเรื่องการดับของดาวฤกษ์นั้น ต้องศึกษาลึกลงไปอีกครับ ...

              Comment


              • #52
                อยากทราบเกี่ยวกับทฤษฎีการเกิดจักรวาลน่ะครับ

                Comment


                • #53
                  Originally posted by nununu View Post
                  อยากทราบเกี่ยวกับทฤษฎีการเกิดจักรวาลน่ะครับ
                  คุณพ่อจักรแต่งงานกับคุณแม่วาล ลูกออกมาเป็นจักรวาล

                  Comment


                  • #54
                    Originally posted by X3STeNLiTE View Post
                    แสงไม่ได้มาจากความร้อนครับ.. แสงเกิดจากการหลุดออกของอิเล็กตรอน แล้วมีการสั่นเป็นความถี่ต่าง ๆ แล้วตอนนี้ยังมีการศึกษาอยู่ว่า ความร้อนคืออะไร.. (สิ่งที่ง่าย ๆ ที่พบอยู่ในชีวิตเรา แต่ไม่รู้มันคืออะไร.. นักวิทยาศาสตร์บางท่านคิดว่า มันคือ การแผ่กระจายของอนุภาค แต่ก็ช่างเถอะให้เค้าศึกษากันไปก่อน แล้วค่อยมาบอกกันอีกที)

                    อธิบายอีกรอบ แสงไม่ได้เกิดจากความร้อน เพราะในคอมพิวเตอร์ก็มีความร้อน แต่ก็ไม่เห็นมีแสง หลอดไฟ LED ไม่มีความร้อน แต่ก็ยังเกิดแสง แต่ความร้อนเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดแสง อย่างเช่น เราให้ความร้อนกับเหล็ก จนทำให้เหล็กแดง แสงที่เห็นออกมาจากเหล็กก็คืออิเล็กตรอนที่หลุดจากอะตอมของเหล้ก แล้วสั่นอยู่ในความถี่แสง ทำให้เราสามารถเห็นว่าเหล็กแดง

                    เสริมทฤษฎีที่ผมดูจาก discovery นะครับ..
                    ทุกอย่างที่เป็นวัตถุในโลกนี้ ถ้าไม่ไช่แหล่งกำเนิดแสง เกิดจากแสงที่ตกกระทบใส่ ทำให้เราเห็นวัตถุต่าง ๆ แต่สีที่เห็นจากวัตถุต่าง ๆ เกิดจากวัตถุนั้นไม่สามารถดูดกลืนสีที่เป็นสีของมันได้.. เข้าได้หรือเปล่าครับ.. อย่างเช่น ปากกาสีแดง เป็นสีชนิดหนึ่ง ที่มีสีแดงก็เพราะว่า มันไม่สามารถดูดกลืนสีแดงได้.. ทางวิทยาศาสตร์เค้าเรียกว่า การผสมสีแบบ Subtractive ส่วนหากอะไรเป็นแหล่งกำเนิด จะมีแม่สีทั้ง 3 (แดง เขียว น้ำเงิน) แสงทั้งสามจะผสมกับแบบ Additive หรือเป็นการบวกกันของแสงนั่นเอง..

                    ต่อนะครับ..
                    หากวัตถุนั้นเป็นแหล่งกำเนิดแสงเป็นของตัวเองนะครับ.. เราก็ทำให้แสงที่เปล่งจากออกมาจากวัตถุนั้นมีความถี่เกิน หรือน้อยกว่าที่ตาเรามองเห็น วัตถุนั้นก็น่าจะเป็นวัตถุโปร่งแสง ถูกมั๊ยครับ.. (หลักการวัตถุล่องหนของผม)

                    แต่จากที่ผมดูใน Discovery เค้าบอกว่า วัตถุต่าง ๆ ที่เรามองเห็นก็เหมือนกันสายกีตาร์ แต่มีการสั่นตลอดเวลา ทำให้เราเห็นวัตถุนั้นตลอดเวลา.. หากถ้าเราสั่นให้มาก หรือน้อยกว่าความถี่ที่ตาเรามองเห็น เราก็จะมองไม่เห็นวัตถุนั้น กลายเป็นวัตถุล่องหนไปในทันที.. อย่างเช่นแสงอินฟาเรด ในรีโมตบ้าน ๆ เราเนี่ยแหล่ะครับ.. หลายท่านคงคิดว่า มันคุมทีวีได้ยังไง.. ไม่เห็นมีอะไรเลย.. สัญญาณวิทยุก็ไม่ใช่.. ลองเอาโทรศัพท์ (ที่ถ่ายรูปได้) ไปส่องตรงหัวหลอดไฟเล็ก ๆ ตรงหัวรีโมต แล้วลองกดรีโมตดูสิครับ จะเห็นว่ามันมีแสง นั่นเป็นแสงอินฟาเรดที่ตาเรามองไม่เห็น...

                    มนุษย์ต่างดาว อาจรู้ถึงคุณสมบัติของสสารนี้.. แต่สามารถควบคุมการสั่นของสสารได้.. ทำให้เรามองไม่เห็นยานของพวกเค้าก็เป็นได้ <<<-- อันนี้ความเห็นส่วนตัวล้วน ๆ นะครับ แหะๆ
                    การหลุดของอิเล็กตรอน มันก็มาจากความร้อนนี่ครับ (เหมือนที่เกิดบนดาวฤกษ์) คือที่ผมพูดถึงนี่คือ แสงบริสุทธ์นะครับ ไม่ใช่แสงสังเคราะห์....อันนี้ผมศึกษาตำรามาอ่ะนะ

                    แสง มีที่มาจากความร้อนถูกแล้วครับ

                    เดี๋ยวผมก็เอามาให้อ่านเลยละกันครับ

                    ในธรรมชาติ ความร้อนสามารถถ่ายเทไปได้หลายวิธี แต่สามารถแบ่งได้เป็น 3 วิธีหลักๆ คือ การนำความร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสี

                    การนำความร้อน (Conduction) คือการที่ความร้อนถูกท่ายเทผ่านตัวกลาง เช่น การที่หูจับหม้อร้อนหลังจากต้มน้ำไประยะหนึ่ง ซึ่งเกิดจาการที่ความร้อนถ่ายเทผ่านหม้อโลหะ ไปยังหูจับ

                    การพาความร้อน (Convection) คือการที่ตัวกลางได้รับความร้อนและเคลื่อนที่ไป จึงพาความร้อนไปด้วย เช่น การต้มหมูในน้ำเดือด โมเลกุลของน้ำได้รับความร้อนจากก้นหม้อ และพาความร้อนมายังชิ้นหมู ทำให้หมูสุก หรือการนึ่งซาลาเปาและขนมจีบที่ไอน้ำพาพลังงานมาให้กับซาลาเปาและขนมจีบจนสุก

                    การแผ่รังสี (Radiation) เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ตัวกลาง โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงานสูงแผ่ออกจากแหล่งกำเนิดโดยรอบ เช่น การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์มายังโลก ทำให้โลกได้รับความร้อนและแสงสว่าง

                    เก็ตยัง ???? และความร้อนไม่ใช่หรือ ที่ทำให้อิเล็กตรอนหลุดออก ... เหมือนหลอดไฟที่สว่าง ก็มาจากการให้ความร้อนในระดับรังสีที่มนุษย์มองเห็น ทำให้ลวดโลหะมีความร้อนจนเปล่งแสงออกมา

                    เอาอีกบทความนะครับ เพื่อความกระจ่าง

                    สถานะของสสาร

                    นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งสถานะของสสารในธรรมชาติออกเป็น 4 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ และพลาสมา .... 3 สถานะแรกเป็นสิ่งที่เราค่อนข้างคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน แต่สถานะที่สี่ หรือพลาสมา เป้นสถานะที่มักจะไม่พบเห้นบ่อยนัก พลาสมา คือ ก๊าซที่มีประจุ (ตรงนี้สำคัญนะครับ อ่านให้ดีๆ) พบในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงมาก (โดยทั่วไปมักจะสูงกว่า 5,000 เคลวิน) ทำให้อะตอมของก๊าซสูญเสียอิเล็กตรอน และอยู่ในสภาพประจุไฟฟ้า
                    การเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารจะเกิดขึ้นเมื่อสสาร รับ หรือ สูญเสียพลังงาน ตัวอย่างเช่น ... หากนำน้ำแข็งมาก้อนหนึ่ง และให้พลังงานแก่น้ำแข็งโดยการใส่ในหม้อตั้งบนเตาไฟ น้ำแข็งจะได้รับพลังงานจากเตาและหลอมละลายกลายเป็นน้ำ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว หากตั้งบนเตาไฟต่อไป น้ำจะร้อนขึ้นเรื่อยๆจนเดือดและกลายเป็นไอน้ำ อยู่ในสถานะก๊าซ น้ำในสถานะนี้ยังอยู่คงอยู่ในรูปของโมเลกุลน้ำ (H20) แม้ว่าเราไม่สามารถจะจับต้องหรือมองเห็นไอน้ำได้
                    หากให้พลังงานแก่ไอน้ำมากขึ้นอีก (เพิ่มอุณหภูมิสูงกว่า 2,000 เคลวิน) โมเลกุลของน้ำจะแยกสลายออกเป็นอะตอมของโฮโดนเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม ...เมื่อการแยกสลายจนหมดจะเหลือเพียงอะตอมของไฮโดรเจนและออกซิเจน (ไม่เหลือน้ำอีกแล้ว) และหากให้พลังงานแก่อะตอมของธาตุทั้งสองเพิ่มขึ้นอีก (อุณหภูมิสูงกว่า 5,000 เคลวิน) อะตอมจะสูญเสียอิเล็กตรอนและอยู่ในสภาพพลาสมา ซึ่งสามารถนำไฟฟ้าได้
                    สังเกตว่าการที่สสารจะกลายเป็นพลาสมานั้น ต้องให้พลังงานสูงมากแค่อนุภาค ดังนั้น พลาสมาจึงเรียกได้ว่า "อนุภาคพลังงานสูง" ถึงแม้พลาสมาจะไม่สามารถพบได้บ่อยนักบนผิวโลก แต่ก๊าซในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงที่มีประจุในอวกาศ เช่น เนบิวลาที่กำลังจะรวมตัวเป็นดาวฤกษ์ หรือก๊าซที่ระเบิดออกจากดาวฤกษ์ จะอยู่ในสถานะนี้ ทั้งสิ้น

                    ตัวอย่าง จากน้ำแข็งที่ 0 องศา (273 เคลวิน) คือของแข็ง .. ละลายเป็นน้ำ คือ ของเหลว และระเหยกลายเป็นไอน้ำที่ 100 องศา (373 เคลวิน) คือ ก๊าซ .. โมเลกุลแยกตัวเป้นอะตอมที่อุณหภูมิ 3,000 องศา (3,300 เคลวิน) อิเล็กตรอนเริ่มหลุดจากอะตอมที่อุณหภูมิระดับ 10,000 องศา อะตอมมีสภาพเป้นประจุมากขึ้นและกลายเป็นประจุโดยสมบูรณ์ที่ระดับ 1,000,000 องศา

                    จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า การแยกตัวของอิเล็กตรอนทั้งหมด เกิดจากความร้อนนะครับ และการแยกตัวของอิเล็กตรอน ไม่ได้กำเนิดแสงเสมอไป (เช่น ตัวอย่างของน้ำ) หรืออาจจะเรียงได้ว่า

                    ความร้อน > อิเล็กตรอนแยกตัว > แสง .....

                    เพราะฉะนั้น การกล่าวว่า แสงไม่ได้เกิดจากความร้อนนั้น ผิดมหันต์ครับ

                    และการกล่าวว่า แสงเกิดจากการแยกตัวของอิเล็กตรอน ก็ถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะวัตถุของแข็งทุกชนิดบนโลก ให้แสงจากความร้อน ... แต่การแยกตัวของอิเล็กตรอนในน้ำ ไม่ได้ให้แสงแต่อย่างใด

                    เคลียร์นะครับ ....

                    Comment


                    • #55
                      Originally posted by X3STeNLiTE View Post
                      แสงไม่ได้มาจากความร้อนครับ.. แสงเกิดจากการหลุดออกของอิเล็กตรอน แล้วมีการสั่นเป็นความถี่ต่าง ๆ แล้วตอนนี้ยังมีการศึกษาอยู่ว่า ความร้อนคืออะไร.. (สิ่งที่ง่าย ๆ ที่พบอยู่ในชีวิตเรา แต่ไม่รู้มันคืออะไร.. นักวิทยาศาสตร์บางท่านคิดว่า มันคือ การแผ่กระจายของอนุภาค แต่ก็ช่างเถอะให้เค้าศึกษากันไปก่อน แล้วค่อยมาบอกกันอีกที)

                      อธิบายอีกรอบ แสงไม่ได้เกิดจากความร้อน เพราะในคอมพิวเตอร์ก็มีความร้อน แต่ก็ไม่เห็นมีแสง หลอดไฟ LED ไม่มีความร้อน แต่ก็ยังเกิดแสง แต่ความร้อนเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดแสง อย่างเช่น เราให้ความร้อนกับเหล็ก จนทำให้เหล็กแดง แสงที่เห็นออกมาจากเหล็กก็คืออิเล็กตรอนที่หลุดจากอะตอมของเหล้ก แล้วสั่นอยู่ในความถี่แสง ทำให้เราสามารถเห็นว่าเหล็กแดง

                      เสริมทฤษฎีที่ผมดูจาก discovery นะครับ..
                      ทุกอย่างที่เป็นวัตถุในโลกนี้ ถ้าไม่ไช่แหล่งกำเนิดแสง เกิดจากแสงที่ตกกระทบใส่ ทำให้เราเห็นวัตถุต่าง ๆ แต่สีที่เห็นจากวัตถุต่าง ๆ เกิดจากวัตถุนั้นไม่สามารถดูดกลืนสีที่เป็นสีของมันได้.. เข้าได้หรือเปล่าครับ.. อย่างเช่น ปากกาสีแดง เป็นสีชนิดหนึ่ง ที่มีสีแดงก็เพราะว่า มันไม่สามารถดูดกลืนสีแดงได้.. ทางวิทยาศาสตร์เค้าเรียกว่า การผสมสีแบบ Subtractive ส่วนหากอะไรเป็นแหล่งกำเนิด จะมีแม่สีทั้ง 3 (แดง เขียว น้ำเงิน) แสงทั้งสามจะผสมกับแบบ Additive หรือเป็นการบวกกันของแสงนั่นเอง..

                      ต่อนะครับ..
                      หากวัตถุนั้นเป็นแหล่งกำเนิดแสงเป็นของตัวเองนะครับ.. เราก็ทำให้แสงที่เปล่งจากออกมาจากวัตถุนั้นมีความถี่เกิน หรือน้อยกว่าที่ตาเรามองเห็น วัตถุนั้นก็น่าจะเป็นวัตถุโปร่งแสง ถูกมั๊ยครับ.. (หลักการวัตถุล่องหนของผม)

                      แต่จากที่ผมดูใน Discovery เค้าบอกว่า วัตถุต่าง ๆ ที่เรามองเห็นก็เหมือนกันสายกีตาร์ แต่มีการสั่นตลอดเวลา ทำให้เราเห็นวัตถุนั้นตลอดเวลา.. หากถ้าเราสั่นให้มาก หรือน้อยกว่าความถี่ที่ตาเรามองเห็น เราก็จะมองไม่เห็นวัตถุนั้น กลายเป็นวัตถุล่องหนไปในทันที.. อย่างเช่นแสงอินฟาเรด ในรีโมตบ้าน ๆ เราเนี่ยแหล่ะครับ.. หลายท่านคงคิดว่า มันคุมทีวีได้ยังไง.. ไม่เห็นมีอะไรเลย.. สัญญาณวิทยุก็ไม่ใช่.. ลองเอาโทรศัพท์ (ที่ถ่ายรูปได้) ไปส่องตรงหัวหลอดไฟเล็ก ๆ ตรงหัวรีโมต แล้วลองกดรีโมตดูสิครับ จะเห็นว่ามันมีแสง นั่นเป็นแสงอินฟาเรดที่ตาเรามองไม่เห็น...

                      มนุษย์ต่างดาว อาจรู้ถึงคุณสมบัติของสสารนี้.. แต่สามารถควบคุมการสั่นของสสารได้.. ทำให้เรามองไม่เห็นยานของพวกเค้าก็เป็นได้ <<<-- อันนี้ความเห็นส่วนตัวล้วน ๆ นะครับ แหะๆ
                      อธิบายย้ำ เพื่อความกระจ่างอีกรอบ

                      คอมพิวเตอร์ มีอุณหภูมิเท่าไหร่เองครับ เกิน 100 องศา ก็ดับแล้ว .... มันจึงยังไม่แผ่รังสี(แสง)ของมันออกมา ....

                      และ ถ้าอยากรู้ว่าหลอดไฟมันไม่ร้อนจริงหรอ ไปจับหลอดทำไมครับ แสงมันมาจากแกนไส้ใน ลองไปจับอันนั้นดู ... สุกชัวร์!!!

                      Comment


                      • #56
                        ถ้า 2012 มันมาถึงละ จะเป็นแบบนี้ไหม



                        Comment


                        • #57
                          เข้ามาดู...

                          Comment


                          • #58
                            ขอบคุณมากมายสำหรับเรื่องน่ารู้ครับ
                            Last edited by BZZ; 20 Jun 2009, 11:29:32.

                            Comment


                            • #59
                              Originally posted by Firedevilz View Post
                              อธิบายย้ำ เพื่อความกระจ่างอีกรอบ

                              คอมพิวเตอร์ มีอุณหภูมิเท่าไหร่เองครับ เกิน 100 องศา ก็ดับแล้ว .... มันจึงยังไม่แผ่รังสี(แสง)ของมันออกมา ....

                              และ ถ้าอยากรู้ว่าหลอดไฟมันไม่ร้อนจริงหรอ ไปจับหลอดทำไมครับ แสงมันมาจากแกนไส้ใน ลองไปจับอันนั้นดู ... สุกชัวร์!!!
                              โอเคแสดงว่าผมเข้าใจไม่ละเอียดเอง แต่ผมก็ได้อธิบายไว้นะครับ.. ว่าแสงไม่ได้เกิดจากความร้อน (เพียงอย่างเดียว) <<-- ต้องแก้แบบนี้.. แต่จากการดูการอธิบายของท่านแล้ว ทำให้ผมพบว่าแสงมีสองประเภท 1. แสงที่เกิดเองตามธรรมชาติ (แสงบริสุทธิ์ตามที่ท่านว่า) 2. แสงสังเคราะห์ (แสงที่สร้างขึ้นเอง)

                              Comment


                              • #60
                                Originally posted by X3STeNLiTE View Post
                                โอเคแสดงว่าผมเข้าใจไม่ละเอียดเอง แต่ผมก็ได้อธิบายไว้นะครับ.. ว่าแสงไม่ได้เกิดจากความร้อน (เพียงอย่างเดียว) <<-- ต้องแก้แบบนี้.. แต่จากการดูการอธิบายของท่านแล้ว ทำให้ผมพบว่าแสงมีสองประเภท 1. แสงที่เกิดเองตามธรรมชาติ (แสงบริสุทธิ์ตามที่ท่านว่า) 2. แสงสังเคราะห์ (แสงที่สร้างขึ้นเอง)
                                ประมาณนั้นครับ ถ้าเอาแบบกระจ่างแจ้งเลยก็คือ

                                แสงที่เกิดตามธรรมชาติ เป้นแสงบริสุทธิ์ จะเกิดจากความร้อนทั้งสิ้น

                                แสงที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นแสงสังเคราะห์ ไม่จำเป็นต้องเกิดจากความร้อน

                                จบ

                                Comment

                                Working...
                                X