ก่อนหน้านี้ผมเคยให้คำปรึกษาพี่คนหนึ่ง ซึ่งผมขออนุญาตนำเรื่องนี้มาเป็นเรื่องเตือนใจให้กับท่านอื่นๆนะครับ เป็นเคสที่น่าสนใจพอสมควร พฤติการณ์โดยย่้อคือ ผู้ต้องที่1หาโทรมาสั่งซื้อสินค้าเป็นฮาร์ดดิสก์จำนวน3ลูก โดยแจ้งว่าเป็นลูกค้าเก่า โดยแจ้งกับผู้เสียหายอีกว่า จะโอนเงินให้ก่อน1ลูก และให้แฟนของผู้ต้องหาที่1มานัดเจอเพื่อรับของไป วันต่อมาจึงได้นัดรับของกัน และฝ่ายผู้ต้องหาที่2(แฟนผู้ต้องหาที่1)ได้มารับของไปโดยวันรับของแจ้งว่า ตอนนี้ยังไม่มีเงิน แต่ถ้ามีแล้วจะจ่ายส่วนที่เหลือให้ ส่วนของยังไม่ต้องให้ก็ได้ ด้วยความที่ผู้เสียหายไว้ใจจึงให้ไปทั้งหมด3ลูก โดยไม่ได้ตรวจสอบSlipที่แจ้งว่าโอนเงินลูกแรกด้วยหรือไม่ ต่อมาไม่นาน ผู้เสียหายได้พยายามติดต่อไปยังผู้ต้องหาทั้งสอง แต่ผู้ต้องหาแจ้งว่าจะรีบไปโอนให้โดยเร็วแต่ก็ไม่มีการดำเนินการอย่างไรเกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นผู้เสียหายไม่สามารถติดต่อกับผู้ต้องหาที่1และที่2ได้อีก
หลักฐานที่มีคือเบอร์โทรศัพท์และเลขบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง เบอร์โทรศัพท์ดังกล่าว เป็นเบอร์ใหม่ที่ไม่ใช่เบอร์จดทะเบียน จึงไม่สามารถทราบรายละเอียดอื่นๆไำด้
เคสนี้ ผมไม่แน่ใจว่าพี่คนนั้นได้ดำเนินการอย่างไรไปแล้วบ้างจากที่ผมแนะนำ และไม่ทราบว่าสามารถติดตามผู้ต้องหาทั้งสองได้หรือไม่
กรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น มีความก้ำกึ่งระหว่างคดีอาญา และคดีแพ่ง คือ หากเป็นอาญาจะต้องด้วยฉ้อโกงหรือยักยอก ต้องว่ากัีนในพฤติการณ์อย่างละเอียดและชั่งน้ำหนักจากคำให้การของทั้งสองฝ่ายอีกครั้ง แต่ก็อาจเป็นเพียงผิดสัญญาทางแพ่งก็ได้ขึ้นกับวิสัยและพฤติการณ์
ส่วนของในส่วนของกระบวนการยุติธรรมนั้น ตำรวจสามารถดำเนินการได้เฉพาะคดีอาญา การจะตอบว่าเป็นคดีที่สามารถรับเรื่องราวร้องทุกข์ได้หรือไม่นั้น ต้องดูเป็นกรณีๆไป ส่วนคดีแพ่ง ผู้เสียหายต้องฟ้องศาลไล่เบี้ยเอาเองครับ
ขั้นตอนทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว แต่ขอกล่าวอีกครั้งครับ
-รวบรวมพยานหลักฐานเท่าที่มี ไปที่ สน.หรือ สภ. แห่งท้องที่ๆการกระทำความผิดได้เกิดขึ้น เพื่อพบร้อยเวรสอบสวน ปรึกษาข้อกฎหมาย ลงบันทึกประจำวัน เพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป(รีบทำเป็นอันดับแรกก่อนอายุความหมด)
-หากเป็นไปได้ ควรรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามความสามารถที่มีและขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจบุคคลทั่วไปกระทำการ เพื่อลดภาระร้อยเวรครับ(พนักงานสอบสวนงานเยอะมาก ช่วยกันคนละแรงนะ^^)
-จากขั้นตอนที่ผ่านมา หากคดีสามารถรวบรวมรวมพยานหลักฐานได้เพียงพอสำหรับการ แจ้งข้อกล่าวหา ต่อผู้ต้องหาได้จะดำเนินการออกหมายเรียกเพื่อมาให้การต่อข้อกล่าวหาและหาทางออก โดยจะพยายามไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้ในขั้นต้น เพราะความผิดบางข้อหา "เป็นความผิดอันยอมความได้"
-ใจเย็นๆครับ ตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งใช้อารมณ์(เจอบ่อย หนักใจเหมือนกัน)
ตัวบทที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๔๑
ผู้ใด โดยทุจริต หลอกลวง ผู้อื่น ด้วยการแสดง ข้อความ อันเป็นเท็จ หรือ ปกปิดข้อความจริง ซึ่ง ควรบอกให้แจ้ง และ โดยการหลอกลวง ดังว่านั้น ได้ไป ซึ่ง ทรัพย์สิน จาก ผู้ถูกหลอกลวง หรือ บุคคลที่สาม หรือ ทำให้ ผู้ถูกหลอกลวง หรือ บุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือ ทำลาย เอกสารสิทธิ ผู้นั้น กระทำความผิด ฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน สามปี หรือ ปรับไม่เกิน หกพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๔๒
ถ้า การกระทำความผิด ฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ
(๑) แสดงตนเป็น คนอื่น หรือ
(๒) อาศัยความเบาปัญญา ของ ผู้ถูกหลอกลวง ซึ่ง เป็นเด็ก หรือ อาศัยความอ่อนแอแห่งจิต ของ ผู้ถูกหลอกลวง
ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน ห้าปี หรือ ปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๔๓
ถ้า การกระทำความผิด ตาม มาตรา ๓๔๑ ได้กระทำ ด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ ต่อประชาชน หรือ ด้วยการปกปิด ความจริง ซึ่ง ควรบอกให้แจ้ง แก่ประชาชน ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน ห้าปี หรือ ปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
ถ้า การกระทำความผิด ดังกล่าว ในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะ ดังกล่าวใน มาตรา ๓๔๒ อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ หกเดือน ถึง เจ็ดปี และ ปรับตั้งแต่ หนึ่งพันบาท ถึง หนึ่งหมื่นสี่พันบาท
มาตรา ๓๔๖
ผู้ใด เพื่อเอา ทรัพย์สิน ของ ผู้อื่น เป็นของ ตน หรือ ของ บุคคลที่สาม ชักจูง ผู้หนึ่งผู้ใด ให้จำหน่าย โดยเสียเปรียบ ซึ่ง ทรัพย์สิน โดยอาศัยเหตุที่ ผู้ถูกชักจูง มีจิตอ่อนแอ หรือ เป็นเด็กเบาปัญญา และ ไม่สามารถ เข้าใจตามควร ซึ่ง สารสำคัญ แห่งการกระทำของ ตน จนผู้ถูกชักจูง จำหน่าย ซึ่ง ทรัพย์สินนั้น ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน สองปี หรือ ปรับไม่เกิน สี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๔๘
ความผิดใน หมวดนี้ นอกจาก ความผิด ตาม มาตรา ๓๔๓ เป็นความผิด อันยอมความได้
โดยมีบทความความเห็นทางกฎหมาย ให้อ่านเพื่อเป็นวิทยาทานดังนี้ครับ
ลักษณะการกระทำอย่างไร เป็นความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์
ลักษณะการกระทำอย่างไร เป็นความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ พอสรุป ได้ดังนี้
1. ต้องมีการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
2. ข้อความนั้นต้องเป็นเท็จและต้องเป็นเหตุการณ์ในอดีตหรือปัจจุบัน ไม่ใช่เหตุการณ์ในอนาคต เว้นแต่เหตุการณ์ในอนาคตนั้นพออนุมานได้ว่าเป็นการแสดงถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันรวมอยู่ด้วย
3. ผู้กระทำต้องรู้ข้อความนั้นเป็นเท็จ และต้องเป็นการกล่าวยืนยันข้อความนั้น ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือคาดคะเนหรือเพียงให้คำมั่นสัญญาแม้จะไม่ ตรงกับความจริงก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
4. การแสดงข้อความเท็จนั้น อาจเป็นเท็จต่อเพียงบางส่วนก็ได้ ไม่จำต้องเท็จทั้งหมด
5. การหลอกลวงนั้นต้องกระทำก่อนที่จะได้ทรัพย์สิน จากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ถ้าได้ทรัพย์มาในความครอบครองก่อนแล้ว จึงหลอกลวงไม่เป็นฉ้อโกง
6. การหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ถ้าเขาหลงเชื่อและส่งมอบทรัพย์หรือยอมให้ทรัพย์สินนั้นไปด้วยความเต็มใจ เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ถ้าผู้ถูกหลอกลวงไม่หลงเชื่อหรือหลงเชื่อแต่ยังไม่ยินยอมให้เอาทรัพย์นั้นไป ถ้าผู้ที่หลอกลวงหยิบเอาทรัพย์นั้นไปเองหรือหลอกลวงเพื่อให้ทำการลักทรัพย์ได้สะดวกขึ้นเท่านั้นเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ฉ้อโกง
7. การแสดงข้อความอันเป็นเท็จนั้น อาจกระทำด้วยทางวาจา กิริยาท่าทาง ลายลักษณ์อักษร เครื่องขยายเสียง วิทยุ โทรทัศน์ หรืออื่นๆก็ได้ กฎหมายไม่จำกัดเฉพาะทางวาจาเท่านั้น
8. การปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง คือจะต้องรู้ความจริงแล้วนิ่งเสียไม่ยอมบอกให้เขาทราบเพื่อจะให้ได้ทรัพย์สิน ฯ อาจกระทำโดยกิริยา ท่าทาง หรืออย่างอื่นๆก็ได้
9. การแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งในกรณีที่เกี่ยวกับการโฆษณาสินค้า หรือการขายของ แม้จะเกินความจริงไปบ้างก็ยังไม่ถือว่าเป็นการฉ้อโกงเพราะบุคคลทั่วไปก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี แต่ถ้ามีเจตนาที่จะหลอกลวงเพื่อทำการฉ้อโกงโดยตรงก็เป็นความผิดเกี่ยวกับการค้า ตาม มาตรา 271 ได้
10. การหลอกลวงนั้นต้องทำให้เขาหลงเชื่อและได้ไปซึ่งทรัพย์สิน หรือ ทำให้เขาทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว หากให้เพราะความสงสารหรือเพื่อจะเอาเป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีหรือไม่เชื่อจึงไม่ให้ทรัพย์ หรือเชื่อแต่ไม่ให้ทรัพย์หรือไม่มีทรัพย์จะให้ ดังนี้ เป็นเพียงความผิดฐานพยายามฉ้อโกง
11. การได้ทรัพย์สินหรือให้ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธินั้น ไม่จำกัดว่าจะต้องได้ไปจากผู้ถูกหลอกลวง แต่รวมถึงบุคคลที่สามด้วย แต่บุคคลนั้นต้องมีการครอบครองเหนือทรัพย์นั้นด้วย ถ้าผู้ที่มอบให้ไม่มีการครอบครองเหนือทรัพย์นั้น ผู้เอาไปผิดฐานลักทรัพย์ ดูฎีกาที่ 207/2512
12. ความผิดฐานฉ้อโกง การได้ทรัพย์นั้น ไม่จำกัดเฉพาะทรัพย์แต่อย่างเดียว แต่รวมถึงทรัพย์สิน สิทธิบางอย่างและให้ทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิด้วย
13. ในกรณีที่ให้ทำ ถอนหรือทำลายเอกสารนั้น ต้องเป็นเอกสารสิทธิ ถ้าไม่ใช่เอกสารสิทธิ เป็นเอกสารธรรมดา ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
14. ความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำต้องมีเจตนาทุจริตมาก่อนหรือในขณะ
หลอกลวงอันเป็นเหตุให้ได้ทรัพย์นั้น ถ้าผู้กระทำมีเจตนาทุจริตขึ้นในภายหลังไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่ผิดฐานยักยอก
15. ความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ต้องหลอกลวงเอาทรัพย์ของผู้อื่น การหลอกลวงเอาทรัพย์ของตนเองไปจากผู้อื่นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ดูฎีกาที่ 16/2510
16. ความผิดฐานฉ้อโกง ต้องเป็นการหลอกลวงให้เขาส่งทรัพย์ให้ แต่การ
หลอกลวงเพื่อเอาทรัพย์ไปส่งคืน แม้เป็นเท็จก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
เครดิต::พี่ พ.ต.ท.ศักกพล สุขปาน (http://www.lawyerthai.com/articles/law/018.php)
หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัย ณ ที่นี้ครับ ยินดีน้อมรับฟังความเห็นจากทุกท่านครับ
หลักฐานที่มีคือเบอร์โทรศัพท์และเลขบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง เบอร์โทรศัพท์ดังกล่าว เป็นเบอร์ใหม่ที่ไม่ใช่เบอร์จดทะเบียน จึงไม่สามารถทราบรายละเอียดอื่นๆไำด้
เคสนี้ ผมไม่แน่ใจว่าพี่คนนั้นได้ดำเนินการอย่างไรไปแล้วบ้างจากที่ผมแนะนำ และไม่ทราบว่าสามารถติดตามผู้ต้องหาทั้งสองได้หรือไม่
กรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น มีความก้ำกึ่งระหว่างคดีอาญา และคดีแพ่ง คือ หากเป็นอาญาจะต้องด้วยฉ้อโกงหรือยักยอก ต้องว่ากัีนในพฤติการณ์อย่างละเอียดและชั่งน้ำหนักจากคำให้การของทั้งสองฝ่ายอีกครั้ง แต่ก็อาจเป็นเพียงผิดสัญญาทางแพ่งก็ได้ขึ้นกับวิสัยและพฤติการณ์
ส่วนของในส่วนของกระบวนการยุติธรรมนั้น ตำรวจสามารถดำเนินการได้เฉพาะคดีอาญา การจะตอบว่าเป็นคดีที่สามารถรับเรื่องราวร้องทุกข์ได้หรือไม่นั้น ต้องดูเป็นกรณีๆไป ส่วนคดีแพ่ง ผู้เสียหายต้องฟ้องศาลไล่เบี้ยเอาเองครับ
ขั้นตอนทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว แต่ขอกล่าวอีกครั้งครับ
-รวบรวมพยานหลักฐานเท่าที่มี ไปที่ สน.หรือ สภ. แห่งท้องที่ๆการกระทำความผิดได้เกิดขึ้น เพื่อพบร้อยเวรสอบสวน ปรึกษาข้อกฎหมาย ลงบันทึกประจำวัน เพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป(รีบทำเป็นอันดับแรกก่อนอายุความหมด)
-หากเป็นไปได้ ควรรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามความสามารถที่มีและขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจบุคคลทั่วไปกระทำการ เพื่อลดภาระร้อยเวรครับ(พนักงานสอบสวนงานเยอะมาก ช่วยกันคนละแรงนะ^^)
-จากขั้นตอนที่ผ่านมา หากคดีสามารถรวบรวมรวมพยานหลักฐานได้เพียงพอสำหรับการ แจ้งข้อกล่าวหา ต่อผู้ต้องหาได้จะดำเนินการออกหมายเรียกเพื่อมาให้การต่อข้อกล่าวหาและหาทางออก โดยจะพยายามไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้ในขั้นต้น เพราะความผิดบางข้อหา "เป็นความผิดอันยอมความได้"
-ใจเย็นๆครับ ตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งใช้อารมณ์(เจอบ่อย หนักใจเหมือนกัน)
ตัวบทที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๔๑
ผู้ใด โดยทุจริต หลอกลวง ผู้อื่น ด้วยการแสดง ข้อความ อันเป็นเท็จ หรือ ปกปิดข้อความจริง ซึ่ง ควรบอกให้แจ้ง และ โดยการหลอกลวง ดังว่านั้น ได้ไป ซึ่ง ทรัพย์สิน จาก ผู้ถูกหลอกลวง หรือ บุคคลที่สาม หรือ ทำให้ ผู้ถูกหลอกลวง หรือ บุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือ ทำลาย เอกสารสิทธิ ผู้นั้น กระทำความผิด ฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน สามปี หรือ ปรับไม่เกิน หกพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๔๒
ถ้า การกระทำความผิด ฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ
(๑) แสดงตนเป็น คนอื่น หรือ
(๒) อาศัยความเบาปัญญา ของ ผู้ถูกหลอกลวง ซึ่ง เป็นเด็ก หรือ อาศัยความอ่อนแอแห่งจิต ของ ผู้ถูกหลอกลวง
ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน ห้าปี หรือ ปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๔๓
ถ้า การกระทำความผิด ตาม มาตรา ๓๔๑ ได้กระทำ ด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ ต่อประชาชน หรือ ด้วยการปกปิด ความจริง ซึ่ง ควรบอกให้แจ้ง แก่ประชาชน ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน ห้าปี หรือ ปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
ถ้า การกระทำความผิด ดังกล่าว ในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะ ดังกล่าวใน มาตรา ๓๔๒ อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ หกเดือน ถึง เจ็ดปี และ ปรับตั้งแต่ หนึ่งพันบาท ถึง หนึ่งหมื่นสี่พันบาท
มาตรา ๓๔๖
ผู้ใด เพื่อเอา ทรัพย์สิน ของ ผู้อื่น เป็นของ ตน หรือ ของ บุคคลที่สาม ชักจูง ผู้หนึ่งผู้ใด ให้จำหน่าย โดยเสียเปรียบ ซึ่ง ทรัพย์สิน โดยอาศัยเหตุที่ ผู้ถูกชักจูง มีจิตอ่อนแอ หรือ เป็นเด็กเบาปัญญา และ ไม่สามารถ เข้าใจตามควร ซึ่ง สารสำคัญ แห่งการกระทำของ ตน จนผู้ถูกชักจูง จำหน่าย ซึ่ง ทรัพย์สินนั้น ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน สองปี หรือ ปรับไม่เกิน สี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๔๘
ความผิดใน หมวดนี้ นอกจาก ความผิด ตาม มาตรา ๓๔๓ เป็นความผิด อันยอมความได้
โดยมีบทความความเห็นทางกฎหมาย ให้อ่านเพื่อเป็นวิทยาทานดังนี้ครับ
ลักษณะการกระทำอย่างไร เป็นความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์
ลักษณะการกระทำอย่างไร เป็นความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ พอสรุป ได้ดังนี้
1. ต้องมีการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
2. ข้อความนั้นต้องเป็นเท็จและต้องเป็นเหตุการณ์ในอดีตหรือปัจจุบัน ไม่ใช่เหตุการณ์ในอนาคต เว้นแต่เหตุการณ์ในอนาคตนั้นพออนุมานได้ว่าเป็นการแสดงถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันรวมอยู่ด้วย
3. ผู้กระทำต้องรู้ข้อความนั้นเป็นเท็จ และต้องเป็นการกล่าวยืนยันข้อความนั้น ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือคาดคะเนหรือเพียงให้คำมั่นสัญญาแม้จะไม่ ตรงกับความจริงก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
4. การแสดงข้อความเท็จนั้น อาจเป็นเท็จต่อเพียงบางส่วนก็ได้ ไม่จำต้องเท็จทั้งหมด
5. การหลอกลวงนั้นต้องกระทำก่อนที่จะได้ทรัพย์สิน จากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ถ้าได้ทรัพย์มาในความครอบครองก่อนแล้ว จึงหลอกลวงไม่เป็นฉ้อโกง
6. การหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ถ้าเขาหลงเชื่อและส่งมอบทรัพย์หรือยอมให้ทรัพย์สินนั้นไปด้วยความเต็มใจ เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ถ้าผู้ถูกหลอกลวงไม่หลงเชื่อหรือหลงเชื่อแต่ยังไม่ยินยอมให้เอาทรัพย์นั้นไป ถ้าผู้ที่หลอกลวงหยิบเอาทรัพย์นั้นไปเองหรือหลอกลวงเพื่อให้ทำการลักทรัพย์ได้สะดวกขึ้นเท่านั้นเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ฉ้อโกง
7. การแสดงข้อความอันเป็นเท็จนั้น อาจกระทำด้วยทางวาจา กิริยาท่าทาง ลายลักษณ์อักษร เครื่องขยายเสียง วิทยุ โทรทัศน์ หรืออื่นๆก็ได้ กฎหมายไม่จำกัดเฉพาะทางวาจาเท่านั้น
8. การปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง คือจะต้องรู้ความจริงแล้วนิ่งเสียไม่ยอมบอกให้เขาทราบเพื่อจะให้ได้ทรัพย์สิน ฯ อาจกระทำโดยกิริยา ท่าทาง หรืออย่างอื่นๆก็ได้
9. การแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งในกรณีที่เกี่ยวกับการโฆษณาสินค้า หรือการขายของ แม้จะเกินความจริงไปบ้างก็ยังไม่ถือว่าเป็นการฉ้อโกงเพราะบุคคลทั่วไปก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี แต่ถ้ามีเจตนาที่จะหลอกลวงเพื่อทำการฉ้อโกงโดยตรงก็เป็นความผิดเกี่ยวกับการค้า ตาม มาตรา 271 ได้
10. การหลอกลวงนั้นต้องทำให้เขาหลงเชื่อและได้ไปซึ่งทรัพย์สิน หรือ ทำให้เขาทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว หากให้เพราะความสงสารหรือเพื่อจะเอาเป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีหรือไม่เชื่อจึงไม่ให้ทรัพย์ หรือเชื่อแต่ไม่ให้ทรัพย์หรือไม่มีทรัพย์จะให้ ดังนี้ เป็นเพียงความผิดฐานพยายามฉ้อโกง
11. การได้ทรัพย์สินหรือให้ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธินั้น ไม่จำกัดว่าจะต้องได้ไปจากผู้ถูกหลอกลวง แต่รวมถึงบุคคลที่สามด้วย แต่บุคคลนั้นต้องมีการครอบครองเหนือทรัพย์นั้นด้วย ถ้าผู้ที่มอบให้ไม่มีการครอบครองเหนือทรัพย์นั้น ผู้เอาไปผิดฐานลักทรัพย์ ดูฎีกาที่ 207/2512
12. ความผิดฐานฉ้อโกง การได้ทรัพย์นั้น ไม่จำกัดเฉพาะทรัพย์แต่อย่างเดียว แต่รวมถึงทรัพย์สิน สิทธิบางอย่างและให้ทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิด้วย
13. ในกรณีที่ให้ทำ ถอนหรือทำลายเอกสารนั้น ต้องเป็นเอกสารสิทธิ ถ้าไม่ใช่เอกสารสิทธิ เป็นเอกสารธรรมดา ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
14. ความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำต้องมีเจตนาทุจริตมาก่อนหรือในขณะ
หลอกลวงอันเป็นเหตุให้ได้ทรัพย์นั้น ถ้าผู้กระทำมีเจตนาทุจริตขึ้นในภายหลังไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่ผิดฐานยักยอก
15. ความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ต้องหลอกลวงเอาทรัพย์ของผู้อื่น การหลอกลวงเอาทรัพย์ของตนเองไปจากผู้อื่นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ดูฎีกาที่ 16/2510
16. ความผิดฐานฉ้อโกง ต้องเป็นการหลอกลวงให้เขาส่งทรัพย์ให้ แต่การ
หลอกลวงเพื่อเอาทรัพย์ไปส่งคืน แม้เป็นเท็จก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
เครดิต::พี่ พ.ต.ท.ศักกพล สุขปาน (http://www.lawyerthai.com/articles/law/018.php)
หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัย ณ ที่นี้ครับ ยินดีน้อมรับฟังความเห็นจากทุกท่านครับ
Comment