Disclaimer: รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Asus Router Challenge ทาง Asus ให้ยืมตัวอย่างสินค้าเพื่อเขียนบทความนี้
นี่เป็นบทความรีวิวชิ้นแรกของผม ถูกผิดอย่างไรแนะนำด้วยครับ
บทเกริ่นนำ
Asus RT-AC5300 เป็นเราเตอร์รุ่นใหญ่ของ Asus และเป็นเพียงหนึ่งในสองตัวในตลาดเราเตอร์ทั้งหมดที่มาพร้อม Wireless AC 5300 Mbps โดยมีเป้าหมายเจาะกลุ่มคนใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสุดยอดประสบการณ์การเล่นเกม และถ่ายทอดวิดิโอ 4K ที่ราบลื่นที่สุด
เราจะมาทดสอบพลังของอุปกรณ์ชิ้นนี้และดูว่าสิ่งที่ได้เหมาะกับป้ายราคาที่หนักหน่วงหรือไม่
สเปค
เห็นได้ชัดเจนว่าณเวลาเขียนนี้ Asus RT-AC5300 เป็นเราเตอร์ไร้สายระดับผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพสูงอันดับต้น ๆ (ถ้าไม่ใช่ที่สุด) ในตลาด
ความเร็ว 5300 Mbps นี้ได้มาจากทำงานสามย่านความถี่พร้อมกัน: 2.4GHz หนึ่งคลื่นและ 5GHz อีกสองคลื่น และ NitroQAM ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Broadcom ช่วยเร่งความเร็วแต่ละย่านยิ่งขึ้นไปอีก โดยเพิ่มการ modulate เป็น 1024 สถานะ (1024QAM)
การจัดเสา 4x4 ของเราเตอร์ตัวนี้ แม้ว่าควรจะรองรับ MU-MIMO เฟิร์มแวร์กลับยังไม่รองรับฟังก์ชั่นนี้ ตามข้อมูลจากเว็บของ Asus เฟิร์มแวร์เบต้าจะเสร็จภายในปลายปี 2015
แต่ตอนนี้เราก็มาถึงปลายมีนาคม 2016 กันแล้ว และสิ่งเดียวที่มีคือเฟิร์มแวร์ alpha โดยอ้างว่า WiFi-Alliance ยังไม่สรุปมาตรฐานนี้
แต่จากการสังเกตรุ่นใกล้เคียงเช่น Asus RT-AC88U หรือ Netgear R8500 พบว่าต่างยังไม่มีเฟิร์มแวร์สำหรับ MU-MIMO ทั้งคู่ ควาดว่าเป็นปัญหาที่ทาง Broadcom มากกว่า
ผมจะไม่ใช้ เฟิร์มแวร์ alpha ในการรีวิว แต่จะใช้เวอร์ชั่นล่าสุดที่มีอยู่ (3.0.0.4.380.1355)
อัปเดต: เฟิร์มแวร์เบต้าสำหรับ MU-MIMO ออกให้ลองทดสอบแล้ว
ประสิทธิภาพการประมาลผลของตัวนี้ก็ใช่ย่อย CPU ที่ใช้คือ Broadcom BCM47094 โดยมี ARM Cortex A9 ทั้งหมด 2 core เป็นหัวใจหลัก วิ่งอยู่ที่ 1.4Ghz ควบโดย Ram DDR3 512MB และ NAND เก็บข้อมูลขนาด 128MB
รูปลักษณ์
กล่องบรรจุถือว่ามีขนาดใหญ่และหนักกว่าที่คาดไว้มาก การดีไซน์คล้ายกล่องเราเตอร์ Asus รุ่นอื่น ๆ ที่เราคุ้นเคย เว้นแต่ว่าการเปิดเป็นลักษณะยกฝาขึ้น (เหมือนกล่องอุปกรณ์ Apple)
เปิดขึ้นมาด้านใน สิ่งแรกที่จะพบคือต้วเราเตอร์เอง ใต้ตัวเราเตอร์มีเสาและซองเอกสาร ด้านข้างมีช่องแบ่งไว้เก็บปลั๊กและสายต่าง ๆ
เสาอากาศทั้งหมด 8 เสา ไม่แยกช่อง 2.4/5GHz, คู่มือหลายภาษา, ใบ"สมาชิก VIP" และแผ่น CD
กล่องแปลงไฟขนาดใหญ่แยกออกมาจากหัวปลั๊ก
สาย ethernet และปลั๊กไฟสามแบบตามประเทศ สำหรับประเทศไทย ปลั๊กที่มีให้เป็นหัวกลม
ตัวเครื่องมีขนาด 245 x 245 x 65 มิลลิเมตร เสาอากาศกระจายอยู่ทั้งสี่ด้านของตัวเครื่อง ด้านละสองเสา
ด้านบนมีแถบสีแดงรอบ ๆ ตรงกลางมีลายและโลโก้ Asus ตรงกลาง ด้านในลายเป็น heat sink ระบายความร้อน (ตัวนี้ร้อนเอาเรื่องเหมือนกัน)
เสาทั้ง 8 มีขนาดใหญ่ หนัก และเอนไปมาง่าย ทำให้เกิดความน่ารำคาญเวลาขนย้าย โดยเฉพาะระหว่างถ่ายรูป
ด้านใต้ เต็มไปด้วยลายเหมือนส่วนกลางของด้านบน มีสติกเกอร์ serial number และขาตั้งยาง
แม้ว่าจะขาดช่องแขวนกำแพง ดูจากรูปร่างและน่ำหนักแล้วคงไม่มีใครต้องการติดบนเพดานเป็นแน่
ด้านหน้ามีไฟแสดงสถานะเปิด/ปิด, คลื่น 2.4GHz, คลื่น 5GHz, Internet, LAN, และ WPS
ในเราเตอร์ราคาระดับนี้ ผมอยากเห็นไฟ 4 ดวงสำหรับ LAN แต่ละพอร์ต
หากเแยกสถานะ 100Mbits / Gigabit จะดียิ่ง ข้อเล็กน้อยเช่นนี้ช่วยให้แก้ปัญหาการติดตั้งได้ง่ายขึ้น
ด้านหลังมีปุ่มสวิชต์เปิดปิด (หนึ่งปุ่มที่ router บางรุ่นมองข้าม) ปลั๊กไฟเข้า, ช่อง USB3.0 พอร์ต WAN หนึ่งพอร๋ตและ LAN อีก 4 พอร๋ต
ทั่งหมดเป็น Gigabit และขวาสุดมีปุ่ม reset (เสาบัง)
ด้านข้างมีพอร์ต USB 2.0, ปุ่มเปิด/ปิด LED, ปุ่ม WPS และปุ่มเปิด/ปิดสัญญาณ Wi-Fi โดยทั้งสามปุ่มมีเสียงกด/แรงต้านดี ให้เรารู้สึกว่าเรากดปุ่มแล้ว
นับว่าเป็นอีกฟังก์ชันที่มีประโยชน์และไม่ได้พบบ่อย ๆ หากจะมีข้อเสียคือการกดปิด Wi-Fi ตอบสนองช้า
บางครั้งผมกดย้ำลงไปเพราะคิดว่าระบบไม่ตอบสนองหรือกดไม่นานพอ แต่กลับได้เห็นไฟคลื่นไร้สายดับเป็นเวลาครึ่งวินาทีแล้วกลับมาติดใหม่
อีกประเด็นหนึ่งคือการเปิด/ปิด Wi-Fi สามารถทำได้แค่ที่ปุ่มบนตัวเครื่องเท่านั้น ผมหาการตั้งค่าใน Web interface ไม่พบ
โดยรวมแล้ว เราเตอร์มีขนาดใหญ่มาก รูปร่างสวยงาม ดูคล้ายแมงมุมนอนหงาย คุณภาพดูคงทน ไม่รู้สึกเป็นพลาสติกถูก ๆ
นี่เป็นบทความรีวิวชิ้นแรกของผม ถูกผิดอย่างไรแนะนำด้วยครับ
สินค้า | Asus RT-AC5300 |
เว็บไซต์ | https://www.asus.com/Networking/RT-AC5300 |
ราคาที่ผู้ผลิตแนะนำ (MSRP) | 14,900 บาท (ณ วันที่ 8 มีนาคม 2016) |
บทสรุป | Router 4x4 สามคลื่น |
ข้อดี | ประสิทธิภาพสูง พร้อมทุกฟังก์ชัน |
ข้อเสีย | ราคาสูง ไม่รองรับ MU-MIMO |
Asus RT-AC5300 เป็นเราเตอร์รุ่นใหญ่ของ Asus และเป็นเพียงหนึ่งในสองตัวในตลาดเราเตอร์ทั้งหมดที่มาพร้อม Wireless AC 5300 Mbps โดยมีเป้าหมายเจาะกลุ่มคนใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสุดยอดประสบการณ์การเล่นเกม และถ่ายทอดวิดิโอ 4K ที่ราบลื่นที่สุด
เราจะมาทดสอบพลังของอุปกรณ์ชิ้นนี้และดูว่าสิ่งที่ได้เหมาะกับป้ายราคาที่หนักหน่วงหรือไม่
สเปค
เห็นได้ชัดเจนว่าณเวลาเขียนนี้ Asus RT-AC5300 เป็นเราเตอร์ไร้สายระดับผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพสูงอันดับต้น ๆ (ถ้าไม่ใช่ที่สุด) ในตลาด
ความเร็ว 5300 Mbps นี้ได้มาจากทำงานสามย่านความถี่พร้อมกัน: 2.4GHz หนึ่งคลื่นและ 5GHz อีกสองคลื่น และ NitroQAM ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Broadcom ช่วยเร่งความเร็วแต่ละย่านยิ่งขึ้นไปอีก โดยเพิ่มการ modulate เป็น 1024 สถานะ (1024QAM)
การจัดเสา 4x4 ของเราเตอร์ตัวนี้ แม้ว่าควรจะรองรับ MU-MIMO เฟิร์มแวร์กลับยังไม่รองรับฟังก์ชั่นนี้ ตามข้อมูลจากเว็บของ Asus เฟิร์มแวร์เบต้าจะเสร็จภายในปลายปี 2015
แต่ตอนนี้เราก็มาถึงปลายมีนาคม 2016 กันแล้ว และสิ่งเดียวที่มีคือเฟิร์มแวร์ alpha โดยอ้างว่า WiFi-Alliance ยังไม่สรุปมาตรฐานนี้
แต่จากการสังเกตรุ่นใกล้เคียงเช่น Asus RT-AC88U หรือ Netgear R8500 พบว่าต่างยังไม่มีเฟิร์มแวร์สำหรับ MU-MIMO ทั้งคู่ ควาดว่าเป็นปัญหาที่ทาง Broadcom มากกว่า
ผมจะไม่ใช้ เฟิร์มแวร์ alpha ในการรีวิว แต่จะใช้เวอร์ชั่นล่าสุดที่มีอยู่ (3.0.0.4.380.1355)
อัปเดต: เฟิร์มแวร์เบต้าสำหรับ MU-MIMO ออกให้ลองทดสอบแล้ว
ประสิทธิภาพการประมาลผลของตัวนี้ก็ใช่ย่อย CPU ที่ใช้คือ Broadcom BCM47094 โดยมี ARM Cortex A9 ทั้งหมด 2 core เป็นหัวใจหลัก วิ่งอยู่ที่ 1.4Ghz ควบโดย Ram DDR3 512MB และ NAND เก็บข้อมูลขนาด 128MB
รูปลักษณ์
กล่องบรรจุถือว่ามีขนาดใหญ่และหนักกว่าที่คาดไว้มาก การดีไซน์คล้ายกล่องเราเตอร์ Asus รุ่นอื่น ๆ ที่เราคุ้นเคย เว้นแต่ว่าการเปิดเป็นลักษณะยกฝาขึ้น (เหมือนกล่องอุปกรณ์ Apple)
เปิดขึ้นมาด้านใน สิ่งแรกที่จะพบคือต้วเราเตอร์เอง ใต้ตัวเราเตอร์มีเสาและซองเอกสาร ด้านข้างมีช่องแบ่งไว้เก็บปลั๊กและสายต่าง ๆ
เสาอากาศทั้งหมด 8 เสา ไม่แยกช่อง 2.4/5GHz, คู่มือหลายภาษา, ใบ"สมาชิก VIP" และแผ่น CD
กล่องแปลงไฟขนาดใหญ่แยกออกมาจากหัวปลั๊ก
สาย ethernet และปลั๊กไฟสามแบบตามประเทศ สำหรับประเทศไทย ปลั๊กที่มีให้เป็นหัวกลม
ตัวเครื่องมีขนาด 245 x 245 x 65 มิลลิเมตร เสาอากาศกระจายอยู่ทั้งสี่ด้านของตัวเครื่อง ด้านละสองเสา
ด้านบนมีแถบสีแดงรอบ ๆ ตรงกลางมีลายและโลโก้ Asus ตรงกลาง ด้านในลายเป็น heat sink ระบายความร้อน (ตัวนี้ร้อนเอาเรื่องเหมือนกัน)
เสาทั้ง 8 มีขนาดใหญ่ หนัก และเอนไปมาง่าย ทำให้เกิดความน่ารำคาญเวลาขนย้าย โดยเฉพาะระหว่างถ่ายรูป
ด้านใต้ เต็มไปด้วยลายเหมือนส่วนกลางของด้านบน มีสติกเกอร์ serial number และขาตั้งยาง
แม้ว่าจะขาดช่องแขวนกำแพง ดูจากรูปร่างและน่ำหนักแล้วคงไม่มีใครต้องการติดบนเพดานเป็นแน่
ด้านหน้ามีไฟแสดงสถานะเปิด/ปิด, คลื่น 2.4GHz, คลื่น 5GHz, Internet, LAN, และ WPS
ในเราเตอร์ราคาระดับนี้ ผมอยากเห็นไฟ 4 ดวงสำหรับ LAN แต่ละพอร์ต
หากเแยกสถานะ 100Mbits / Gigabit จะดียิ่ง ข้อเล็กน้อยเช่นนี้ช่วยให้แก้ปัญหาการติดตั้งได้ง่ายขึ้น
ด้านหลังมีปุ่มสวิชต์เปิดปิด (หนึ่งปุ่มที่ router บางรุ่นมองข้าม) ปลั๊กไฟเข้า, ช่อง USB3.0 พอร์ต WAN หนึ่งพอร๋ตและ LAN อีก 4 พอร๋ต
ทั่งหมดเป็น Gigabit และขวาสุดมีปุ่ม reset (เสาบัง)
ด้านข้างมีพอร์ต USB 2.0, ปุ่มเปิด/ปิด LED, ปุ่ม WPS และปุ่มเปิด/ปิดสัญญาณ Wi-Fi โดยทั้งสามปุ่มมีเสียงกด/แรงต้านดี ให้เรารู้สึกว่าเรากดปุ่มแล้ว
นับว่าเป็นอีกฟังก์ชันที่มีประโยชน์และไม่ได้พบบ่อย ๆ หากจะมีข้อเสียคือการกดปิด Wi-Fi ตอบสนองช้า
บางครั้งผมกดย้ำลงไปเพราะคิดว่าระบบไม่ตอบสนองหรือกดไม่นานพอ แต่กลับได้เห็นไฟคลื่นไร้สายดับเป็นเวลาครึ่งวินาทีแล้วกลับมาติดใหม่
อีกประเด็นหนึ่งคือการเปิด/ปิด Wi-Fi สามารถทำได้แค่ที่ปุ่มบนตัวเครื่องเท่านั้น ผมหาการตั้งค่าใน Web interface ไม่พบ
โดยรวมแล้ว เราเตอร์มีขนาดใหญ่มาก รูปร่างสวยงาม ดูคล้ายแมงมุมนอนหงาย คุณภาพดูคงทน ไม่รู้สึกเป็นพลาสติกถูก ๆ
Comment