Announcement

Collapse
No announcement yet.

Review : คีย์บอร์ด 50 บาท vs คีย์บอร์ด 5,000 บาท (หลายตัว) ต่างกันแค่ไหน คุ้มไหมยังไง

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • Review : คีย์บอร์ด 50 บาท vs คีย์บอร์ด 5,000 บาท (หลายตัว) ต่างกันแค่ไหน คุ้มไหมยังไง

    สวัสดีครับ เพื่อนๆ ทุกท่าน วันนี้ผมจะเปลี่ยนมารีวิวอุปกรณ์ต่อพ่วงอย่าง Keyboard ที่หลายๆ คนมองข้ามกันบ้างนะครับ โดยสำหรับ Keyboard ที่จะมารีวิววันนี้แน่นอนครับว่าจะต้องมีทั้งแบบ Mechanical และ Rubber Dome แบบบ้านๆ เพื่อจะมาเปรียบกันว่าแบบไหนเหมาะที่สุดทั้งสำหรับ Game และ การใช้งานทั่วไปประจำวัน ในแบบ การใช้งานทั่วไปโดยเฉลี่ยครับผม


    สำหรับท่านใดที่คิดว่า


    Keyboard อะไรวะ แพงกว่า CPU อีก บ้าหรือเปล่า?

    Keyboard นั้นไม่สำคัญ หรือไม่ต่างกันมาก.

    Keyboard แพงๆ นั้นแพงเพราะไฟสวยๆ ที่ดูแฟนซี เท่านั้น

    Keyboard ดีๆ นั้นเหมาะกับคนเล่นเกมเท่านั้น ถ้าใช้ทั่วไป คงไม่ต่างกันมาก

    Keyboard ดีๆ นั้นแค่แพงไปงั้นๆ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างเท่าไหร่นัก

    และ Keyboard อะไรก็พิมพ์ได้เหมือนๆ กัน



    เราจะมาดูกันว่า ความคิดเหล่านั้นจริงหรือไม่จริงอย่างไร ครับผม







    โดยวันนี้จะมีทั้งหมด 7 ตัวนะครับ ในระดับราคาตั้งแต่ 80 บาทไปจนถึง 5,200 บาท ครับผม


    โดยผมจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามรูปแบบของ Keyboard โดยจะมีรายชื่อดังนี้ครับ


    A. กลุ่มแรก : Mechanical Keyboard

    1. Razer BlackWidow Ultimate 2014 ราคาประมาณ 5,200 บาท

    2. CM Storm Trigger Z ราคาประมาณ 4,650 บาท

    3. TT esport Poseidon Z ราคาประมาณ 2,590 บาท


    B. กลุ่มที่สอง : Rubber Dome Keyboard

    4. Microsoft Wireless Keyboard 2000 ราคาประมาณ 1,990 บาท

    5. Mircosoft Wired Keyboard 800 ราคาประมาณ 1,000 บาท

    6. Logitech K120 Keyboard ราคาประมาณ 250 บาท

    7. คีย์บอร์ดบ้านๆ Anitech และอื่นๆ ที่ขายกันตามกระบะในห้าง IT ทั้งหลายหรือร้านคอมต่างๆ ชอบแถมมาตอนซื้อ Computer ราคาตั้งแต่ 80-199 บาท


    และ 8. ไม่เข้ากลุ่ม Keyboard ของ Notebook ต่าง ทั้ง Windows Notebook และ MacBook ครับผม



    อันนี้คือรายการทั้งหมดของ Keyboard ที่จะมารีวิวกันในวันนี้ครับผม




    และนี่คือรูปภาพของคีย์บอร์ดต่างๆ ที่นำมาทดสอบให้ชมกันในวันนี้ครับผม











    Last edited by Prime Time; 4 Sep 2014, 18:14:25.

  • #2
    ริ่มแรกผมขอท้าวความถึงภูมิหลังของตัวผมเองก่อนนะครับผม ผมเองนั้นใช้ Mechanical Keyboard มานานพอสมควรครับ ย้อนไปหลายปีก่อนตั้งแต่ในไทยยังไม่มีตัวเลือกมากนัก มีแค่ 2 ยี่ห้อหลัก ให้ได้เลือกใช้ในสมัยนั้น

    คือ Razer BackWidow และ SteelSeries 6Gv2 และ 7G ในสมัยนั้นในไทยมีตัวเลือกแค่ 2 ยี่ห้อข้างต้นนี้เองครับ รวมถึง Switch เองก็ไม่หลากหลายเท่ากับทุกวันนี้ครับ มีแค่ Black และ Blue เท่านั้นที่มีขายในไทยครับผม


    แรกเริ่มเดิมทีเมื่อ 4-5 ปีก่อน ผมเองก็เหมือนทุกท่านครับ ที่เคยใช้แต่ rubber dome keyboard แบบบ้านๆ ทั่วไปครับ จนสมัยนั้นผมเดินทางหาซื้อ Keyboard ที่ดีๆ ให้สัมผัสดีๆ และพบว่า rubber dome นั้นไม่ว่าจะแพงแค่ไหนมันก็ยังเป็น rubber dome อยู่วันยังค่ำ ไม่สามารถจะแตกต่างกันได้มากมายนักครับ

    โดยผมโดนมาตั้งแต่ Razer gaming rubber dome keyboard สมัยนั้นที่ราคาหลายพันบาท โดยคาดว่ามันจะดี หรือ Microsoft และ Logitech Keyboard ราคาหลายพันบาทโดยคาดว่ามันจะดี ผลคือ?


    มันก็ดีกว่าของถูกๆ ครับ แต่มันดีกว่าแค่เล็กน้อยเท่านั้น และเหมือนราคาที่แพงของมันนั้นไปกระจุกอยู่ที่ option ต่างๆ ไฟเอย Macro เอย การออกแบบเอย อะไรแบบนั้นมากกว่าที่จะไปลงกับคุณภาพของปุ่มและสัมผัส ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นคีย์บอร์ดจริงๆ



    จนกระทั่งเมื่อผมได้พบกับ Mechanical Keyboard เมื่อ 4-5 ปีก่อนนั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับคีย์บอร์ดของผมก็เปลี่ยนไปครับ ผมได้พบว่า Keyboard รูปทรงโง่ๆ แบบ Mechanical (เมื่อก่อน) นั้น แม้มันจะดูไม่มี option อะไรเลยแต่กลับแพง พอได้ลองแล้วจึงทราบว่า ราคาของมันมาจากคุณภาพล้วนๆ ครับผม เป็นคุณภาพของตัว Keyboard และปุ่มกดต่างๆ จริงๆ ครับ



    หลังจากนั้นผมก็ใช้ Mechanical Keyboard มาตลอดครับ



    เอาล่ะครับ เรื่องอดีตชั่งมันเถอะมาว่าที่ปัจจุบันดีกว่าว่ามีอะไรพัฒนาขึ้นแค่ไหน ทั้งส่วนของ rubber dome และ mechanical ครับ

    Comment


    • #3
      ก่อนจะไปพูดถึงความเปลี่ยนแปลงของแต่ละอย่าง ผมขอพาท่านเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับ Technology ต่างๆ ของปุ่ม Keyboard กันก่อนครับ เพื่อหลายท่านอาจจะยังสงสัยว่า

      อะไรคือ Machanical Keyboard?

      อะไรคือ Rubber dome keyboard?



      เอาล่ะครับมารู้จักกับ Technology ของ Keyboard กันดีกว่าครับผม

      Comment


      • #4
        เริ่มกันที่ rubber dome keyboard คีบอร์ดที่ทุกคนเคยผ่านมือมาแน่นอนครับ มันคือ Technology ที่ใช้กันใน Keyboard บ้านๆ ทั่วไปครับผม





        อย่างที่เห็นในภาพครับผม เมื่อแกะปุ่มออก rubber dome หรือคีย์บอร์ดแบบกรวยยางนั้น จะมีแค่แผ่นยางแผ่นใหญ่แผ่นเดียวใช้กับทั่วทั้งคีย์บอร์ด

        โดยแผ่นยางนี้ทำ 2 หน้าไปพร้อมๆ กันครับ

        คือ

        1. ทำตัวเป็นสปริง ด้วยการคืนรูปของตัวมัน

        2. ทำตัวเป็นสวิต (ด้านล่างจะมีสารนำไฟฟ้าสีดำฉาบเอาไว้ครับ ทำให้เวลากดลงไปสุดมันจะไป short แผงวงจรใน PCB ให้ไฟฟ้าผ่านได้ตามภาพครับ)


        rubber dome นั้นออกแบบมาเพื่อเหตุเดียวครับ เหตุผลที่ว่านั้นคือราคานั่นเองครับผม เน้นถูกเข้าว่าคุณภาพชั่งมันเถอะ ประมาณนั้นเลยครับ จนวันเวลาผ่านไป ใครๆ ก็ชอบซื้อของถูกๆ จนกลายเป็นคีย์บอร์ด 99% ในท้องตลาดกลายเป็น rubber dome กันไปหมดครับผม


        โดยคุณภาพนั้นเราไม่ต้องถามหาครับ เพราะอย่างมากก็ใช้ยางที่ดีขึ้น (ซึ่งดีขึ้นแค่ไหนมันก็คือยางครับ) และเพิ่มคุณภาพของ PCB ในรุ่นที่ราคาสูงขึ้นครับ



        rubber dome แพงๆ นั้นจะไม่ต่างกับ rubber dome กลางๆ ที่ราคาสัก 200 ขึ้นไปในยี่ห้อดีๆ หน่อยมากนักครับ เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลย แต่ไปเพิ่ม option อื่นๆ มากกว่าครับ



        สำหรับผม rubber dome แพงๆ นั้นไม่คุ้มอย่างมากครับผม จ่ายกับ rubber dome 2,000 ผมเสียดายเงินกว่า mechanical ราคา 5,000 ครับ



        เพราะ mechanical keyboard ผมได้คุณภาพจริงๆ แต่ rubber dome ผมได้แค่ rubber dome ตามเคยครับ




        rubber dome นั้นไม่ว่าดีแค่ไหนก็จะให้สัมผัสประมาณว่า หนืดๆ หน่วงๆ แปลกๆ อยู่ดีครับ


        อายุการใช้งานของแต่ละปุ่มนั้นอยู่ราวๆ 1-10 ล้านครั้งการกดได้ครับผม

        Comment


        • #5
          และมาต่อกันที่ Mechanical Keyboard ครับผม


          เจ้า Mechanical Keyboard นั้นมีความต่างกับ rubber dome อย่างมากครับ






          ลองดูในภาพด้านบนครับ Keyboard แบบ Mechanical นั้นภายใต้ปุ่มต่างๆ จะประกอบไปด้วย switch อิสระแบบนี้ 1 switch ต่อ 1 ปุ่มครับ ปุ่มทางกายภาพแบบกลไก 1 switch ต่อ 1 ปุ่มครับผม






          และในแต่ละ switch เมื่อแกะออกมาจะประกอบด้วยส่วนประกอบพวกนี้ครับผม ส่วนประกอบหลักๆ คือ กรอบ ก้าน และสปริง รวมถึงชุดหน้าสัมผัส ครับ

          ซึ่งก็ออกแบบมาอย่างดีครับ มีความทนทานสูงมากและมีความเป็นปุ่มสูงกว่า rubber dome มากๆ ครับ

          มันตอบสนองด้วยสปริงโลหะจริงๆ ไม่เหมือนใน rubber ที่ตอบสนองด้วยการคืนตัว คืนรูป ของแผ่นยางครับ



          ดังนั้น การตอบสนองของ mechanical ให้สัมผัสดีกว่ามากเวลาที่กด แม่นยำกว่า ตอบสนองไวกว่า และสบายนิ้วมากกว่า rubber dome มากๆ ครับผม และเวลากดให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปเลยครับ มันให้ความรู้สึกแม่นยำและดีกว่ามากๆ อธิบายเป็นคำพูดลำบากครับผม



          โดยแต่ละปุ่มมีราคาต้นทุนของ switch อยู่ที่ 1 - 1.2 usd หรือประมาณ 32-40 บาทต่อปุ่มเลยทีเดียวครับผม (โรงงานสั่งซื้อปริมาณมากอาจจะได้ถูกกว่านี้นิดหน่อยครับ)


          โดยเฉลี่ยแล้ว Keyboard ชุดนึงจะมีปุ่ม 100 ปุ่มขึ้นไป ดังนั้นเฉพาะราคาต้นทุนของ switch ไม่รวมโครงสร้างอื่นๆ นั้นปาไป 3,000 - 4,000 บาทเข้าไปแล้วครับผม


          ซึ่่งเจ้า switch นี้แค่ 2 ปุ่ม เช่น ตัว A กับ ตัว B ก็ซื้อ keyboard แบบ rubber dome ปกติได้ 1 อันแล้วครับผม



          นอกเหนือจากนั้นมันยังมีความทนทานระดับสุดยอดด้วยครับ


          ประมาณว่า

          โดนรถเหยียบก็ไม่เจ๊ง (ต้องไม่ใช่ยี่ห้อ Razer นะครับ)

          หรือแม้แต่โดนรถถังเหยียบก็ไม่เจ๊ง


          ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ มาชมหลักฐานกันครับผม จากทั้งในไทยและต่างประเทศครับ โดยเหยียบตั้งแต่รถเก๋ง รถสปอร์ต รถกระบะ ไปยันรถถัง ครับผม



          http://www.youtube.com/watch?v=nNrHJ9h7IIU

          Comment


          • #6


            http://www.youtube.com/watch?v=EiES9m77kRI

            Comment


            • #7


              http://www.youtube.com/watch?v=wO4pzdyEa9A

              Comment


              • #8
                ซึ่งน่าจะบ่งบอกความทนและคุณภาพของ Mechanical Keyboard ได้เป็นอย่างดีครับผม

                ความทนของมันมาจากคุณภาพของ Switch ที่ผลิตใน Germany และการที่ Switch นั้นถูกยึดกับแผงเหล็กในคีย์บอดก่อนที่จะเชื่อม(บัดกรี) ลง PCB อีกทีครับ นอกจากความทนแล้วมันยังช่วยให้คีย์บอร์ดมีความมั่นคงสูงมากเวลาพิมพ์และใช้งานครับผม และเป็นเหตุผลที่ Mechanical Keyboard ส่วนมากนั้นมีน้ำหนักค่อนข้างเยอะครับ ส่วนมากจะราวๆ 1.5 กิโลกรัมขึ้นไปสำหรับ Full size keyboard ครับผม หนักกว่าแบบ rubber dome เยอะครับ


                และงานประกอบและคุณภาพของ Mechanical นั้นจะดีกว่า rubber dome มากๆ ครับ แม้จะเป็น rubber dome แพงๆ ก็ไม่อาจจะมาสู้ Mechanical Keyboard ถูกๆ ได้ครับผม



                ที่เป็นเช่นนี้เพราะ มันเกิดมาในยุคที่ computer เป็นของแรร์ ราคาแพง และคุณภาพคือเรื่องที่ต้องมาก่อนราคาครับ เน้นคุณภาพเป็นหลักครับ การมาของ rubber dome นั้น ด้วยราคาของมัน และความที่มันคนยุคหลังๆ ส่วนมากไม่เคยได้สัมผัสกับเจ้า Mechanical มาก่อนทุกคนเลยคิดว่า Rubber Dome นั้นดีแล้ว ทำให้ Mechanical Keyboard นี้ค่อยๆ หายไปจากท้องตลาดครับ เหลือกลายเป็นตลาดเล็กๆ เฉพาะกลุ่ม ออกแนว niche market ของโลก computer ครับ ขายให้คนที่ยังหลงไหลและเข้าใจในความเทพของมันครับ

                จนเมื่อช่วง 5-6 ปีก่อน ผู้ผลิต Gaming Keyboard อย่าง SteelSeries เอา Machanical Switch กลับมาใส่ใน Keyboard รุ่นท็อปๆ ของบริษัท ด้วยเหตุผลด้านความทนทานและประสิทธิภาพอันสุดยอดของมันน ทำให้คนได้รู้จัก Mechanical ขึ้นเยอะมากครับผม


                และ Switch สำหรับ Mechanical keyboard ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้น switch ชั้ยยอดจากเยอรมันนี อย่าง Cherry MX switch นั้นเองครับผม


                Cherry MX switch นี้ made in Germany ทุกชิ้นนะครับ เท่านั้นยังไม่พอ หน้าสัมผัสของมันเป็นแบบ gold-plated (ชุบทอง) contact ด้วยครับ เหมาะกับประเทศที่มีภูมิอากาสชื้นๆ แบบประเทศเรานักแล ครับผม (จะได้ไม่ขึ้นคราบที่มีจากความชื้นครับผม)


                โดยเจ้า Cherry MX นั้นยังแบ่งย่อยออกเป็นอีกหลายแบบ หลายประเภทอีกด้วยครับ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน และรสนิยม/ความชอบ ของผู้ใช้อีกด้วยครับผม โดยแบ่งเป็นสีต่างๆ ดังนี้ครับผม


                1. Cherry MX Black

                2. Cherry MX Blue

                3. Cherry MX Brown

                4. Cherry MX Red

                5. Cherry MX Clear

                6. Cherry MX Green


                ประมาณนี้ครับผม โดยที่มันต้องแบ่งออกเป็นหลายประเภทนั้น เพราะ Mechanical Switch นั้นไม่ได้ทำงานโง่ๆ แบบ Rubber dome keyboard ที่ใช้กันทั่วไปครับ


                อย่างที่ได้อธิบายเกี่ยวกับ rubber dome keyboard ไปแล้วในความเห็นด้านบนก่อนหน้านี้นั้น คือสำหรับ rubber dome ทุกอย่างเรียบง่ายไปหมดคือทำงานด้วยการกดปุ่มลงจนสุดเพื่อไปทำให้วงจรไฟฟ้าครบวงจร ดังนั้นการกดปุ่มของ rubber dome keyboard จึงมีได้แบบเดียวครับ


                แต่กับ Mechanical Switch นั้นต่างออกไปครับ ด้วยความที่เป็นปุ่มทางกลไกกายภาพ ทำให้มันสามารถออกแบบได้หลากหลาย เพื่อรองรับการใช้งานต่างๆ ได้ดีกว่ามากๆ ครับ








                ลองดูรูปเคลื่อนไหวด้านบนครับผม

                อันนี้คือ Switch ทั้ง 4 แบบหลักๆ ครับ ถ้าเข้าใจการทำงานของมันทั้งหมดนี้ก็จะเข้าใจรูปแบบของ Cherry MX based switch ทั้งหมดได้ง่ายๆ ครับผม


                จากภาพจะเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องกดปุ่มลงจนสุดเพื่อให้ Keyboard ทำงานส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยัง Computer ว่าเรากดปุ่มแล้ว

                แต่แค่กดลงไปแค่นิดนึง ไปจนถึงจุดที่จะกระตุ้นให้ switch ทำงาน เราเรียกจุดนี้ actuation point หรือจุดที่ Switch ทำงานครับผม โดยเราไม่จำเป็นต้องกดลงไปจนสุดเพื่อให้ switch ทำงานเหมือนใน rubber dome แต่เราแค่กดลงไปถึงจุดนึงประมาณแค่ครึ่งทางของระยะทั้งหมดที่กดได้ของ Keyboard เจ้า switch พวกนี้ก็จะทำงานแล้วครับ เราเรียกจุดที่กระตุ้นให้ switch ทำงานนี้ว่า actuation point ครับ



                ดังนั้นมันจึงสามารถถูกผลิตออกมาได้ในหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองลักษณะการใช้งานและความชอบที่หลากหลายของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดีครับผม



                จากภาพนะครับ จะเห็นว่าแต่ละแบบนั้นออกแบบมาค่อนข้างแตกต่างกันครับ

                แบ่งเป็น 2 ส่วนครับ

                1. มีเสียง / ไม่มีเสียง บอกทางเสียงว่าเราได้กดถึงจุด actuation point แล้ว โดยเป็นเสียง click ครับผม

                2. มีการตอบสนองทางสัมผัสเวลากดจนถึงจุด actuation point ให้รู้ว่าเรากดโดนแล้ว โดยเมื่อเรากดถึงจุดที่่ทำงานแล้วจะมี feedback ตอบสนองว่าถึงแล้วไม่จำเป็นต้องกดต่อจนสุดครับ


                โดยผมจะแบ่งจากเจ้า 4 switch หลักก่อนนะครับ ส่วนพวกที่อื่นๆ จะมาเสริมทีหลังครับผม (โดยจะเป็นการอธิบายคร่าวๆ เน้นให้เข้าใจง่ายเป็นหลักนะครับ)


                ก่อนอื่นต้องบอกความเหมือนของทั้งหมดก่อนน คือ ทั้งหมดทำงานตั้งแต่กดลงไปประมาณครึ่งนึงครับ แตกต่างกันที่ว่าแต่ละแบบลึกแค่ไหนและอื่นๆ ดังนี้ครับ




                1. Cherry MX Black

                เป็นแบบไม่มีการตอบสนองทั้งทางเสียงและทางสัมผัสครับ เป็น linear กดได้ลื่นๆ ยาวๆ ตั้งเริ่มจนถึงสุดขอบล่าง (bottom out) ครับ

                และเป็นแบบที่ต้องใช้แรงกดเยอะประมาณ 60 cN ครับผม




                2. Cherry MX Red

                เหมือน Black ทุกอย่างยกเว้นแรงกดที่ต้องใช้ครับผม แรงต้านของสปริง จะน้อยกว่าครับ คือใช้แรงกดประมาณ 45 cN ครับผม




                3. Cherry MX Blue

                เจ้านี้จะเป็นอีกประเภทแล้วครับ โดยจะมีการตอบสนองทั้งทางเสียง และทางสัมผัสครับ

                เมื่่อกดลงไปถึงจุดที่ switch ทำงานแล้ว จะได้ยินเสียง click และรับรู้ได้ถึงสัมผัสตอบสนองครับผม โดยใช้แรงกดประมาณ 50 cN ครับผม




                4. Cherry MX Brown

                เจ้าตัวนี้เหมือนกับ Blue แต่ไม่มีเสียงครับ ตัดกลไก กำเนิดเสียงตอบสนองออก เหลือเพียงกลไก ที่ตอบสนองตามสัมผัสเมื่อกดถึง Actuation point ครับ

                พูดง่ายๆ มันคือ Blue แบบไร้เสียงนั้นเองครับ





                มาต่อกันที่ switch แบบและสีอื่นๆ ครับ


                5. Cherry MX Clear

                อันนี้คือ Brown version ที่ต้องใช้น้ำหนักมากขึ้นในการกดครับ เพิ่มน้ำหนักเป็น 65 cN


                6. Cherry MX Grey

                เจ้านี้ก็เหมือน Clear ครับแต่จะใช้เป็นปุ่ม Spacebar ใน Keyboard ที่ใช้ Clear ครับ เพิ่มแรงกดที่ต้องใช้เป็น 80 cN ครับ


                7. Cherry MX Green

                เจ้านี่คือ Blue switch version หนักขึ้นครับ เพิ่มแรงกดที่ต้องใช้เป็น 80 cN ครับ ออกแบบมาให้ใช้เป็น spacebar ครับ แต่ด้วยความที่น้ำหนักมันมากขึ้นใกล้เคียง buckling spring ของ IBM model M จึงมีแฟนคลับของ Classic keyboard ที่หลงไหลใน Model M ที่เลิกผลิตไปแล้วชอบแบบนี้ครับผม คือให้สัมผัสและน้ำหนักคล้ายกันแต่แม่นยำกว่ามากและปัญหาน้อยกว่าครับ


                8. Cherry MX White

                เจ้านี่คือ Green เวอร์ชั่นเสียงเบาลงนิดนึงครับผม


                9. Cherry MX Super Black

                เจ้านี่ก็คือ Black switch version หนักมาก ใช้แรงกด 150 cN ครับ ออกแบบมาเป็นปุ่ม spacebar บน keyboard ที่ใช้ black switch ครับผม


                10. Cherry MX Dark Grey

                เจ้านี่คือ Black อีกแบบหนักกว่า Black แต่เบากว่า Super Black ครับ ใช้แรง 80 cN ครับผม ใช้เป็นปุ่ม Spacebar เหมือนกันครับผม



                จะเห็นได้ว่า Mechanical นั้น สามารถสร้างและออกแบบได้อย่างปราณีต เน้น กันไปจนถึงแรงที่ใช้เลยทีเดียวครับ ตามสไตล์สินค้าที่เน้นความแม่นยำของตลาดบนครับผม




                มาว่ากันต่อที่ switch แปลกๆ ในยุคหลังนี้ ครับ เนื่องจากสิทธิบัตรของ Cherry MX นั้นหมดอายุแล้วครับผม จึงมีการทำตัวเลียนแบบออกมาครับผม



                อย่างเช่น



                1. Kailh switch

                เจ้า Kailh switch นั้น พูดง่ายๆ ก็คือตัวโคลนของ Cherry MX นั่นแหละครับผม โดยโรงงานที่ผลิตเป็นโรงงานผลิต switch ที่มีชื่่อเสียงในจีนครับผม

                Specification ในหน้ากระดาษนั้นเรียกได้ว่าเหมือนกันหมดครับ

                Kailh Blue = Cherry MX Blue เป็นต้นครับผม

                ต่างกันที่เจ้าสิ่งนี้ผลิตในจีน


                แต่ Cherry MX ผลิตใน Germany และมีหน้าสัมผัสเคลือบทองคำ ครับ


                ผลการใช้งานจริงจะเหมือนกันจริงไหมรออ่านได้ในรีวิวครับผม ผมซื้อมารีวิวเทียบกับ Cherry Switch ด้วยครับผม




                2. Razer switch

                เจ้า Razer switch นั้นคือ Keyboard ที่ Razer จ้าง Kailh ผลิต และตีตราเป็นของตัวเองนั่นเองครับผม


                โดย Razer โฆษณาว่าของเขาทำมาเพื่อ Gamer โดยเฉพาะ ดัดแปลงให้เหมาะกับเกมมากขึ้น เดี๋ยวเราจะมาดูกันว่าจริงไหมครับผม


                โดย Razer Green switch ก็คือ Kailh Blue ดัดแปลง แรงกด และ จุดทำงาน actuation point เล็กน้อยครับ

                และ Razer Orange switch ก็คือ Kailh Brown นั่นเองครับผม



                นี่คือรูปแบบของ Mechanical Switch แบบต่างๆ ที่เป็นที่นิยมในตลาด ณ วันนี้ครับผม




                โดย

                ปุ่ม Blue นั้นเหมาะกับคนที่ชอบพิมพ์ครับ หรือใช้งานพิมพ์เยอะๆ ใช้งานทั่วไปประจำวัน Blue ให้ความสุขแก่คุณได้มากจริงๆ ครับ

                ปุ่ม Brown เหมาะกับคนที่ชอบแบบ Blue แต่ว่ามีปัญหาว่าต้องการเสียงเงียบลงแลกกับความบันเทิงในการใช้งานที่น้อยลงครับผม


                ปุ่ม Red และ Black นั้นเหมาะกับสายเกมสุดโต่ง แต่ใช้พิมพ์ได้ไม่สนุกเท่ากับ Blue และ Brown ครับ



                ว่ากันว่าปุ่มที่เป็น all round best ก็คือ Blue ครับ จะใช้งานก็เยี่ยม จะเล่นเกมก็ ok ยอด


                ทุกปุ่มดีกว่า rubber dome เยอะมากครับ ไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบกันได้ครับผม



                (แต่สุดท้ายนี้ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของท่านว่าท่านชอบสีไหนมากที่สุดครับ)




                อย่างตัวผมเองสมัยก่อนมี Keyboard ที่เป็น Mechanical มาขายในไทยน้อยมากๆ สมัยนั้นมีแค่ SteelSeries และ Razer เองครับ ที่นำ Keyboard Mechanical มาขายในไทยครับผม


                สำหรับผมนั้นชอบ Blue มากๆ ตั้งแต่สมัยนั้นครับ


                แต่สมัยนั้น Blue ดันอยู่ใน Razer BlackWidow ที่มีปัญหาเสียบ่อย คือ ปุ่มน่ะไม่เสียครับ แต่พวก chip controller และ firmware ของ keyboard ที่เจ๊งบ่อย ตามสไตล์ Razer ครับ คือขายแพงแต่ QC ห่วย ผมเลยถอดใจเพราะสมัยนั้นประกันแย่ด้วย เลยจำใจต้องไปใช้ Black ใน SteelSeries 7G มาจนถึงเมื่อหลายวันก่อนครับ (โดนน้องเอาไปใช้เลยได้โอกาสซื้อใหม่มาลองเลยครับ) โดยผ่านมา 4-5 ปีตลาด Mechanical คึกคักมาก มีดีๆ ออกมาหลายรุ่น หลายยี่ห้อมากๆ เลยได้ใช้ Blue บน Keyboard ดีๆ สมใจครับผม

                Comment


                • #9
                  กลับมาที่รีวิวของเราเลยดีกว่าครับผม หลังจากเพื่อนๆ เข้าใจรูปแบบ Technology ที่ใช้ใน Keyboard แล้ว มาดูกันว่า Keyboard ที่ผมรีวิววันนี้ใช้ Technology อะไรบ้างครับผม




                  A. กลุ่มแรก : Mechanical Keyboard

                  1. Razer BlackWidow Ultimate 2014 (Razer Green Switch)

                  2. CM Storm Trigger Z (Cherry MX Blue Switch)

                  3. TT esport Poseidon Z (Kailh Blue Switch)




                  B. กลุ่มที่สอง : Rubber Dome Keyboard

                  4. Microsoft Wireless Keyboard 2000 เป็น rubber dome คุณภาพดีขึ้น

                  5. Mircosoft Wired Keyboard 800 เป็น rubber dome คุณภาพ OK

                  6. Logitech K120 Keyboard เป็น rubber dome คุณภาพ OK (อันนี้รวมถึง Dell Keyboard ด้วยเพราะ Dell จ้าง Logitech ทำครับและประสิทธิภาพใกล้เคียงกันมากๆ ครับ)

                  7. คีย์บอร์ดบ้านๆ Anitech และอื่นๆ ที่ขายกันตามกระบะในห้าง IT ทั้งหลายหรือร้านคอมต่างๆ ชอบแถมมาตอนซื้อ Computer อันนี้เป็น rubber dome กากๆ ห่วยๆ กว่าพวกด้านบนๆ ครับผม



                  และ 8. ไม่เข้ากลุ่ม Keyboard ของ Notebook ต่าง ทั้ง Windows Notebook และ MacBook ครับผม

                  (พวกนี้ส่วนมากจะใช้ technology อีกแบบคือ scrissor switch keyboard ครับผม แพงกว่า rubber dome นิดนึง แต่ถูกกว่า mechanical มากๆ ครับผม คุณภาพก็ตามนั้นครับ)

                  Comment


                  • #10
                    มารีวิวกันต่อเลยดีกว่าครับผม




                    เริ่มจาก rubber dome keyboard ก่อนแล้วกันครับผม


                    โดยเจ้า rubber dome group นี่ผมจะรีวิวคร่าวๆ รวมๆ ไม่ลงรายละเอียดนะครับผม เพราะมันคล้ายๆ กันไปหมดไม่มีจุดเด่นอะไรครับผม


                    เจ้าพวก rubber dome keyboard นี้มันคล้ายกันไปซะหมดครับผม


                    ผมของแบ่ง rubber dome keyboard ออกเป็น 2 กลุ่มพอนะครับผม


                    1. พวกของคุณภาพห่วยจัด คือ พวกถูกๆ ราคาไม่กี่สิบบาท หรือ ร้อยกว่าบาทที่นิยมแถมมากับชุดคอมราคาถูกหรือเวลาไปซื้อหากันตามหน้าคอมทั้งหลายครับผม

                    พวกนี้สัมผัสและคุณภาพแย่มากๆ คือ อารมณ์ประมาณว่าเปิดได้ กดติดเป็นพอครับ

                    แค่สามารถเอามากดได้ เอามาใช้งานได้เท่านั้นแต่ใช้ได้ไม่ดี ส่วนตัวผมว่าไม่คุ้มค่าอย่างที่สุดครับผม พวกของถูกเกินไปพวกนี้



                    2. พวกคุณภาพดีขึ้นมา อย่าง ยี่ห้อที่ดีๆ ขึ้นมาหน่อยและเป็นที่รู้จักเริ่มต้นราคาไม่แพงมาก 200 - 500 บาท พวก Microsoft Keyboard หรือ Logitech Keyboard รุ่นมีสาย ทั้งหลายครั้บ รวมถึง Dell Keyboard อะไรพวกนั้นด้วยครับผม

                    พวกนี้จ่ายเพิ่มไม่กี่บาท แต่คุณภาพดีกว่าแบบแรกๆ ขึ้นมาหน่อย ในระดับที่สามารถใช้ๆ ไปได้เรื่อยๆ ครับ แต่สัมผัสหรืออะไรพวกนี้ก็ยังจัดว่าแย่อยู่ดีครับ

                    (รุ่นไร้สายรุ่นล่างๆ อย่าง Logitech Wireless Keyboard รุ่นล่างๆ คุณภาพไม่ดีเท่าไหร่นะครับ ดีกว่าพวกแรกแค่นิดหน่อยเท่านั้นครับผม)

                    ถ้าคุณต้องการประหยัดงบจริงๆ พวกนี้คุ้มสุดๆ สำหรับตัวผมว่าอย่างนั้นกรณีงบน้อย หรือ ไม่ต้องการอะไรที่ Perfect ขอแค่ได้ใช้เป็นพอนะครับผม



                    3. พวกคุณภาพดีขึ้นมาอีกนิด อย่างยี่ห้อดีๆ รุ่นแพงขึ้น เช่น Logitech รุ่นดีๆ หน่อย หรือ Microsoft รุ่นดีๆ หน่อย Keyboard 5000 / Keyboard 3000 อะไรพวกนี้ครับผม พวกมีสาย / ไร้สายในระดับราคาๆ ราวๆ 1,900 หรือสูงกว่าพวกนี้คุณภาพดีขึ้นมาพอควรครับผม

                    ใช้งานได้บันเทิงกว่าแบบแรกๆ ครับ แต่ต่างกันไม่มากครับ ต่างกับแบบที่่ 2 แค่ไม่กี่ % ครับผม


                    แต่จะไปเน้นเรื่องคุณภาพวัสดุที่ดีขึ้น พวก wireless หรือลูกเล่นอื่นๆ ครับผม

                    หรืออย่าง rubber dome gaming keyboard พวกนั้นยิ่งไม่คุ้มหนักครับ ประสิทธิภาพพอๆ กับพวก 2. แต่จะไปเพิ่มเรื่อง option อื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ ครับ ไม่คุ้มกับราคาที่จ่ายไปครับ คุณเพิ่มเงินไม่กี่บาท ไป Mechanical จะคุ้มกว่ามากๆ ครับผม หรือไม่อย่างนั้นก็อยู่กับกลุ่ม 2 คุ้มกว่าครับผม


                    สำหรับผม Keyboard แบบ rubber dome กลุ่มที่ 3 นี่ไม่คุ้มค่าที่สุดครับผม






                    และตามมาด้วยกลุ่มพิเศษพวก Keyboard Notebook แบบ Scrissor switch นะครับ


                    พวกนี้มันติดมากับ Notebook ก็จำต้องใช้กันไปตามบุญตามกรรม คุณภาพมีทั้งแย่กว่าแบบ rubber dome กลุ่มแรก ไปจนดีเทียบเท่าหรือดีกว่า rubber dome กลุ่มที่ 3 ครับผม แล้วแต่รุ่น แล้วแต่ยี่ห้อครับ ที่ผมประทับใจก็มี Keyboard ของ Thinkpad Original และ MacBook ครับ ลองไปดูในกระทู้รีวิว MacBook Air vs อื่นๆ ของผมได้ครับผม

                    Comment


                    • #11
                      และมาที่รีวิวหลักของวันนี้กันเลยครับผม ว่าด้วย Mechanical Keyboard ทั้งหลายครับผม



                      โดยจะแยกเป็นเรื่องคุณภาพและ function รวมๆ กับเรื่องของ switch นะครับผม เพราะรอบนี้มีการเทียบ switch ข้าม ทั้ง 3 (2) ค่ายเลยทีเดียวครับผม




                      1. Razer BlackWidow Ultimate 2014



                      คีย์บอร์ดราคา 5,000 กว่าบาท จาก Razer ตัวนี้ ใช้ Green switch ของ Razer เองที่จ้างให้ Kailh ทำให้ครับผม



                      โดยรวมๆ ถือว่ามันมีการประกอบ(ภายนอก)และคุณภาพวัสดุที่ดีครับผม

                      ผมชอบมากกว่า Razer BlackWidow Ultimate 2012 ที่เคยใช้ตรงที่มันเป็นผิวสัมผัสแบบ rubberize หรือเคลือบยางครับ เป็นวัสดุด้านๆ ให้สัมผัสกึ่งแข็งกึ่งนิ่ม เรียกได้ว่าให้สัมผัสที่ดีมากๆ เลยทีเดียวครับผม



                      นอกจากนี้มันยังสามารถตั้ง Macro ได้แม้โปรแกรมของมันจะเอ๋อๆ ไปหน่อยก็ตามทีครับผม



                      คุณภาพงานภายนอกรวมๆ ถือว่าดีครับผม



                      เจ้าตัวนี้พิเศษตรงที่ว่าเวลาเสียบสายเข้ากับเครื่องมันมี Program ของมันติดมากับตัวมันเวลาเสียบ USB จะโผล่ขึ้นมาเหมือน Flash Drive เลยทีเดียวครับผม ไม่จำเป็นต้องโหลดหรือลงจาก CD ครับผม



                      สายของเจ้าตัวนี้เป็นสายถักครับผม แน่นหนาดูแข็งแรงดีมากๆ ครับผม



                      เป็น Keyboard แบบมี back light (ไฟส่องสว่าง) สีเขียวครับผม โดยปรับได้หลายระดับมากๆ ครับ หรือจะปิดไปเลยก็ได้เช่นกันครับผม แต่ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้ติดปุ่มไหนบ้างครับ





                      นอกจากนี้มันยังมี Function สำคัญสำหรับคอเกม คือ Key Rollover ครับผม

                      Function นี้สำคัญสำหรับ Keyboard แบบ USB มากๆ ครับผม


                      คือ Keyboard USB บ้านๆ ส่วนมากนั้นจะไม่สามารถกดได้พร้อมกันได้หลายปุ่มครับผม ปกติได้ไม่กี่ปุ่ม ปุ่มต่อไปก็กดติดบ้างไม่ติดบ้าง (แล้วแต่ปุ่ม) แล้วครับผม

                      นอกจากนั้นการกดปุ่มบางปุ่มต่อกันจะกดไม่ได้ครับผม เช่น

                      กด S D F ค้างไว้แล้วจะกด G ต่อไม่ติด เป็นต้นครับผม หรืออื่นๆ อีกมากมาย คือไม่สามารถกดได้อิสระโดยสมบูรณ์ประมาณนั้นครับผม

                      สำหรับ Key Rollover function นั้นทำให้คุณกดได้พร้อมกันมากกว่าเดิมครับ แล้วแต่จะ specific มาได้แค่ไหนครับผม

                      เช่นเจ้า BlackWidow นี้กดได้ 10 ปุ่มพร้อมกันโดยสมบูรณ์ไม่เลือกแถว ไม่เลือกปุ่มครับผม



                      การที่จะทำได้แบบนี้ Keyboard จะต้องถูกออกแบบมาโดยมีแผงวงจรในคีย์บอร์ดแบบพิเศษเพื่อที่จะสามารถทำแบบนี้ได้ผ่าน USB ครับ


                      บางรุ่นจะหรูกว่าเดิมตรงมี Processor ความเร็วสูง(สำหรับ Keyboard) ภายในเพื่อประมวลผลด้วยความเร็วสูง ก่อนส่งให้ Computer เลยทีเดียวครับผม ไม่ใช่ IC ควบคุมแบบบ้านๆ ครับ พวกนี้สามารถ up firmware เพื่อเพิ่มความสามารถอื่นๆ ได้อีกมากมายด้วยครับผม (ไม่ใช่ BlackWidow ครับ)



                      สัมผัสของปุ่ม Razer Green Switch นั้นต้องบอกว่าคล้ายกับ Cherry Blue Switch มากๆ ครับผม แทบจะไม่แตกต่างกันเลยครับ เรื่องแรงกดหรืออะไรก็พอๆ กัน ต่างที่จุด actuation point เล็กน้อยเท่านั้นเองครับผม แทบจะเหมือนกันเลยครับ เรียกได้ว่าใช้แทนกันได้ชิลๆ ครับผม



                      แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบเกี่ยวกับ BlackWidow คือ

                      1. ไฟสีเขียวของมัน

                      2. มันไม่มีที่รองข้อมือครับ ถ้าใครใช้ Keyboard ที่มีที่รองข้อมือมาจนชินแล้วมาไม่ใช้นี่จะอึดอัดแน่นอนครับ พิมพ์นานๆ ความสบายมันลดลงไปเยอะครับผม โดยเฉพาะ Mechanical Keyboard ที่ทั้งปุ่มและตัว Keyboard จะค้อนข้างสูงครับผม

                      3. อันนี้เป็นจุดแตกหักของผมกับ BlackWidow สิ่งนี้คือ การออกแบบปุ่มที่ต่างกับชาวบ้าน ผมพิมพ์บน BlackWidow ได้ไม่แม่นเท่ารุ่น/ยี่ห้ออื่นๆ ครับผม

                      4. ชื่อเสียของมันและ QC ของ Razer ครับผม ว่ากันว่า Razer นั้นมัน hit or miss ครับ คือถ้าได้ตัวไม่ดีมันก็จะพังจะรวนไวมากๆ แต่ถ้าได้ตัวดีๆ หลายปีก็ไม่มีปัญหาครับ

                      5. Software ควบคุมของมันที่ค่อนข้างเอ๋อ ครับ

                      Comment


                      • #12
                        2. TT esport Poseidon Z Illuminated


                        เจ้าคีย์บอร์ดจาก Thermal Take รุ่น Poseidon Z นี้ใช้ Blue switch ของ Kailh ครับ



                        โดยงานประกอบของมันนั้นแน่นหนาดีมากๆ ครับ งานประกอบและคุณภาพรวมๆ ของมันนั้นเกินกว่าที่คิดว่าจะได้มาในราคาแค่ 2,590 บาทครับผม

                        ผมชอบงานของมันมากกว่าของ SteelSeries อีกครับผม



                        สายของมันเป็นสายอ่อนแบบทั่วไป (เป็นสายแบบคีย์บอร์ดบ้านๆ ทั่วไป) ไม่ใช่สายถัก และ ถอดออก ไม่ได้ครับผม


                        มีไฟส่องสว่างเป็นไฟสีฟ้า ปรับได้ 4 ระดับ หรือเลือกปิดไปเลยครับผม ไม่สามารถเลือกให้ติดเป็นบางปุ่มได้ครับ ติดหมดพร้อมกันทั้งแผงครับผม



                        และเจ้าตัวนี้ Key rollover ได้ 6 ปุ่มพร้อมกัน โดยสมบูรณ์ครับ ไม่เลือกแถว ไม่เลือกอะไรเลยครับ



                        เมืองนอกประกันจากโรงงาน 5 ปี ครับสำหรับเจ้านี่ แต่ในไทยผู้นำเข้าประกันให้ 2 ปี ครับ แต่โอกาสเสียมันยากอยู่แล้วครับสำหรับคีย์บอร์ดพวกนี้ (ยกเว้น Razer ไว้ 1 ยี่ห้อ)





                        สัมผัสของปุ่มฟ้าของ Kailh นั้นใกล้เคียง Original Blue มากๆ ครับ ต่างแค่เสี้ยวเดียวตรง spring มันจะมีแรงต้านน้อยกว่านิดนึงเท่านั้นครับ รู้สึกได้เฉพาะเวลาเอามาวางใช้คูู่กันครับ ถ้าใช้ทีละตัวแล้วปิดตา Blind test นั้นรับรองแยกไม่ออกครับผม


                        โดยเฉพาะถ้าพิมพ์แบบถูกต้องสำหรับ Mechanical Keyboard คือ ไม่ Botom Out หรือไม่กดสุดจน Keycaps กระแทกกับพื้นเหล็กของ Keyboard นั้น เสียงเหมือนกันด้วยซ้ำครับผม ต่างแค่เสียง bottom out เล็กน้อยเท่านั้นครับ

                        ส่วนตัวผมว่ามันคือ 1:1 Copy จริงๆ ครับ เหมือนกันจนแยกไม่ออก ยกเว้นจะมาวางคู่กันแล้วพิมพ์พร้อมกัน ก็จะทราบว่าต่างที่แรงต้านนิดนึงและ Cherry MX จะเฟิร์มกว่าคือก้านโยกน้อยกว่าเป็นต้นครับผม

                        ถือว่าดีเหลือเฟือครับ ใช้ได้ดีไม่แพ้ Cherry จริงๆ ครับ และผมขอบ Feeling ในการพิมพ์บน Kailh มากๆ ครับ ด้วยความที่ Spring มันนิ่มกว่าหน่อยนึง แต่ถ้ายังไม่ชินกับ Mechanical keyboard จะ bottom out บ่อยกว่า Orignal Cherry หรือ Razer Green ครับผม


                        เป็นอย่างที่เมืองนอกว่ากันจริงๆ ครับ สำหรับ Kailh switch คือเรื่องการใช้งานนั้นทำได้ดีไม่ต่างกับ Cherry MX จริงๆ ครับ จะไปต่างกันก็คงเรื่องความทนสุดขั้วของ Cherry MX เท่านั้นครับ และความ Perfect เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นแยกไม่ออกด้วยซ้ำครับ


                        และเหล่า Anti Kailh นี่ Anti เกินไปมากจริงๆ ครับผม มันไม่ได้แย่อย่างที่พูดกันเลยครับผม (อันนี้ไม่ได้หมายถึงในไทยนะครับ หมายถึงใน Forums ต่างประเทศ) หลายคนที่พููด ที่บ่น ไม่เคยใช้ แค่คิดไปเองว่ามันไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้ ทั้งที่จริงๆ มันเหมือนกันมากๆ ครับ ถ้าปิดตา Blind test อย่าหวังแยกออกครับผม




                        ข้อเสียของ TT esport Poseidon Z ที่ผมพบคือ


                        1. ไม่มีที่รองมือ แค่นั้นจริงๆ ครับ โดยรวมชอบมากๆ ครับผม

                        Comment


                        • #13
                          3. CM Storm Trigger Z


                          Machanical Keyboard จาก Cooler Master รุ่น Trigger Z กับราคาไม่ถูกไม่แพง (4,500 บาท) ตัวนี้ ใช้ Switch จาก Cherry MX เยอรมันนีแท้ๆ ครับ

                          โดยเป็น Cherry Blue switch ครับผม



                          งานประกอบของมันเห็นในรูปอาจจะดูเฉยๆ แต่ตัวจริงๆ สวยกว่าในภาพตามเว็บต่างๆ มากครับผม แม้จะไม่ใช่แบบที่ผมชอบที่สุดคือแบบเรียบๆ เดิมๆ แต่ตัวจริงถือว่า OK ครับผม ใช้ได้เลยครับ ดูเรียบร้อย ขรึมๆ ดีครับ ดูไม่เด็กเหมือน gaming keyboard บางยี่ห้อครับผม

                          วัสดุของมันเป็น rubberize ทั้งตัว คือมียางเคลือบมาทั้งตัวให้สัมผัสที่ดีมากๆ ครับผม เวลาจับเวลาเอามาพิมพ์ โดยรวมๆ ให้ความรู้สึกดีมากๆ เลยทีเดียวครับผม

                          งานประกอบของมันก็ดีมากครับผม ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ แน่นและแข็งแรงไปหมดครับผม



                          ตอนแรกผมว่าจะซื้อมาใช้ระหว่างสั่ง Ducky ตัวบนๆ รุ่นใหม่ๆ มาใช้ปรากฏว่าใช้ไป ใช้มาติดใจกับคุณภาพโดยรวมๆ ของมันครับผม



                          เจ้าตัวนี้มาพร้อมกับ Back light สีฟ้า สามารถปิดได้ หรือปรับได้หลายระดับมากๆ ครับ รวมถึงยังสามารถเลือกรูปแบบของ Back light ได้ด้วยว่าจะให้เป็นแบบไหน หรือติดเฉพาะบางปุ่มครับผม




                          เจ้าตัวนี้มาพร้อมกับที่รองมือที่เป็นแบบเคลือบยาง ถอดออกได้ง่ายๆ และใส่ง่ายๆ ให้สัมผัสเวลาวางดีกว่า 7G อีกครับผม และที่วางมือของมันเหมือนกับ 7G อย่างนึง คือ มันคือที่พักข้อมือจริงๆ ไม่ใช่แค่ที่พักฝ่ามือครับผม ที่พักข้อมือสำหรับคีย์บอร์ดได้ช่วยได้มากๆ ในทางด้านความสบายในการใช้งานและสุขภาพมือครับ มันทำให้คุณใช้ติดกันนานๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะปวดมือหรือไม่สบายมือเลยครับ มีผลมากๆ ถ้าใช้ Keyboard เยอะๆ ครับ อย่างผมเองขาดไม่ได้เลยทีเดียวครับผม

                          นอกจากนั้นเจ้านี่ยังพิเศษตรงที่ว่าจะถอดที่รองมือออก หรือจะใส่คาไว้ก็สวยทั้งสองแบบครับผม ออกแบบมาค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับ รูปร่างมันดูในภาพโฆษณา หรือ รีวิว อาจจะดูไม่ค่อยสวยเพราะไม่ได้เห็นผิวยางจริงๆ ของมัน ถ้าเห็นหรือสัมผัสของจริง น่าจะค่อนข้างชอบเลยครับมันดูแข็งแรง และสวยแบบ rugged ดีครับผม เหมือนพวกอุปกรณ์ทางการเดินป่าพวก GPS เดินป่าที่ผิวเป็นยาง หรือมิเตอร์ทางวิศวะกรรมที่ผิวเป็นอย่างรูปร่างหนาๆ อารมณ์นั้นครับผม



                          และนอกจากนั้นแล้วเจ้า CM Storm Trigger Z ยังมาพร้อมกับ


                          64 Key Rollover สมบูรณ์แบบครับ กดได้พร้อมกันสมบูรณ์แบบ 64 ปุ่มครับผม


                          Full Programable Keys คือทุกปุ่มสามารถตั้งได้หมดว่าจะให้ทำงานเป็นปุ่มอะไรครับผม ไม่ได้ตั้งแค่จาก Windows level หรือ Driver level ที่ไป re-mapping บน Windows เหมือน Keyboard ทั่วไปนะครับผม แต่เจ้านี้มันตั้งค่าเข้าไปในแผงวงจรควบคุมทางกายภาพเลยครับ หมายความว่าไม่ว่าคุณจะถอดไปใช้กับเครื่องไหน ก็จะได้ปุ่มแบบที่คุณโปรแกรมไว้โดยไม่ต้องลงโปรแกรมอะไรเลยครับ เพราะมัน re-mapping ให้จากภายใน Keyboard เลยครับ ไม่ใช่มารีแมปบน OS ครับผม

                          และจากข้อดีนี้คือมันสามารถ re-mapping ให้เหมาะกับ MAC OSX ได้ด้วยครับ เหมาะกับคนที่ใช้ทั้ง Windows และ OSX อย่างผมครับ อย่างเวลาผมเอาไปเสียบกับเครื่อง Mac แล้ว re-mapping ไปเสร็จสรรพเนี่ยจะสะดวกมากๆ ครับผม

                          นอกจากนั้นคุณยังเซฟ Profile แยกไว้ได้ด้วย 5 อันโดยสามารถไปเลือกบนคีย์บอร์ดได้เลยไม่ต้องใช้ Program ช่วยครับผม


                          Hardware Level Macro (5 Layers เหนือกว่า Razer มากๆ ครับ) ตั้งได้ถึง 75 Macro โดย Macro ทางกายภาพนี้ดีกว่าแบบใช้ Program ใน Windows มากๆ เพราะว่ามันเหมือนเรากดเองแท้ๆ ไม่ได้มี Program ไปทำจำลอง ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหากับเกมใดๆ ที่อาจจะ conflict หรือห้าม พวกในระดับ software level ทั่วไปครับ ทำให้แบบนี้เหนือกว่ามากๆ ครับ


                          ทั้งหมดนี้มันทำได้เพราะมันมีแผงควบคุมพิเศษของมันเองในคีย์บอร์ด มี CPU ของมันเองเป็น 32bit ARM Processor ที่มีความเร็วสูงกว่าคีย์บอร์ดดีๆ ทั่วไปครับ และสูงกว่าคีย์บอร์ดบ้านๆ มหาศาลมากๆ ครับผม เรียกได้ว่าเป็น Keyboard ที่แรงมากๆ เลยทีเดียวครับผม



                          มาต่อกันที่การออกแบบทางกายภาพต่อครับ เจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้มากับสายแบบถอดได้ครับ เป็น Full size USB แบบเคลือบทองครับผม (เมืองนอกอาจจะไม่ค่อยมีผล แต่ในไทยที่ความชื้้นสูงๆ โอกาสเกิดคราบจะน้อยลงมากๆ ทำให้เต็มประสิทธิภาพยาวไปครับ) มาพร้อมกับสาย USB แบบ male to male เคลือบทองทั้งสองด้าน แบบสายถักสวยงามแข็งแรงดีครับผม และสะดวกมากๆ ครับกับสายถอดได้แบบนี้ ดูแลรักษาและเคลื่อนย้ายง่ายกว่าเยอะครับผม


                          รวมทั้ง software ควบคุมของมันก็ทำงานได้อย่างดีเยี่ยมไม่เหมือนของ Razer ครับผม (จริงๆ Razer น่าจะลดงบโฆษณษลงไปลงกับด้าน Software บ้างนะครับ ห่วยมานาน ห่วยอย่างต่อเนื่องสำหรับ software ของเขาครับ)


                          นอกจากนี้ในบอร์ดต่างประเทศมันได้รับความนิยมเยอะทีเดียวครับ คนแนะนำกันเยอะทีเดียวครับผม กับเจ้าตัวนี้ครับผม ส่วนตัวกับการใช้งานเจ้านี่ถือว่าประทับใจทีเดียวครับผม




                          ส่วน Feeling ของ Blue Switch บน CM Storm Trigger Z นั้นถือว่าดีเยี่ยมตามมารตฐานของ Cherry ครับผม ผ่านครับ



                          นอกจากนั้น CM Storm Trigger ยังโดนรถทับมาแล้วไม่พังน่าจะการันตีได้ระดับนึงถึงคุณภาพงานประกอบของมันเลยทีเดียวครับผม




                          สิ่งที่ไม่ชอบเกี่ยวกับ CM Storm Trigger Z ตอนนี้ผมยังหาไม่เจอครับ เดี๋ยวหาเจอแล้วแวะมาบอกอีกครั้งครับผม



                          โดยรวมแล้วถือว่าประทับใจมากกับราคาแค่ 4,500 บาทของมันแต่ให้อะไรมาเยอะทีเดียวครับผม ไม่แปลกใจเลยที่เมืองนอกนิยมกันมากๆ อีกยี่ห้อนึงครับผม โดยเฉพาะในอังกฤษ (ocn board) ครับผม



                          *** CM Storm Trigger Z มีแถมอุปกรณ์ถอด Keycaps มาให้ด้วยนะครับ สำหรับท่านที่เป็นคนรักสะอาดตัว Keycaps สามารถถอดออกไปล้างน้ำหรือน้ำยาต่างๆ ได้โดยง่ายครับผม จะได้มั่นใจว่าสะอาดชัวร์ๆ ครับผม******









                          ****EDIT เพิ่มเติมครั้งที่ 1 นะครับผม*************
                          ****EDIT เพิ่มเติมครั้งที่ 1 นะครับผม*************
                          ****EDIT เพิ่มเติมครั้งที่ 1 นะครับผม*************
                          ****EDIT เพิ่มเติมครั้งที่ 1 นะครับผม*************
                          ****EDIT เพิ่มเติมครั้งที่ 1 นะครับผม*************


                          4. Ducky Zero

                          เจ้าตัวนี้ด้วยราคา 2,590 บาทเท่ากับ TT Poseidon Z หลายท่านอาจจะสงสัยว่าตัวไหนน่าจัดกว่ากันนะครับผม





                          สำหรับ Ducky Zero นั้นมีระบบ N-Key rollover ไม่ต่างกับ TT Poseidon Zครับผม


                          สำหรับความต่างกันของ TT Poseidon Z กับ Ducky Zero นั้นจะมีดังนี้ครับผม

                          1. TT Poseidon Z เป็น Keyboard แบบ back light หรือเรียกง่ายๆ ว่าตัวอักษรมีไฟนั่นเองครับผม

                          2. TT Poseidon Z เป็น Kailh switch แต่ Ducky Zero เป็น Cherry MX switch ครับผม

                          3. TT Poseidon Z ประกัน 2 ปี Ducky Zero ประกันแค่ 1 ปี ครับผม ทั้งคู่นำเข้าโดย IT Works เป็นประกันเจ้าเดียวกันต่างกันแค่ระยะเวลาครับผม

                          ง่ายๆ เพียงเท่านี้สำหรับข้อแตกต่างทาง spec ครับผม


                          มาลองดูความแตกต่างในการใช้งานจริงบ้างว่าตัวไหนเป็นอย่างไรบ้างครับ


                          เริ่มด้วยเริ่องงานประกอบกันก่อน

                          ผมชอบงานและ package ของ TT Poseidon Z มากกว่าครับ พูดง่ายๆ คือ TT Poseidon Z จับแล้วดูแน่นหนามีราคากว่ามากครับ แม้กระทั่งตอนปิดไฟไว้ TT Poseidon Z ก็ยังสวยกว่ามากๆ ครับ และสัมผัสวัสดุรวมถึงงานประกอบต่างๆ ภายนอกดีกว่ามากๆ ครับผม



                          Keycaps (ปุ่มที่ครอบไปบน Switch อีกที) ของ Ducky Zero ดีกว่า Poseidon Z ครับผม


                          สายเป็นสายแบบบ้านๆ โง่ๆ ด้วยกันทั้งสองครับ แต่ก็แน่นหนาแข็งแรงดีครับผม



                          ว่ากันที่ภายในต่อครับ

                          ตัว Switch แน่นอน Switch ใน Poseidon Z ดีกว่าแน่นอน

                          แต่เวลากดจริงกลับไม่ค่อยต่างกันครับ เรียกได้ว่าใช้แทนกันได้สบายๆ ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเท่าไหร่เลยครับ

                          แต่ระยะยาวๆ แน่นอนว่า Cherry MX ใน Ducky ได้เปรียบแน่ๆ ครับ เนื่องจากสร้างมาแข็งแรงกว่า Stem ใหญ่กว่า ทนกว่า และที่สำคัญเป็น Gold-platted connecter ครับผม คือหน้าสัมผัสเคลือบทองที่ไม่เกิดคราบ แน่นอนว่าในสภาพเมืองร้อนๆ ชื้นๆ อย่างประเทศเรานี่ ระยะเกิน 4-5 ปี Cherry MX น่าจะเริ่มได้เปรียบแล้วครับผม

                          น่าจะต่างกันแค่นี้ครับผม


                          ----


                          นอกจากนั้นเรื่องสัมผัสการพิมพ์ ส่วนตัวผมให้ Ducky ดีกว่านิดหน่อยด้วย keycaps ที่หนากว่านิดหน่อยของมันและ switch cherry แท้ๆ ครับ



                          สำหรับ 2 ตัวนี้เลือกไม่ยากครับ


                          กะใช้เป็นไป 10 ปี ไม่ชอบไฟ ก็ Ducky เลยครับผม

                          กะใช้สัก 5 ปี พอ ชอบมีไฟ ก็ Poseidon Z ครับผม


                          เน้นสัมผัสการพิมพ์เป็นหลัก Ducky เลยครับดีกว่ากันจึ๋งนึงครับ

                          เน้นสัมผัสงานประกอบความสวยงาม จับแล้วดูรู้ว่ามันเป็น Keyboard แพงๆ ก็ Poseidon ครับ

                          เพราะ Ducky Zero นี่วางไว้เฉยๆ คนไม่รู้นึกว่าทำไมใช้ Keyboard โบราณตัวละ 70 บาทครับผม ประมาณนั้นครับผม จริงๆ Plastic อะไรเขาดีกว่าพวกบ้านๆ มากนะครับผม แค่รูปทรงและรูปแบบการ Screen Key ที่ทำให้ดูเป็นแบบนั้นครับผม



                          ประมาณนี้เลยครับผมสำหรับ Ducky Zero vs TT Poseidon Z ครับผม















                          5. Mechanical Keyboard ที่ผมว่าเหมาะกับ Mac ที่สุดเท่าที่หาได้ในไทย โดยไม่ต้องสั่งเข้ามาเองครับผม


                          เจ้านี่ก็คือ CM Storm MECH ครับผม





                          CM Storm Mech นั้นเป็น Mechanical Keyboard ที่มี body เป็น aluminium แบบเดียว สีเดียวกับ Mac ครับผม รวมทั้งสัมผัสและพื้นผิวของมันก็เหมือนกันด้วยครับผม

                          เท่านั้นยังไม่พอ มันยังมากับ Backlight สีขาว แบบเดียว โทนเดียวกับที่อยู่ใน Keyboard ของ MacBook ครับ สวยงามเข้ากั๊น เข้ากัน ครับผม

                          และด้วยความที่หลักๆ แล้วมันเหมือนกับ CM Trigger Z ทุกอย่างครับผม เรื่องการ customize ปุ่ม จาก Hardware แท้ๆ จึงเหมาะกับ Mac ยิ่งขึ้นไปอีกครับ


                          ยังไม่พอเจ้านี่มาพร้อม HUB USB 3.0 ในตัวอีกด้วยครับ และยังมี sound card หรือการ์ดเสียงในตัวอีกด้วยครับ เน้นนะครับว่าไม่ใช่ช่องที่ pass ผ่านมาจาก mainboard เฉยๆ เป็นการ์ดเสียงแท้ๆ เลยครับ เป็น USB sound card แยกแท้ๆ ให้อีกด้วยครับผม


                          ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ อ่านของ CM Storm Trigger Z ได้เลยครับ มันเหมือน Trigger Z รุ่น upgrade นั่งเองครับผม


                          วัสดุและงานประกอบของมันเยี่ยมมากถึงมากที่สุดครับผม เหมาะกับท่านที่ใช้ Mac แล้วอยากได้ Mechanical ที่อยู่บนโต๊ะแล้วดูไม่ขัดตา หรือท่านที่อยากได้ Mechanical Keyboard สวยๆ ครับผม





                          วันนี้ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ก่อนครับผม พรุ่งนี้ถ้าไม่ผิดพลาดอะไร จะมารีวิวเพิ่มให้อีกครับผม ถ้าผมไม่โดนภรรยาสุดที่รักฆ่าตายไปเสียก่อนนะครับผม





                          http://www.youtube.com/watch?v=28JLz0Fxxto

                          ลองดูวีดีโอที่ผมถ่ายคู่กับ MacBook ของผมมาครับ จะเห็นว่ามันเข้ากั๊น เข้ากันครับผม ของจริงๆ สวยกว่านี้มากๆ ครับผม สวยมากจริงๆ ครับ
                          Last edited by Prime Time; 3 Sep 2014, 21:09:23.

                          Comment


                          • #14
                            เอาล่ะครับ เรามาสรุปกันดีกว่าว่าสรุปแล้ว เจ้า Keyboard ทั้งหลาย แบบไหนคุ้ม แบบไหนไม่คุ้ม ลองมาชมกันครับ

                            ***ความเห็นส่วนบุคคลนะครับ อาจไม่ถูกที่สุดแต่สำหรับผม ถ้าผมแนะนำเพื่อนฝูงที่สนิทกันหรือญาติพี่น้องผมจะแนะนำแบบนี้ครับ***



                            1. ถ้าคุณงบน้อยมากๆ หรือจ่ายไม่ไหว ผมแนะนำ Keyboard แบบ rubber dome ประเภทมีสายของ Microsoft หรือ Logitech หรือ Dell ที่จ้าง Logitech ทำจะคุ้มที่สุดครับผม

                            ราคาแพงกว่าพวกในกระบะตามห้าง IT ไม่กี่บาท แต่คุณภาพดีกว่าพอควรเลยทีเดียวครับ จ่ายแค่ 200-300 ได้คุณภาพระดับเดียว/แทบจะเท่ากันกับ rubber dome ด้วยกันที่ราคาแพงกว่าครับผม คุณภาพไม่แพ้พวก Gaming Keyboard ที่เป็น rubber dome เหมือนกันในราคาระดับ 2,000 แน่นอนครับผม



                            2. ถ้าคุณต้องการ Keyboard Wireless ผมแนะนำ Keyboard ของ Microsoft / Logitech ที่ราคาสูงขึ้นมานิดนึงพวก 1,900 บาทขึ้นไปจะดีกว่าครับ ไม่แนะนำแบบถูกๆ เพราะจะเสียดายเงินกว่าเดิมครับผม



                            3. ถ้าคุณต้องการ Keyboard ที่ Perfect ให้สัมผัสและประสบการณ์ที่เยี่ยมในการใช้งาน ผมแนะนำ Mechanical Keyboard เท่านั้นครับ รับรองว่าจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะแน่นอนครับ สัมผัสกับประสบการณ์คุณภาพที่คุณจะได้ ต่างกับพวก rubber dome มหาศาลครับผม ไม่ต้องแพงมากก็ได้ครับแค่ 2,500 ก็ได้ดีๆ แล้ว (Ducky Zero ถ้าชอบแบบไม่มีไฟ, ถ้าชอบแบบมีไฟก็ TT esport Poseidon Z ครับ)


                            3.1 ถ้าคุณอยู่กับคอมเยอะ อยู่กับคอมนานๆ ใช้ Keyboard เยอะๆ แนะนำแบบมีแผ่นรองข้อมือแล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปครับ มันจะทำให้คุณทำงานโดยล้าน้อยลงมากๆ ครับ ยังไงก็คุ้มครับ

                            3.2 แบบถูกๆ กับแพงๆ ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่สำหรับ Mechanical Keyboard ในยี่ห้อที่ดีมีมารตฐานครับผม

                            3.3 ความต่างของ Mechanical Keyboard ที่คนรู้สึกว่าต่างเวลาพิมพ์ คือ รูปแบบ Keycaps และวัสดุที่ใช้ทำครับ ซื้อแบบเทพๆ มาเปลี่ยนได้ถ้าเน้นเรื่องนี้ครับผม



                            4. ส่วนตัวผมไม่แนะนำ Rubber Dome แพงๆ เพราะโครตเสียดายเงินเลยครับผม ถ้าอยากจ่ายในระดับ 1,xxx - 2,xxx ขึ้นไป ผมแนะนำ Mechanical มากกว่าเพราะมันแตกต่างกับ rubber dome มากครับผม



                            5. คุ้มไหม ส่วนตัวผมว่าคุ้มนะครับ เพราะเงินจำนวนนี้ปกติเรากินข้าวบางมือที่พิเศษหน่อย ไม่กี่นาทีก็เกินแล้ว แต่คีย์บอร์ดมันทนมากๆ อยู่ได้ตั้งนานยังไงก็คุ้มครับผม ยกเว้นไม่มีงบจริงๆ ถ้าแบบนั้นคงต้องจำใจไปกับ Rubber dome ในแบบข้อ 1 ค่อนข้าง OK สุดสำหรับท่านที่งบจำกัดครับผม


                            6. ถ้าเลือกได้ ทั้ง 3 ตัวสำหรับผม


                            6.1 ผมเลือก Ducky Zero / TT esport Poseidon Z ครับ ถ้าใช้ทั่วไปไม่ได้ใช้ติดต่อกันนานๆ หรือ ติดที่รองมือแบบผมครับ

                            6.2 ถ้าติดที่รองมือแบบผม หรือต้องการใช้นานๆ โดยไม่รู้สึกล้ามือ หรือต้องการสุขภาพข้อมือที่ดีผมเลือก CM Storm Trigger Z นะครับ เนื่องจากแผ่นรองมือของมัน

                            6.3 เป็น gammer จริงจัง ผมเลือก Trigger Z นะครับ เพราะ Function ด้าน Macro และ Key Rollover รวมถึงการตอบสนองของมันเทพดีครับผม

                            6.4 ถ้าเงินเหลือผมเลือก CM Storm Trigger Z นะครับ เพราะให้สัมผัสโดยรวมดีกว่าครับผมครับ


                            6.5 ผมไม่เลือก Razer ครับผม จากการพิมพ์ ผมประทับใจ Ducky ตัวละ 2,xxx มากกว่า Razer ตัวละ 5,000 กว่าๆ ครับ เพราะ layout กับรูปทรงปุ่มมันมารตฐานไม่ทำให้ผมพิมพ์ผิดครับ Razer ผมใช้ยังไงก็ไม่ชินครับผม



                            7. ถ้าคุณเป็นคนชอบความสุด ผมแนะนำให้ใช้ Mechanial Keyboard แทน Keyboard บ้านๆ ถูกๆ นะครับ คอมแรงมากๆ แต่ input device ที่คุณต้องจับทั้งวันกาก แบบนี้ส่วนตัวผมเสียดายนะครับ เพราะสิ่งที่สื่อสารระหว่างเรากับคอมมาสุด ก็คือ จอ และ mouse / keyboard นั่นเองครับผม

                            8. และท่านใดที่เน้นเรื่องการพิมพ์เป็นหลัก หลงรัก Mechanical และอยากได้สัมผัสการพิมพ์ที่ดีที่สุด ผมแนะนำ Ducky Premiere DK9008P ครับผม สุดยอดที่สุดแล้วสำหรับ สัมผัสการพิมพ์และการกดครับผม



                            ******* ข้อควรรู้เกี่ยวกับ Mechanical Keyboard นะครับ***********


                            1. Mechanical Keyboard มี break-in period นะครับผม เช่นว่า ซื้อมา 1 ชั่วโมงแรกปุ่มจะยังไม่ให้สัมผัสที่แท้จริง ต้องใช้ๆ กดๆ ไปสักหลายชั่วโมงหรือสัก 1 วันให้ spring มันได้ทำงานก่อนครับผม หลังจากนั้น Perfect ยาวๆ ครับผม

                            2. การพิมพ์ Mechanical ที่ถูกต้องไม่ควรจะไป bottom out หรือกดปุ่มลงไปสุดแบบ Rubber Dome นะครับ ถ้าคุณพิมพ์ได้ถูกต้องกดแค่ถึง actuation point แล้วปล่อยคุณจะได้ประสบการณ์ การใช้ Mechanical ที่ดีที่สุดครับผม สบายนิ้วกว่า ไปได้ไวกว่าด้วยครับผม

                            3. Mechanical Keyboard กลัวน้ำกว่า rubber dome เยอะครับ เพราะเป็นกลไกแบบซับซ้อน ดังนั้นอย่าทำน้ำหกใส่มันนะครับผม

                            4. Mechanical Keyboard ทำให้คุณพิมพ์ได้ไวขึ้นจริงๆ ครับ แต่อย่าหวังว่ามันจะเกิดขึ้นปุ๊ปปั๊บ ข้ามคืน นะครับ มันต้องใช้เวลา เทียบกับเครื่องดนตรี Mechanical Keyboard ก็เหมือนเครื่องดนตรีดีๆ แพงๆ คุณต้องให้เวลากับมันสักหน่อย หลังจากชินแล้วมันจะเป็นอะไรที่สุดยอดครับผม






                            วันนี้ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ก่อนครับผม สวัสดีครับ














                            edit : เพิ่มเติมทางเลือกพิเศษสำหรับคนรักการพิมพ์เท่านั้นครับผม


                            สวัสดีครับผม เดี๋ยวเรามาเพิ่มเติมกันกับ Mechanical อีกตัวเลยสำหรับท่านที่เน้นเรื่อง

                            สัมผัสการพิมพ์ สัมผัสการกด ตัวนี้จะให้สัมผัสดีกว่า Mechanical ด้านบนๆ ที่รีวิวมาทั้งหมดครับผม

                            เจ้าตัวนี้คือ

                            Ducky Premier DK9008P


                            โดยมีสนนราคาอยู่ที่ราวๆ 3,900 บาทครับผม


                            มาชมภาพกันก่อนครับผม








                            ตามภาพนะครับ เจ้านี่จะมาพร้อมกับ Key 4 ปุ่มสำหรับคนเล่นเกม ซึ่งบังเอิญผมไม่ค่อยได้เล่นเกมแนวๆ พวกนี้ผมเองเลยไม่ได้ใช้งานตรงส่วนนี้ครับผม

                            และมาพร้อมกับ dip switch ด้านหลังที่สามารถปรับ mode ต่างๆ ของ Keyboard ได้

                            เช่น ทำให้ ALT และ Windows คีย์สลับกัน (สำหรับคนใช้ Mac จะสะดวกขึ้นมากๆ ครับ) /// หรือทำให้เป็นโหมดพิมพ์ hard core คือ Disable Function ไร้สาระทิ้งไปทั้งหมด หรือจะเลือกโหมดการพิมพ์แบบอื่นๆ อีกก็ได้โดยมีคู่มือให้ในกล่องด้วยครับผม

                            นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับที่ดึง Keycaps สำหรับถอด Keycaps ออกมาทำความสะอาดง่ายๆ หรือว่าจะเปลี่ยน Keycaps ก็จะสะดวกขึ้นมากๆ ครับผม

                            เจ้าตัวนี้ใช้ Switch ของ Cherry แท้ๆ ครับผมโดยมีให้เลือกทั้ง Blue / Red / Black / Brown ครับผม ส่วนตัวที่ผมซื้อมานี้เป็น blue switch ตามรสนิยมของผมครับผม


                            งานประกอบของเจ้าตัวนี้ รวมทั้งวัสดุดีกว่า Ducky Zero อย่างไม่ต้องสงสัยครับผม มันออกแบบมาสำหรับท่านที่ต้องการประสิทธิภาพและสัมผัสที่ดีด้านการกดแท้ๆ ครับผม

                            รองรับ N-Key rollover โดยจะเปิดหรือปิด option นี้ก็ได้เช่นกันครับผม

                            นอกจากนี้เจ้านี่ยังมาพร้อมสาย USB แบบถอดออกได้ครับ ให้ความสะดวกในการจัดเก็บหรือพกพาดีกว่า และไม่ต้องกังวลเรื่องสายขาดในหรืออะไรด้วยครับ เพราะใช้หัว USB แบบปกติที่เราใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ ครับผม

                            โดยสายที่แถมมานั้นเป็นสายอย่างดี และมีสายรัด build in มาเรียบร้อยครับผม เป็น gold plated ด้วยครับผม




                            มาต่อกันที่เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าตัวนี้เลยครับผม


                            เจ้า Ducky Premier นั้นจะไม่เหมือน Keyboard Mechanical ที่รีวิวไว้ด้านบนๆ ครับผม

                            เจ้าตัวนี้ผลิตจาก PBT ทั้งตัว และ Keycaps (ปุ่มที่ครอบลงไปบน switch ) ครับผม โดยเป็นแบบ Thick PBT

                            ในขณะที่รุ่นทั่วไปด้านบนนั้นจะเป็นปุ่มแบบ Thin ABS ครับ หรือ Plastic ABS ธรรมดาแบบบางนั่นเองครับผม



                            ทีนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่า Thick PBT นั้นมันมันแตกต่างกันกับ ABS อย่างไร แน่ๆ คือมันทนกว่า มันแข็งแรงกว่า และมันให้สัมผัสทีดีกว่า ABS มาก ๆครับผม

                            คือ Keyboard แบบ Mechanical นี่นอกจากเรื่องของ Switch แล้วสิ่งที่ทำให้ Keyboard แต่ละตัวมีความรู้สึกต่างกันอีกส่วนก็คือ Keycaps ครับผม

                            Keycaps ดีๆ นั้นจะให้สัมผัสที่ดีกว่า Keycaps แบบถูกๆ มากครับผม รวมถึงให้เสียงในตอนที่กดลงไปต่างจาก Keycaps ถูกด้วยๆ ครับผม เนื่องจากวัสดุ น้ำหนัก และการออกแบบของมันครับผม

                            มันจะให้ Feeling การกดที่แตกต่างกันออกไปเลยครับผม ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่เน้นพิมพ์นี่ ต่างกันจนพิมพ์สนุกกว่าเดิมมากมายเลยทีเดียวครับผม เสียงจะถูก suppress ไปเยอะขึ้นด้วยครับผม ส่งผลให้โดยรวมๆ แล้วประสบการณ์พิมพ์ ที่ท่านจะได้จาก Keycaps ดีๆ นั้นดีขึ้นพอสมควรทีเดียวครับผม

                            โดยเฉพาะท่านที่มาจาก Keycaps แบบ Thin ABS ครับผม


                            เป็นอีกสาเหตุนอกเหนือจากความสวยงามที่ ต่างประเทศนิยมซื้อ Keycaps แพงๆ มาใส่เพิ่มทีหลังกันครับ สำหรับนักเล่น Keyboard หรือคนที่หลงไหลในการพิมพ์ของ Mechanical Keyboard ครับผม


                            นอกจากนี้ Keycaps แบบ PBT ยังมีความทนทานกว่า ABS มากๆ ครับผม ส่วนมากจะมีการ Screen อักษรมาคนละแบบกับ ABS ครับ

                            PBT นั้นนิยมพิมพ์อักษรมาแบบ

                            1. Laser engraved นั่นคือใช้ Laser แกะสลักตัวอักษรลงไปในเนื้อ PBT ครับ แบบในรูปตัวที่ผมซื้อมารีวิวครับผม จะไม่มีวันลอกแน่นอนครับผม เพราะเป็นการแกะสลักเนื้อ PBT ครับ

                            2. Dyesub ซึ่งเป็นแบบที่ไม่วันลอกหรือลบเลือนเช่นกันครับผม



                            ตามภาพด้านบนเลยครับผม

                            จากภาพจะความแตกต่างของลักษณะของตัวอักษรแบบ dyesub และ ความหนารวมถึงรูปแบบวัสดุที่แตกต่างกันของ keycaps ทั่วไป กับ keycaps แบบ Thick PBT ครับผม







                            ตามภาพเลยครับผม

                            ข้อดีของตัวอักษรบน Keycaps แบบ Laser engraved แบบนี้ คือ มันไม่มีวันดำ ไม่มีวันลอกครับ สามารถถอดเอาไปแช่ Alcohol หรือล้างด้วยวิธิอื่นๆ เพื่อทำความสะอาดได้สบายมากๆ ครับผม

                            อีกทั้งมันมากับที่ถอด keycaps อย่างดี ทำให้สามารถออกมาง่ายๆ มากๆ ครับ แปปเดียวเสร็จสิ้นทั้งหมดเลยครับผม



                            แต่เจ้า Ducky ตัวนี้ให้ Thick PBT keycpas รวมถึงส่วนประกอบอื่นๆ มาจากโรงงานเลยครับผม ทำให้สามารถสัมผัสประสบการณ์ การพิมพ์ที่ดีกว่าเดิมมากๆ ได้ทันทีโดยไม่ต้องซื้อมาแต่ง มาปรับเองให้เหนื่อยครับผม



                            ผลการใช้งานนั้นต้องบอกว่าหาตัวที่พิมพ์แล้วให้ความรู้สึกดีกว่านี้ยากมากๆ ครับผม


                            ถ้าคุณเป็นคนพิมพ์แบบ bottom out ตลอดอาจะไม่ต่างเท่าไหร่นักแค่รู้สึกต่างบ้านนิดหน่อย

                            แต่ถ้าเป็นคนที่พิมพ์แบบถูกต้องกดแค่ถึง Actuation point แบบผมนั้นรับรองความต่างทั้งเสียงและสัมผัสเลยครับผม

                            นอกจากปุ่มแล้วมันยังมี key stabilizer ที่ดีกว่ามากๆ ด้วยครับผม ใน Key ยาวๆ เช่น space bar หรือ backspace นั้นปกติเวลาพิมพ์บน Keyboard ทั่วไปส่วนมากจะให้สัมผัสที่แย่กว่าบนปุ่มอื่นๆ แต่ด้วยการมี key stabilizer ที่ดีกว่า ทำให้มันให้ความรู้สึกรวมถึงเสียงที่แทบไม่ต่างจาก Key ทั่วไปทำให้การพิมพ์บน Keyboard พวกนี้บันเทิงกว่า Mechanical ปกติมากครับผม

                            เป็นอีกทางเลือกเฉพาะทางสำหรับท่านที่รัก Keyboard หรือรักการพิมพ์ และรักสัมผัสการกดแบบที่น่าจะเรียกได้ว่า Perfect ที่สุดในบรรดา Mechanical ด้วยกันเลยครับผม


                            แต่คงไม่เหมาะกับท่านที่ชอบ Keyboard ที่รูปทรง Modern หรืออื่นใดครับผม เหมาะเฉพาะกับท่านที่เป็นคนชอบอีกสไตล์มากกว่าครับผม ของจริงๆ สวยกว่าในภาพนะครับผม

                            สำหรับผม มันพิมพ์ดีจนผมไม่อยากแตะ Mechanical Keyboard ตัวอื่นๆ ของผมอีกเลยครับผม



                            ถือเป็นทางเลือกพิเศษสำหรับท่านที่ชอบความสุดยอดทางการพิมพ์เท่านั้นไม่แคร์เรื่องอื่นรับรองว่าไม่ผิดหวังกับมันแน่นอนครับผม





                            ท่านใดสนใจติดตามภาคต่อของ Mechanical VS Mechanical เชิญชมภาค 2 ต่อได้ที่กระทู้นี้เลยครับผม

                            http://www.overclockzone.com/forums/...B8%88%E0%B8%B0
                            Last edited by Prime Time; 11 Sep 2014, 21:02:43.

                            Comment


                            • #15
                              ขอบคุณสำหรับรีวิวครับท่านPrimeTime

                              วันนี้พึ่งไปเดิน J.I.B. เซ็นทรัลแจ้งฯ มา คียร์บอร์ด+เม้าส์เกมส์มิ่งวางเต็มตู้โชว์หน้าร้านเลย ยังสงสัยคียร์บอดร์ดอะไรวะ..ตั้ง4-5พันบาท
                              เม้าก็ตัว4พันกว่าบาท
                              แต่ก็เหล่ๆเล็งๆ TT esport Poseidon Z ไว้เห็นว่ามันสองพันกว่าบาทนี่แหล่ะ แต่ไม่ได้ซื้อกลับติดมือมาครับ
                              มาเจอกระทู้รีวิวท่านPrimeTime นี่ต้องคิดหนักอีกว่าจะเลือกอะไรดีทีนี้

                              Comment

                              Working...
                              X