Announcement

Collapse
No announcement yet.

มาวัดไฟ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ กินไฟ มาก/น้อย กันคะ

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • #31
    ช่วงที่มันกินไฟที่สุดก็คือช่วงที่ ตัวเก็บประจุของภาคกรองกระแสไฟในจุดต่างๆ
    ดึงกระแสไฟฟ้าเข้าไปประจุตัวเองไงครับ ซึ่งมันจะดึงกระแสไฟมาก ในช่วงแรก

    พอมันเต็มแล้วก็จะ จ่ายออกเล็กน้อย แล้วก็รับเข้าไปอีก
    Last edited by zicmaxx; 9 May 2007, 19:16:34.

    Comment


    • #32
      แล้ว CPU & GPU มัน Full โหลด ตลอดเวลาเหรอ ????????

      Comment


      • #33
        จด ๆ ๆ ๆ ความรู้อีกแล้ว

        Comment


        • #34
          ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ

          Comment


          • #35
            ไม่ไหวหละครับถ้าเป็นตามที่บอกมาที่ว่า เครื่องกินไฟ 300W แต่ PSU จะใช้ไฟจาก AC 500W ตรงนี้ถ้าคำนวณออกมาแล้วก้จะเท่ากับว่า Power Factor ( PFC ) ของ PSU ตัวนี้ห่วยมากๆ เพราะมีค่า PFC แค่ 0.6 ซึ่ง PSU ปัจจุบันนี้ถ้าเป็น PSU ที่มีมาตรฐานพอส่วนมากแล้วก็จะมี PFC เกิน 0.9 ทุกตัว และยิ่งถ้าเป็น PSU ที่เชื่อถือได้ส่วนใหญ่ เราจะเห็นว่ามันมี PFC สูงถึง 0.99 กันเลย สมมติว่าถ้า PSU เรามี PFC 0.99 ถ้าเครื่องของเราใช้พลังงานสุทธิ 500W ดังนั้นพลังงานที่ PSU จะใช้มาจากไฟ AC ก็จะอยุ่ที่ 500/0.99 = 505W ด้วยเหตุนี้ถ้าเราจะวัดกันในเรื่องค่าไฟฟ้า เราก็ต้องไปวัดกันที่สาย AC ถึงจะถูกต้องกว่า....
            PFC = Power factor correction
            p.f. = Power factor
            ขอความรู้หน่อยครับ
            ขอบคุณครับ

            เอ แล้วEfficiency Typical >80% ละคับ"AC ก็จะอยุ่ที่ 500/0.99 = 505W "
            Last edited by TonOak; 17 May 2007, 19:55:04.

            Comment


            • #36
              Max. DC Output 750W
              Load Range
              +3.3V +5V +12V1 +12V2 +12V3 +12V4 +5VSB -12V -5V
              Max.(Amps) 24A 30A 18A 18A 18A 18A 3.0A 0.5A /
              Peak (Amps) / / / / / 22A 3.5A / /
              Min.(Amps) 1.5A 1.0A 0.8A 0.8A 0.5A 1.0A 0.1 0 /
              Range(%) +/-5% +/-5% +/-5% +/-5% +/-5% +/-5% +/-5% +/-10% /
              Ripple
              (mVp-p)
              100mV 100mV 150mV 150mV 150mV 150mV 100mV 150mV /

              combined+3.3 , +5V 170W
              combined +12V 54A / 648W (Peak 56A )

              Input Voltage 90V ~ 264V (Auto Range)
              Input Frequency Range 47Hz ~ 63Hz
              PFC Active PFC (PF>0.95 at full load)
              Efficiency Typical >80%
              MTBF 100,000 hours at 25°C, full load
              Operating temperature 0 ~ 50°C
              Protection Over current protection, Under voltage protection, Over voltage protection, Short circuit, No load operation
              "มันจะสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด ( Peak = 820W ) "
              PSU ตัวนี้จะสามารถจ่ายไฟได้รวมกันสูงสุดที่ 650+170 = 820W แต่จะเห็นว่าทางผู้ผลิตการันตีมาเพียง 750W นี่ก็แสดงว่าตามสเป็คแล้วมันจะสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด ( Peak = 820W ) แต่ไม่ทราบว่าจะจ่ายได้นานเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับการป้องกันของแต่ละผู้ผลิต บางรายอาจจะแจ้งมาว่าได้เพียง 60 วินาที บางรายก็อาจจะได้เพียง 30 วินาที แล้วที่การรันตีมาที่ 750W นั้นน่าจะเป็นการการันตีมาว่า PSU ตัวนี้จะสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดในแบบต่อเนื่อง ( Continue ) 750W
              รบกวนขอความรู้หน่อยครับว่า เขาบอกไว้ที่ไหนครับ
              Last edited by TonOak; 19 May 2007, 10:12:43.

              Comment


              • #37
                ดีครับ แต่ผมเพิ่งเคยเห็น คลิบแอมป์ ที่เป็น DC ครับ
                ปกติเคยใช้แค่ คลิบแอมป์ AC เท่านั้น มันวัดไฟ แอมป์ DC ไม่ขึ้นอ่ะครับ

                Comment


                • #38
                  Originally posted by ZoLKoRn View Post
                  ได้เลยครับ การคล้องหลายเส้นก็เท่ากับว่าเราวัดกระแส ( A ) ทั้งชุดของสายชุดนั้น โดยไม่ต้องสนใจว่าแต่ละสายจะมีแรงเคลื่อน ( V ) กี่ volt ก็ตาม เพราะมันจะเป็นการวัดกระแสรวม แต่ถ้าจะเอามาคิดเป็น Watt ไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าในสายไฟของแต่ละ volt มีกระแสเท่าไหร่บ้าง ถ้าจะวัดออกมาเป็น watt ก็ต้องแยกคล้องตาม Volt เช่นอยากรู้ว่าที่ไฟ 5V ใช้ไฟทั้งหมดกี่ watt ก็ให้เอาสาย 5V ทุกเส้นมาคล้องรวมกัน เราก็จะได้กระแสทั้งหมด แล้วนำมาคูณกับ 5 เราก็จะได้กำลัง watt ของชุด 5V



                  ใช่ครับตามที่ท่านว่ามานั้นถูกต้องที่สุดแล้วครับ ถ้าเราจะมาวัดการใช้พลังงานทั้งหมดของเครื่องคอมฯ เรา เราต้องวัดกันที่สาย AC และถ้าจะให้ใกล้เคียงที่สุดก็ควรจะไปวัดกันที่ต้นทางหรือใกล้เคียงที่สุด เพราะว่าสายไฟแต่ละเส้นนั้นย่อมต้องมีความต้านทาน ( R ) ที่แตกต่างกันไป ( หมายเหตุ* แต่ก็น้อยมากๆ ถ้ามองจากความเป็นจริง แทบไม่ต้องนำมาคิดก็ได้ ) การวัดที่สาย AC นี้ก็จะเป็นการวัดพลังงานสุทธิที่แท้จริงว่าเครื่องเรากินไฟเท่าไหร่



                  ไม่ไหวหละครับถ้าเป็นตามที่บอกมาที่ว่า เครื่องกินไฟ 300W แต่ PSU จะใช้ไฟจาก AC 500W ตรงนี้ถ้าคำนวณออกมาแล้วก้จะเท่ากับว่า Power Factor ( PFC ) ของ PSU ตัวนี้ห่วยมากๆ เพราะมีค่า PFC แค่ 0.6 ซึ่ง PSU ปัจจุบันนี้ถ้าเป็น PSU ที่มีมาตรฐานพอส่วนมากแล้วก็จะมี PFC เกิน 0.9 ทุกตัว และยิ่งถ้าเป็น PSU ที่เชื่อถือได้ส่วนใหญ่ เราจะเห็นว่ามันมี PFC สูงถึง 0.99 กันเลย สมมติว่าถ้า PSU เรามี PFC 0.99 ถ้าเครื่องของเราใช้พลังงานสุทธิ 500W ดังนั้นพลังงานที่ PSU จะใช้มาจากไฟ AC ก็จะอยุ่ที่ 500/0.99 = 505W ด้วยเหตุนี้ถ้าเราจะวัดกันในเรื่องค่าไฟฟ้า เราก็ต้องไปวัดกันที่สาย AC ถึงจะถูกต้องกว่า....
                  ส่วนตามที่ท่านได้วัดมาให้ดูนั้นก็ไม่ผิด เพราะที่ท่านวัดมานั้นเป็นการวัดอัตราการใช้พลังงานสุทธิทั้งหมดของอุปกรณ์ในเครื่อง การวัดในลักษณะนี้เราไม่สามารถเอามาใช้ในการคำนวณค่าไฟได้ แต่จะเป็นการวัดเพื่อใช้ในการตัดสินใจว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรานั้น ควรที่จะซื้อ PSU ที่มีขนาดเท่าไหร่มาใช้งานดี อย่างเช่นถ้าท่านวัดการใช้พลังงานของอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครื่องแล้วได้พลังงานออกมา 300W เราก็จะรู้ได้ว่าเราควรที่จะซื้อ PSU ที่สามารถจ่ายไฟได้มากกว่า 300W ขึ้นไป ตรงนี้ของแนะนำนิดนึง.....

                  ในการเลือกซื้อ PSU ที่หลายๆคนถามมาว่าทำไมเราต้องซื้อให้มันจ่ายไฟได้มากกว่าที่เครื่องเราใช้จริงด้วย เอาง่ายๆสมมติจากข้างบนถ้าเครื่องของเราใช้พลังงานทั้งหมด 300W เราก็ต้องมาดูกันก่อนอีกว่าที่ 300W นี่นั้นเป็นการใช้ในช่วงใด ช่วงของ Full Load หรือว่า Idle ถ้าสมมติว่าที่ 300W นี้เป็นช่วงของ Full Load เราก็ต้องมาคำนึงอีกว่า ลักษณะการใช้งานของเรานั้นเป็นอย่างไร ถ้าเราใช้เครื่องในแบบที่ใก้เคียง Full Load ตลอดเวลา เช่นใช้เครื่องเล่นเกมทั้งวันแบบต่อเนื่องยาวนาน หรือใครที่ใช้เครื่องในการ Encode หนังต่างๆที่จะใช้ระยะเวลาต่อเนื่องนานๆ ถ้าเป็นในลักษณะนี้ เราจะคิดว่าถ้าอย่างนั้นเราซื้อ PSU ที่สามารถจ่ายไฟได้ซัก 350W ก็คงจะเพียงพอ แต่นี่คือคำตอบที่ผิด แต่ก็ใช่ว่าจะใช้งานไม่ได้ มันก็สามารถใช้งานได้อยู่ เราก็ต้องย้อนมาดูองค์ประกอบหลายๆอย่าง

                  - อย่างแรกที่บอกว่าเครื่องกินไฟ 300W แล้วใช้ PSU 350W ก็น่าจะพอ คำที่ว่าพอนั้นถูกต้อง แต่ลองคิดดูว่า เครื่องใช้ไฟ 300W แต่ PSU จ่ายไฟได้สูงสุด ( Peak ) 350W นี่ก็แสดงว่าตลอดเวลาที่เครื่องของเราดึงไฟ Full Load ที่ 300W PSU ของเราจะต้องรับ Load เกือบ 100% ตลอดเวลาเช่นกัน ( ประมาณ 86% ) แล้วก็ลองคิดตามกันดูว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ทั้งเรื่องของความร้อนที่เกิดขึ้นย่อมต้องสูงมาก แล้วก็จะส่งผลถึงเรื่องของอายุการใช้งานที่สั้นลงของตัว PSU เอง ตรงนี้แค่มองกันแบบทางกายภาพ และถ้ามองกันแบบลึกๆอีกหน่อย เราต้องมาดูกันอีกนิดว่าจริงๆแล้ว PSU ที่บอกว่า 350W นั้นสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดในแบบต่อเนื่อง ( Continue ) ได้กี่ watt กันแน่ ข้อมูลตรงนี้แน่นอนว่า PSU แต่ละตัวจะสามารถจ่ายได้ไม่เท่ากัน

                  - สังเกตจากการทดสอบที่เราได้มีการทดสอบ PSU จากหน้าเวป ตามที่เราได้มีการวัดการจ่ายพลังงานที่จะมีอยู่ 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือวัดกันในแบบ Single กับ Combine ถ้าใครที่สังเกตุกันอยู่บ่อยๆก็จะเห้นว่า เมื่อเราให้ load กับ PSU ในแบบ Combine ตัว PSU จะมีอัตราการจ่ายพลังงานที่ลดลงจากแบบ Single ตรงจุดนี้ลองดูตัวอย่างเช่น ที่ไฟ 5V จะจ่ายไฟได้ 20A และไฟ 3.3V จ่ายไฟได้ 10A แต่ถ้าเราให้ load พร้อมกันทั้ง 5V และ 3.3V เราจะเห็นว่าจากลาเบลของ PSU จะบอกว่ามันสามารถจ่ายได้แค่ 24A แทนที่จะเป็น 30A แล้วก้มาในส่วนของไฟ 12V ที่มีแหล่งจากมากกว่า 1 ชุด เช่น 12V1 = 20A , 12V2 = 20A , 12V3 = 20A ถ้ารวมกันก็เท่ากับว่ามันจะจ่ายไฟ 12V = 60A แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเราให้ Load พร้อมกันทั้ง 3 ชุด ถ้าดูจากลาเบลหรือข้างกล่องก็จะมีบอกไว้ว่า combine 12V = 50A นั่นก็คือ PSU ตัวนี้จะจ่ายไฟ 12V ได้จริงในกรณีที่มีโหลดทั้ง 3 ชุดได้สูงสุดเพียง 50A แทนที่จะเป็น 60A ...... ตรงนี้ก็น่าจะเห็นได้ชัดขึ้นแล้วใช่มั๊ยหละครับ



                  Ex. PSU ตัวนี้จากลาเบลจะบอกว่าไฟ 5V จ่ายได้ 30A / ไฟ 3.3V = 24A ถ้าคำนวณแยกแล้วเอามารวมกันก็จะได้ 5x30 = 150W , 3.3x24 = 79.2W แล้วถ้าเอามารวมกันของ 5V และ 3.3V ก็ควรจะจ่ายได้รวมกัน 229.2W แต่ทางผู้ผลิตแจ้งมาว่าจะจ่ายได้เพียง 170W ส่วนที่ไฟ 12V มี 4 แหล่งจ่าย แหล่งละ 18A ถ้าเอามารวมกันก็แสดงว่ามันควรจะจ่ายได้ (12x18)x4 = 864W แต่เมื่อ combine แล้วจะได้แค่ 650W รวมแล้ว PSU ตัวนี้จะสามารถจ่ายไฟได้รวมกันสูงสุดที่ 650+170 = 820W แต่จะเห็นว่าทางผู้ผลิตการันตีมาเพียง 750W นี่ก็แสดงว่าตามสเป็คแล้วมันจะสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด ( Peak = 820W ) แต่ไม่ทราบว่าจะจ่ายได้นานเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับการป้องกันของแต่ละผู้ผลิต บางรายอาจจะแจ้งมาว่าได้เพียง 60 วินาที บางรายก็อาจจะได้เพียง 30 วินาที แล้วที่การรันตีมาที่ 750W นั้นน่าจะเป็นการการันตีมาว่า PSU ตัวนี้จะสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดในแบบต่อเนื่อง ( Continue ) 750W

                  ( หมายเหตุ* ลาเบลที่นำมาให้ดูนี้ นำมาใช้เป็นตัวอย่างในการคำนวณเท่านั้น ไม่ได้เป็นการนำมาเพื่อส่งเสริมการขายหรือโปรโมทสินค้าแต่อย่างไร )

                  แล้วแบบนี้เราจะใช้ PSU กี่ watt ดีหละสำหรับเครื่องนี้ที่กินไฟ 300W ระดับที่แนะนำอันนี้ก็จะขึ้นอยู่กับงบประมาณและความสามารถของแต่ละคน จากข้อมูลที่หาๆมา แนะนำว่าเราไม่ควรจะให้ PSU ของเรานั้นมีการใช้งานแบบ Full Load 100% เราควรจะใช้ PSU ที่สามารถจ่ายไฟให้กับเครื่องคอมฯ แล้วตัวเองยังคงทำงานอยู่ในระดับที่ไม่ควรเกิน 80% แล้วถ้าต่ำกว่านี้จะดีมั๊ยเช่น 50-60% คำตอบคือดีแน่นอน แต่ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ถ้างั้นเรามาลองคำนวณกันดูว่าจาก 300W ของการใช้ไฟในเครื่องเราน่าจะซื้อ PSU ซักกี่ Watt มาใช้งานดี ถ้าจะไม่ให้เกิน 80% ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 375W แล้วเราก็ต้องมาดูราคากันอีกนิดว่า PSU ที่ 375W กับ PSU ที่สูงกว่านี้นิดหน่อยเช่น 400W แตกต่างกันมากแค่ไหน ถ้าต่างกว่ากันไม่มากแล้วสามารถซื้อไหว เราก็น่าจะหยิบเอา PSU 400W มาใช้งาน เมื่อใช้ PSU ที่ 400W ก็เท่ากับว่า PSU เราจะทำงานเบาลงขึ้นอีก คือจะมีภาระมาอยุ่ที่ 75% เมื่อเป็นเช่นนี้อายุการใช้งานของ PSU เราก็จะยาวนานขึ้นอีก ก็สามารถช่วยในการลดต้นทุนระยะยาวได้ด้วย หรือมองในอีกมุม หากเราจะเพิ่มอุปกรณ์บางตัวให้กับเครื่อง เราก็ไม่ต้องมาห่วงว่า PSU ที่มีอยู่จะสามารถใช้งานได้อยู่หรือไม่ จะต้องซื้อ PSU ใหม่หรือเปล่า

                  .... เฮ้อ ขี้เกียจแระ เอาไว้วันไหนขยันๆจะมาบอกเล่ากันต่อแล้วกันน่ะ

                  ปล. ถึง nongnew2000 บทความเจ๋งมากเลยครับ ช่วยให้หลายๆคนกระจ่างขึ้นแยะเลย ขอบคุณสำหรับเวลาที่สละไปเพื่อนำมาให้พวกเราได้ชมกันนะครับ และก็แนะนำนิดนะครับ ในการวัดแรงเคลื่อน ( V ) ควรที่จะไปวัดให้ใกล้กับ Load มากที่สุดนะครับ เช่นไปจิ้มที่หัวต่อ 24pin ที่ต่อลงบอร์ด เราจะได้แรงเคลื่อนที่คลาดเคลื่อนน้อยที่สุด
                  ไม่มีอะไรนะครับเพียงแต่ความรู้ของผมไม่ตรงกัน จึงขอความเข้าใจเท่านั้นครับถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ ^^

                  1. "ได้เลยครับ การคล้องหลายเส้นก็เท่ากับว่าเราวัดกระแส ( A ) ทั้งชุดของสายชุดนั้น โดยไม่ต้องสนใจว่าแต่ละสายจะมีแรงเคลื่อน ( V ) กี่ volt ก็ตาม เพราะมันจะเป็นการวัดกระแสรวม แต่ถ้าจะเอามาคิดเป็น Watt ไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าในสายไฟของแต่ละ volt มีกระแสเท่าไหร่บ้าง ถ้าจะวัดออกมาเป็น watt ก็ต้องแยกคล้องตาม Volt เช่นอยากรู้ว่าที่ไฟ 5V ใช้ไฟทั้งหมดกี่ watt ก็ให้เอาสาย 5V ทุกเส้นมาคล้องรวมกัน เราก็จะได้กระแสทั้งหมด แล้วนำมาคูณกับ 5 เราก็จะได้กำลัง watt ของชุด 5V"
                  เหมือนกันครับ
                  2. "ใช่ครับตามที่ท่านว่ามานั้นถูกต้องที่สุดแล้วครับ ถ้าเราจะมาวัดการใช้พลังงานทั้งหมดของเครื่องคอมฯ เรา เราต้องวัดกันที่สาย AC และถ้าจะให้ใกล้เคียงที่สุดก็ควรจะไปวัดกันที่ต้นทางหรือใกล้เคียงที่สุด เพราะว่าสายไฟแต่ละเส้นนั้นย่อมต้องมีความต้านทาน ( R ) ที่แตกต่างกันไป ( หมายเหตุ* แต่ก็น้อยมากๆ ถ้ามองจากความเป็นจริง แทบไม่ต้องนำมาคิดก็ได้ ) การวัดที่สาย AC นี้ก็จะเป็นการวัดพลังงานสุทธิที่แท้จริงว่าเครื่องเรากินไฟเท่าไหร่"
                  อันนี้ใกล้เคียงกันครับ แต่ วัดกระแสด้าน AC ได้แล้ว ไม่ใช่ Volt*Amp =watt แต่ Volt*Amp = VA ครับ
                  3. "300W แต่ PSU จะใช้ไฟจาก AC 500W ตรงนี้ถ้าคำนวณออกมาแล้วก้จะเท่ากับว่า Power Factor ( PFC ) ของ PSU ตัวนี้ห่วยมากๆ เพราะมีค่า PFC แค่ 0.6 "
                  อันนี้ไม่ตรงกันครับ 300/500 = 0.6 เป็น Efficiency ของ power supply =( out power)/ (input power)
                  ค่า PFC = Power factor correction เป็นเรื่องของ real power and apparent power
                  การที่มีค่า PFC มาก เช่น PFC 0.99 นั้นจะใช้ apparent power น้อยครับ power ตัวนี้ถ้าตามบ้านคนทั่วไปไม่ต้องจ่ายค่าไฟ ครับ แต่ถ้าเป็นการใช้ไฟของผู้ใช้ไฟขนาดใหญ่ โรงงานต้องจ่ายครับ ข้อดี apparent power น้อยมีเยอะครับ ถ้าเป็นโรงงาน ผู้ใช้ไฟขนาดใหญ่ หรือแม้แต่การไฟฟ้า
                  เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งครับ

                  4. "อย่างแรกที่บอกว่าเครื่องกินไฟ 300W แล้วใช้ PSU 350W ก็น่าจะพอ คำที่ว่าพอนั้นถูกต้อง แต่ลองคิดดูว่า เครื่องใช้ไฟ 300W แต่ PSU จ่ายไฟได้สูงสุด ( Peak ) 350W นี่ก็แสดงว่าตลอดเวลาที่เครื่องของเราดึงไฟ Full Load ที่ 300W PSU ของเราจะต้องรับ Load เกือบ 100% ตลอดเวลาเช่นกัน ( ประมาณ 86% ) แล้วก็ลองคิดตามกันดูว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ทั้งเรื่องของความร้อนที่เกิดขึ้นย่อมต้องสูงมาก แล้วก็จะส่งผลถึงเรื่องของอายุการใช้งานที่สั้นลงของตัว PSU เอง ตรงนี้แค่มองกันแบบทางกายภาพ และถ้ามองกันแบบลึกๆอีกหน่อย เราต้องมาดูกันอีกนิดว่าจริงๆแล้ว PSU ที่บอกว่า 350W นั้นสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดในแบบต่อเนื่อง ( Continue ) ได้กี่ watt กันแน่ ข้อมูลตรงนี้แน่นอนว่า PSU แต่ละตัวจะสามารถจ่ายได้ไม่เท่ากัน "

                  ตาม specificatoin ของ MTBF 100,000 hours at 25°C, full load
                  100,000hr/24hr = 4,166 days
                  4,166days/365days = 11.4 years !!!!
                  แต่มันก็เป็นเพียงค่าสติถิ และการทำงานที่ 25°C เป็นการทดสอบโดยทั่วไปแต่เมืองไทยมันร้อนซึ่งเป็นไปได้ยาก(ถ้าไม่เปิดแอร์ ) ผมเลย หาร 2 ก็ 5.7ปี(อันนี้มั่วเอาตามความรู้สึก)

                  5. "สังเกตจากการทดสอบที่เราได้มีการทดสอบ PSU จากหน้าเวป ตามที่เราได้มีการวัดการจ่ายพลังงานที่จะมีอยู่ 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือวัดกันในแบบ Single กับ Combine ถ้าใครที่สังเกตุกันอยู่บ่อยๆก็จะเห้นว่า เมื่อเราให้ load กับ PSU ในแบบ Combine ตัว PSU จะมีอัตราการจ่ายพลังงานที่ลดลงจากแบบ Single ตรงจุดนี้ลองดูตัวอย่างเช่น ที่ไฟ 5V จะจ่ายไฟได้ 20A และไฟ 3.3V จ่ายไฟได้ 10A แต่ถ้าเราให้ load พร้อมกันทั้ง 5V และ 3.3V เราจะเห็นว่าจากลาเบลของ PSU จะบอกว่ามันสามารถจ่ายได้แค่ 24A แทนที่จะเป็น 30A แล้วก้มาในส่วนของไฟ 12V ที่มีแหล่งจากมากกว่า 1 ชุด เช่น 12V1 = 20A , 12V2 = 20A , 12V3 = 20A ถ้ารวมกันก็เท่ากับว่ามันจะจ่ายไฟ 12V = 60A แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเราให้ Load พร้อมกันทั้ง 3 ชุด ถ้าดูจากลาเบลหรือข้างกล่องก็จะมีบอกไว้ว่า combine 12V = 50A นั่นก็คือ PSU ตัวนี้จะจ่ายไฟ 12V ได้จริงในกรณีที่มีโหลดทั้ง 3 ชุดได้สูงสุดเพียง 50A แทนที่จะเป็น 60A ...... ตรงนี้ก็น่าจะเห็นได้ชัดขึ้นแล้วใช่มั๊ยหละครับ "
                  อันนี้ตรงกันครับ
                  Last edited by TonOak; 19 May 2007, 10:14:35.

                  Comment


                  • #39
                    งง.............สรุป คอมบ้านๆๆ กินไฟ ช.ม. ละกี่บาทครับ ใช้งานปกติ

                    Comment


                    • #40
                      ลองง่ายๆนะครับ ตอนเช้าก็ไปจดว่ามิเตอร์อยู่ที่เลขอะไร
                      พอพรุ่งนี้เช้าก็ไปจดใหม่นะครับแต่คราวนี้ก็เปิดคอมฯจนถึงพรุ่งนี้เช้าอีกวัน เอาค่าทั้งสองวันมาลบกันก็จะได้ส่วนต่าง
                      แล้วหารด้วย 24 ก็จะรู้ว่ากินไฟเฉลี่ย ชมละกี่หน่วย
                      แต่คงต้องทำการทดลองหลายวัน นะถึงจะได้ค่าที่เข้าใกล้ความจริง

                      Comment


                      • #41
                        ยาวจัง อ่านไม่ไหวอะ แต่จะบอกว่า Volt x Amp ไม่ใช่ watt ครับ กรณีหลอดไฟที่เป็นหลอดไส้ , เครื่องทำน้ำร้อน , เตารีด อะ คำนวณแบบนี้ได้ครับ (Load ที่มีแต่ความต้านทานอย่างเดียว)
                        สำหรับการหา Watt จะคำนวณ จาก Volt x Amp x power factor (น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 เสมอ)

                        Comment


                        • #42
                          ไอ้ PF เนี่ยแหละที่ต้องใช้เครื่องวัด มั่วไม่ได้

                          สมมติว่าได้ตัวเลขแล้ว Watt ที่ใช้จริงก็เป็นด้าน Secondary ของหม้อแปลง ต้อง convert ไปยังด้าน primary โดยการดูประสิทธิภาพของหม้อแปลง ตัวดีๆ อยู่ที่ 0.8 เช่น วัดกำลังไฟฟ้าหรือคำนวณได้ 400W ด้านต้นทางจะเป็น 400/0.8 เท่ากับ 500W ครับ ก็ตกค่าไฟฟ้า ประมาณ 2 บาท/ชั่วโมง (ค่าไฟฟ้าบ้านจะอยู่ประมาณเกือบ 4 บาท/หน่วย)

                          Comment


                          • #43
                            เข้ามามาร์คกระทู้ไว้
                            เด๊่ยวมาอ่านจริงๆจังๆีอีกที

                            Comment


                            • #44
                              เห็นด้วยกับ #38 และ #40-42 เพราะพลังงานส่วนหนึ่งสูญเสียไปกับความร้อนที่เกิดขึ้น สังเกตุ พวกที่มี PF สูงๆจะไม่ค่อยร้อนเวลาทำงานปกติแต่พอใช้งานหนักๆมันก็จะอุ่นขึ้น

                              ส่วนพวกกลัวเปลืองไฟอย่าคิดมากมันไม่ได้กินเยอะอย่างที่คิดหรอกครับ ยิ่งพวกใช้ PSU ดีๆที่เป็น APF(Active Power Factor) เนี่ยมันแปลงไฟให้เราเท่าที่ต้องใช้ทำให้ประหยัดไปได้มากยิ่งขึ้น เช่นท่านใช้ 1000w ก็ไม่ใช้ว่ามันจะซดไฟขนาดเท่าเตารีดตลอดเวลา (เตารีดกินไฟ ช.ม.ละประมาณ 3.5-4บาท ที่ 1000W รุ่นใหม่ๆส่วนใหญ่ 1300wแต่เตารีดมันซดตลอดเวลาที่ไฟที่ตูดมันติด)มันจะใช้เท่าที่ระบบของท่านต้องการเท่านั้น ฉะนั้นอะไรไม่จำเป็นหรือไม่ได้ใช้ก็อย่าไปซื้อหรือเอาสายมาเสียบ ม่ายก็ลงทุนทำสวิทช์ติดไปเลย ช่วยได้เยอะ

                              Comment


                              • #45
                                เข้ามาเสริมนิดนึงครับ

                                Power Factor (PF) เราจะพูดถึงในกรณีของเฉพาะ ไฟ AC เท่านั้นนะครับ
                                เพราะ PF จะเป็นอัตราส่วนของ ไฟ AC ที่จ่ายให้ ต่อ ไฟ AC ที่ได้รับ

                                ไฟ AC ที่จ่ายให้ ก็ คือ ไฟบ้านครับ ไฟที่มาจากโรงงานไฟฟ้า เข้าบ้าน มีหน่วยเป็น VA (Volt-Amp)
                                ไฟ AC ที่ได้รับ ก็ คือ ไฟที่เครื่องใช้ไฟฟ้าเอาไปใช้ได้ครับ (AC นะครับ) มีหน่วยเป็น watt

                                คือปกติ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านมันจะรับไฟ AC ที่จ่ายมาให้ได้ไม่ 100% ครับ
                                ดังนั้นมันจึงมีวงจรที่เรียกว่า PFC (Power Factor Correction) ที่ช่วยทำให้ค่า PF เข้าใกล้ 1
                                ก็คือ ทำให้ไฟ AC ที่รับได้ เกือบจะเท่ากับ ไฟ AC ที่จ่ายให้

                                สำหรับค่าไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านที่พักอยู่อาศัย มิเตอร์หน้าบ้านนั้น จะเป็น watt meter นะครับ
                                ก็คือมันจะวัดเฉพาะ watt ไม่ได้วัด VA คือมันจะวัดเฉพาะ ไฟ AC ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ครับ
                                ไม่ได้วัด ไฟ AC ที่จ่ายให้เครื่องใช้ไฟฟ้า คือ การไฟฟ้าเค้าใจดีครับ รับภาระไปคิดเฉพาะที่ใช้จริง
                                ดังนั้นค่า PF ไม่มีผลต่อค่าไฟครับ (สำหรับบ้านอยู่อาศัยเท่านั้นนะครับ ถ้าเป็นโรงงาน การไฟฟ้า จะมีคิดค่า PF ด้วยครับ)

                                ทีนี้มาถึงอีกตัวคือ Power Efficiency
                                อธิบายก่อนว่า Computer นั้นใช้ไฟ DC ครับ และหน้าที่หลักของ PSU ก็คือ การแปลงไฟ AC ให้เป็น DC นั่นเองครับ
                                และการแปลงไฟจาก AC ไปเป็น DC มันต้องมี loss (ซึ่งกลายเป็นความร้อน)
                                ดังนั้น Power Efficiency มันเป็นตัววัดประสิทธิภาพในการแปลงเนี่ยแหละครับ

                                ค่า Power Efficiency เราจะใช้สำหรับอธิบาย เปอร์เซ็นต์ในการเปลี่ยนไฟ AC ไปเป็น DC ครับ
                                ก็คือ Power Efficiency = ไฟ AC ที่ได้รับ / ไฟ DC ที่ออกมา * 100
                                ไฟ AC ที่ใช้ในสูตรข้างบนนี้คือ ไฟ AC ที่ PSU ได้รับนะครับ (มีหน่วยเป็น watt)
                                ไม่ใช่ไฟ AC ที่ จ่ายให้ PSU นะครับ (หน่วยเป็น VA)

                                ดังนั้นตัวนี้แหละ ยิ่งสูงยิ่งดี และมีผลต่อค่าไฟบ้าน เพราะว่า ถ้า PSU ที่มี Power Efficiency สูงกว่า
                                ก็แสดงว่าจะใช้ ไฟ AC น้อยกว่า เมื่อเทียบกับ Load DC ที่ใช้ เท่ากันครับ

                                Comment

                                Working...
                                X