
Announcement
Collapse
No announcement yet.
ประกันภัยรถยนต์ ประกันวินาศภัย
Collapse
X
-
ประกันภัยรถยนต์
แบตเตอรี่รถยนต์ ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่าง ๆของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้
เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงาน
ให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆอย่าง ด้วย เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุเครื่องเสียง เป็นต้น
นั่น หมายความว่าแบตเตอรี่รถยนต์จะหมดได้ก็มีอยู่เพียง 2 กรณี นั่นก็คือ
1. เก็บไฟไม่อยู่ หรือ หมดอายุการใช้งาน
2. ไดร์ชาร์จทำงานผิดปกติ หรือ บกพร่อง ซึ่งทำให้ประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้น้อยมาก
ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน หรือ ไม่สามารถประจุไฟเข้าไปได้เลย
แบตเตอรี่มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
1. แบบเปียก นิยม ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ แบ่งย่อยออกได้อีกเป็น 2 แบบ คือ แบบที่ต้องเติม และ
ดูแลน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง กับ แบบไม่ต้องดูแลบ่อย (Maintenance Free)
ซึ่งจะกินน้ำกลั่นน้อยมาก โดยทั้ง 2 แบบนี้จะมีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น
ในแบบแรกนี้จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 1.5-2 ปี แต่ไม่ควรเกิน 3 ปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน
และ การดูแลรักษา ถ้ามีการดูแลรักษาอยู่สม่ำเสมอก็จะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
อย่างไรก็ดีเมื่อถึงอายุการใช้งานของมันก็สมควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้แล้ว
2. แบบแห้ง ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น มีความทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และ มีราคาแพง
แบตเตอรี่รถยนต์แบบแห้งนี้จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 5-10 ปี แบตเตอรี่แบบนี้ไม่มีฝาปิด-เปิด
สำหรับเติมน้ำกลั่น หรือไม่ก็ถูกซีลทับฝาไปเลย แต่จะมีตาแมวไว้สำหรับไว้คอยตรวจเช็คระดับน้ำกรด
และ ระดับไฟชาร์จ
สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม
1. การประจุไฟที่น้อยเกินควร Under Charging
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- เกิดคราบขาวที่แผ่นธาตุของแบตเตอรี่ส่งผลให้ประจุไฟได้ยาก
- ทำให้แผ่นธาตุจะเสื่อมสภาพ
2. การประจุไฟที่มากเกินควร Over Charging
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- น้ำกลั่นแปรสภาพเป็นแก๊สมากทำให้ระดับน้ำกลั่นลดลง
- อุณหภูมิสูงขึ้นมากทำให้แผ่นธาตุเสื่อม
- ทำให้ผงตะกั่วเกิดการสึกกร่อนจากแผ่นธาตุ
- แผ่นธาตุงอโค้ง
- ลดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่
3. การลัดวงจรในช่องแบตเตอรี่ Short Circuit
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- เกิดตะกอนที่อยู่ส่วนล่างของหม้อแบตเตอรี่มากเกินไป
- เกิดจากการแตกหักหรือการเสื่อมสภาพของแผ่นกั้นระหว่างแผ่นธาตุบวก และแผ่นธาตุลบ
4. ปัญหาระบบไฟในรถ
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- การติดเครื่องเสียง สัญญาณกันขโมย อุปกรณ์เสริมในรถเพิ่มเติม (ไฟไม่พอ)
- การเปลี่ยนแปลงขนาดของแบตเตอรี่
- การลัดวงจรของสวิทซ์ไฟต่างๆในรถ
- ประสิทธิภาพการทำงานของไดชาร์จไม่เต็มที่
5. การมีสารอันตรายปะปนในหม้อแบตเตอรี่ Impurity
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- น้ำกรดไม่ได้คุณภาพ
- น้ำกลั่นที่เติมลงไปไม่บริสุทธิ์
- เติมน้ำกลั่นสี (สารหล่อเย็น) ลงไป
6. การเกิดซัลเฟต (Sulfation)
แผ่นธาตุที่มีผลึกซัลเฟตสีขาวเกาะติดอยู่ที่บริเวณแผ่นธาตุ เกิดจาก?..
- ปล่อยทิ้งแบตเตอรี่ไว้นานๆ โดยไม่นำไปใช้
- การประจุไฟที่น้อยเกินไป (Under Charging)
- แผ่นธาตุโผล่พ้นระดับน้ำกรด
ข้อสังเกตเมื่อแบตเตอรี่เสื่อม
1. เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ทติดยาก
2. ไฟหน้าไม่ค่อยสว่าง
3. ระบบกระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง
4. ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปกติ
การเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์
ในการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ลูกใหม่นั้น ถ้าหากว่าไม่ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์อะไร
เพิ่มเติมขึ้นมา เช่น ติดตั้งพวกระบบเครื่องเสียงต่างๆ หรือ ติดตั้งพวกอุปกรณ์เพื่อ
อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้น
เพราะจะเป็นการทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้มีการคำนวณ
และ เลือกขนาดของแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับการใช้งานของรถรุ่นนั้นๆ อยู่แล้ว
แต่ถ้ามีการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมขึ้นมาก็สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้นได้
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกก็คือ แบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้นมักจะมีขนาดของตัวแบตเตอรี่
ใหญ่ขึ้นด้วย ดังนั้นฐานของแบตเตอรี่เดิมติดรถสามารถรองรับได้หรือไม่
ไม่ควรที่จะ เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ โดยไปลดขนาดของแอมป์ลงโดยเด็ดขาด
แต่สามารถเลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้นได้โดยประมาณ 10-30 แอมป์
การดูแลแบตเตอรี่ ให้ถูกวิธีจะช่วยให้เราใช้งานแบตเตอรี่ได้คุ้มค่าที่สุด
1. ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่เสมอ อย่าให้มีรอยแตกร้าว
เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ไม่เก็บประจุไฟฟ้า
2. ดูแลขั้วแบตเตอรี่ให้สะอาดเสมอ ถ้ามีคราบเกลือเกิดขึ้น ให้ทำความสะอาด
3. ตรวจสภาพของระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ทุกๆ 1 สัปดาห์
4. ตรวจเช็กระบบไฟชาร์จของอัลเตอร์เนเตอร์ ว่าระบบไฟชาร์จต่ำหรือสูงไป
ถ้าต่ำไปจะมีผลทำให้กำลังไฟไม่พอใช้ในขณะสตาร์ตเครื่องยนต์
หรือถ้าสูงไปจะทำให้น้ำกรดและน้ำกลั่นอยู่ภายในระเหยเร็วหรือเดือดเร็วได้ ในช่วงเวลาเดียวกัน
5. ช่วงที่มีอากาศหนาวหรืออุณหภูมิต่ำ ประสิทธิภาพการแพร่กระจายของน้ำกรด
และน้ำกลั่นจะด้อยลง เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟมากๆ ขณะอากาศเย็น
6. ควรศึกษาถึงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่และไดชาร์จ
เพื่อที่จะให้วงจรการไหลของไฟฟ้าเป็นไปด้วยดี
7. ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ตามระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมต่ำหรือสูงเกินไป
(เติมสูงไป เป็นสาเหตุหลักทำให้ขี้เกลือขึ้นเร็ว แบตสกปรกเร็ว)
สุดท้าย กรณีรถเสียกลางทางจริงๆ คงหนีไม่พ้นการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ เรามาดูวิธีการพ่วงแบตเตอรี่กันครับ
การพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์
ขั้นตอนที่ 1 ? ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับรถของคุณ
ก่อนอื่น เราต้องหารถอีกคันเพื่อทำการนี้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่า
จะมีใครที่ยอมให้เราพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ของเขา หรือไม่ และจะมีสายพ่วงแบตเตอรี่ที่เหมาะสมด้วย
ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่ที่มีความยาวอย่างน้อย 10 ฟุต เตรียมพร้อมในรถคุณ เพื่อที่จะง่ายสำหรับพ่วงกับรถทุกประเภท
ขั้นตอนที่ 2 ? แน่ใจว่าแบตเตอรี่ของคุณ พ่วงสายได้
หากแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณได้รับความเสียหายก่อนที่จะทำการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์
ไม่ต้องเสียเวลาทำเลย มีหลายวิธีในการตรวจดูว่า เสียหรือไม่
ถ้าแบตเตอรี่ของคุณมีฝาอยู่ ให้ลองดูว่าน้ำกลั่นแข็ง หรือไม่ หากแข็งก็ไม่ต้องดูอย่างอื่นแล้ว
และคุณควรกระโดดถอย***งไม่ต้องพ่วงแบตเตอรี่แล้ว และหากคุณพบรอยแตกที่แบตเตอรี่
เป็นเรื่องร้ายที่สุด และคุณก็ควรถอย***งเช่นกัน
ขั้นตอนที่ 3 ? ขั้นตอนก่อนการพ่วงสายแบตเตอรี่
หลังจากตรวจดูว่า เราจะทำการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ได้ หรือไม่
ต้องตรวจเช่นกันว่าแบตเตอรี่ของรถคันอื่นมีกระแสไฟตรงกับรถคุณหรือไม่ด้วย
มันอาจจะตรงกันแต่ตรวจสอบก่อนดีกว่า และควรดับเครื่องรถทั้งสองคันก่อนการพ่วงสายแบตเตอรี่
ขั้นตอน 4 ? พ่วงสายแบตเตอรี่
ที่แบตเตอรี่แต่ละตัว จะมีขั้วโลหะสองขั้ว อันหนึ่งเป็นขั้วบวก (+) และอีกอันเป็นขั้วลบ (-)
หนีบสายพ่วงที่เป็นขั้วบวกที่รถทั้งสองคันให้ตรงกัน จากนั้นหนีบสายพ่วงขั้วลบเข้ากับรถที่มีแบตเตอรี่เต็ม
ส่วนอีกด้านต่อกับตัวถังรถของคันที่แบตเตอรี่หมด อย่าให้สายขั้วลบไปแตะกับแบตเตอรีที่หมดหรือ
ตำแหน่งอื่นๆที่อยู่ใกล้กับ แบตเตอรี่
ขั้นตอนที่ 5 ? สตาร์ทเครื่องยนต์!
ติดเครื่องรถคันที่มีแบตเตอรี่เต็มและทิ้งเอาไว้สักพัก หลังจากนั้นให้ลองสตาร์ทเครื่องรถอีกคัน
ถ้าไม่ได้ ให้ทิ้งเอาไว้อีกสักพักแล้วลองใหม่
ขั้นตอนที่ 6 ? เดินทางสู่จุดหมาย!
ถอดสายพ่วงออกจากรถที่มีแบตเตอรี่ก่อน แล้วจึงถอดจากคันที่มาขอพ่วง แล้วออกรถไปได้เลย
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.toyotanon.com และ oknation.net
Comment
Comment