สินค้าทุกชิ้นเป็นของแท้ 100% นำเข้าจาก USA ที่เดียวเท่านั้น
วิธีการสั่งซื้อ
1. สั่งซื้อโดยส่ง pm แจ้งขนาดความจุ และสีที่ต้องการ พร้อมแจ้งวิธีการรับของ จะนัดเจอตาม BTS หรือ MRT (รถไฟใต้ดิน) หรือให้ส่ง ems ฟรีก็ได้ครับ
2. สั่งซื้อทางโทรศัพท์ 081 498-2829
3. สั่งซื้อทาง E-Mail : wicbbl@yahoo.com
การจัดส่งสินค้า
1. ในกรณีโอนเงินเข้าบัญชี แล้วให้จัดส่งทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (ems) นั้น ผมจะสามารถส่ง ems ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดราชการ) ถ้าโอนเงินแล้ว pm แจ้ง หรือโทรแจ้งชื่อ-ที่อยู่ให้ผมทราบก่อนเวลา 21.00 น. ผมจะจัดส่งของให้ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น (ถ้าติดวันหยุดราชการ จะส่งให้ในวันถัดไป)
การส่งสินค้าโดย ems นั้น ผมจะแจ้ง tracking no. ให้ทราบทุกครั้งทาง pm หรือ e-mail หรือ SMS
2. ในกรณีนัดเจอ สามารถนัดเจอผมได้ตาม BTS หรือ MRT (รถไฟใต้ดิน) ทุกสถานี ตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดราชการ) เฉพาะเวลา 12.00-13.00 น. โดยขอความกรุณานัดล่วงหน้าก่อน 1 วัน (ผมจะได้นำสินค้าติดตัวไปด้วย)
ถ้านัดนอกเขต BTS หรือ MRT หรือจะนัดในหยุด ต้องโทรคุยกันก่อนนะครับ เผื่ออยู่ในเส้นการเดินทางของผมก็สามารถไปส่งให้ได้ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------
รูปใบเสร็จการส่งสินค้าตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2017 ครับ
ขาย Sandisk Clip Sport Plus Bluetooth
รุ่นนี้เป็นตัวที่ต่อยอดมาจากรุ่น Clip Sport โดยฟังก์ชั่นการทำงานทุกอย่างเหมือนกันหมด แต่รุ่น Clip Sport Plus จะมี Bluetooth เพิ่มเข้ามาให้ด้วย แต่ตัดช่องใส่ Memory Card ออก ซึ่งทำให้ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำได้
สเปคคร่าวๆ
- ความจุในตัวเครื่อง 16GB
- หน้าจอสีขนาด 1.44" TFT 1.44" (128x128 pixels) สามารถโชว์ปกอัลบั้มได้
- รองรับไฟล์เพลงประเภท MP3, WMA (NO DRM), AAC, (DRM free iTunes) WAV, FLAC, Audible (DRM only)
- ฟังวิทยุ FM ได้ จุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง เลื่อนได้ทีละ 0.05 (ละเอียดมาก)
- ปรับตั้งบันทึกสถานีวิทยุที่ชอบได้มากถึง 30 สถานี
- มีเมนูภาษาไทย และอ่านไทยได้ รวมทั้งภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย
- มีนาฬิกาจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที และสามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้ด้วย
- ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ
- กันละอองน้ำได้ (ควรเช็ดให้แห้งก่อนใช้งาน)
- ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานถึง 20 ชั่วโมง ตามสเปคที่ผู้ผลิตระบุไว้ แต่การใช้งานจริงอาจจะไม่ถึง ขึ้นอยู่กับ file เพลง และปัจจัยอื่นๆ
อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ in ear (สีเดียวกับตัวเครื่อง) พร้อมจุกยาง 3 คู่ 3 ขนาด
3. สาย USB สำหรับซิงค์เพื่อลงเพลง และชาร์จไฟ
4. คู่มือ
การลงเพลงไม่ต้องติดตั้งหรือลงผ่านโปรแกรมใดๆ สามารถเสียบสาย USB เชื่อมต่อกับเครื่อง PC แล้วลากวางได้เลยครับ
Sandisk Clip Sport มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 3 สี คือสีดำ สีน้ำเงิน และสีแดง
เป็นของใหม่มือหนึ่งทุกกล่องนะครับ
เลื่อนลงไปดูรีวิวได้ที่ด้านล่างครับ
ขายราคากล่องละ 2,950 บาท ส่ง ems ฟรี เหลือสีดำ และสีน้ำเงิน
สินค้าทั้งหมดนำเข้าจาก USA เป็นของใหม่ในกล่อง ไม่มีประกันนะครับ แต่ผมประกันใจให้ 7 วัน ถ้าเครื่องเสีย หรือมีปัญหาจากการใช้งานโดยปกติ ผมเปลี่ยนตัวใหม่ให้ครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ขาย Sandisk Clip Sport Plus Bluetooth 16GB(REFURBISHED)
เป็นสินค้า REFURBISHED
สินค้า Refurbished คืออะไร?
คือสินค้าที่ลูกค้าซื้อจากร้านค้าไปแล้วนำกลับมาขอเคลม สาเหตุจากเครื่องมีปัญหา เช่น ปุ่มกดไม่ทำงาน เครื่องค้าง หูฟังเสียงดังข้างเดียว ฯลฯ หรือเครื่องอาจจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ลูกค้าขอคืน (ในอเมริกากฏหมายคุ้มครองผู้บริโภคดีมาก หากซื้อไปแล้วไม่พอใจ สามารถนำกลับมาคืนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดครับ เช่น 15 วัน 30 วัน เป็นต้น) พอร้านค้ารับสินค้าที่นำมาเคลมจากลูกค้าแล้ว ก็จะส่งกลับคืนทางบริษัท จากนั้นก็จะถูกส่งกลับเข้าโรงงานผลิต เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนอะไหล่ ต่างๆ โดยสรุปก็คือทำให้เหมือนของใหม่ทุกประการ แล้วทำการทดสอบการทำงานของเครื่องว่าใช้งานได้ปกติไม่มีปัญหาใดๆ จากนั้นจึงนำออกขายเป็นสินค้า Refurbished โดยมีอุปกรณ์ครบเหมือนของใหม่ทุกประการ เพียงแต่ไม่มีกล่องเท่านั้นเองครับ
อุปกรณ์มี
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ earbuds
3. สาย USB
มีสีดำสีเดียว
ขายราคา ของหมดครับ บาท
---------------------------------------------------------------------------------------------
รีวิว Sandisk Clip Sport Plus Bluetooth
ในที่สุด Sandisk ก็ออกเครื่องเล่น mp3 ที่มี Bluetooth ออกมาเป็นที่เรียบร้อยจนได้ตามกระแสของโลกดิจิตอลในยุคไร้สาย นับว่าเป็นเครื่องเล่น mp3 ที่มี Bluetooth รุ่นแรกของ Sandisk เลยครับ โดยใช้ชื่อว่า Sandisk Clip Sport Plus ซึ่งเป็นการเอาเครื่องรุ่น Clip Sport มาเพิ่มฟังก์ชั่น Bluetooth เข้าไป พร้อมปรับแต่งหน้าตาเล็กน้อย และเติมคำว่า Plus ต่อท้าย
Clip Sport Plus รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้กันละอองน้ำได้ด้วย เหมาะสำหรับการนำติดตัวไปทำกิจกรรมแบบลุยๆ ได้ ตัวเครื่องมีสีให้เลือกทั้งหมด 3 สีคือ สีดำ สีน้ำเงิน และสีแดง โดยมีหน่วยความจำในตัว 16GB ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ รูปร่างหน้าตา และฟังก์ชั่นหลักๆ เหมือนกับรุ่น Clip Sport เลย
(คลิกอ่านรีวิวของ Clip Sport ได้ที่นี่ https://pantip.com/topic/32169205)
เรามาเริ่มแกะกล่องเจ้า Clip Sport Plus กันครับ ผมขอเลือกตัวเครื่องสีดำเป็นตัวที่จะมารีวิวนะครับ เมื่อแกะกล่องกระดาษออกมา ก็จะพบกล่องพลาสติกที่ใส่ตัวเครื่องไว้อีกชั้นนึง ภายในกล่องก็จะมี หูฟังแบบ in ear สาย Micro USB และคู่มือมาให้
ด้านหน้าของตัวเครื่อง ครึ่งบนจะเป็นหน้าจอขนาด 1.44 นิ้ว ส่วนครึ่งล่างจะเป็นแป้นควบคุมสี่ทิศทางและปุ่มเปิด-ปิดเครื่องจะอยู่ตรงกลางที่เป็นวงรียาวๆ นั่นแหละครับ
ด้านข้างขวาของตัวเครื่อง จะมีช่องเสียบหูฟัง ถ้าจะใช้ต้องเปิดแผ่นยางที่ปิดช่องหูฟังออกมาก่อน
ด้านข้างซ้ายของตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบสาย USB สำหรับซิงค์เพื่อลงเพลง และชาร์จไฟ โดยมีแผ่นยางปิดไว้ ถ้าจะใช้ก็ต้องแกะเปิดออกมาเหมือนกับช่องหูฟัง ผมฟันธงได้เลยว่า ถ้าใช้ไปนานๆ แผ่นยางที่ต้องแกะเปิด-ปิดบ่อยๆ นี้มันจะต้องหลุดแน่นอนครับ อันนี้จากประสบการณ์ที่เคยใช้เครื่องเล่น mp3 รุ่นเก่าที่มีลักษณะนี้มาแล้ว
ใกล้ๆ กันกับช่อง USB ก็จะเป็นปุ่มกดเร่ง-ลดเสียงครับ
ด้านบน และด้านล่างของตัวเครื่องจะเรียบๆ ไม่มีปุ่มกดใดๆ ครับ
ส่วนด้านหลังของตัวเครื่องจะเป็นคลิปหนีบ ซึ่งช่วยให้เราสามารถใช้คลิปหนีบติดกับเข็มขัด กระเป๋ากางเกง หรือที่กระเป๋าเสื้อติดตัวไปไหนต่อไหนได้อย่างสบาย
ขนาดของตัวเครื่อง Clip Sport Plus นั้นจะใหญ่กว่า Clip Sport อยู่เล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นความกว้าง ยาว และหนา (ในรูป Clip Sport Plus อยู่ด้านซ้าย)
แต่ก็ยังจับได้ถนัดมืออยู่เหมือนเดิมครับ
การเปิดเครื่อง ให้กดปุ่มตรงกลางค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ก็จะเห็นโลโก้ Sandisk แสดงที่หน้าจอ
ในการเปิดเครื่องเป็นครั้งแรก จะต้องตั้งค่าเครื่องก่อนนะครับ (ทำครั้งเดียว) โดยเครื่องจะให้เลือกภาษาก่อน ซึ่งมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย หลักๆ ก็คือ อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย
เมื่อเลือกภาษาที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่เมนูของการเลือกภูมิภาค (Region) ให้เลือกเป็น Rest of World นะครับ เพราะถ้าเลือกเป็น Europe จะถูกข้อจำกัดในเรื่องของเสียง (Volume Limit) แต่ถ้าเผลอกดเลือกเป็น Europe ก็สามารถไป Restore ให้กลับไปที่ Factory Setting เพื่อเริ่มตั้งค่าใหม่ได้ครับ
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่เมนูหลักๆ ได้แก่ Music, Radio, Books, Folder, Card, Sport และ Settings
สำหรับการแสดงชื่อภาษาไทยในรุ่นนี้ทำได้เกือบสมบูรณ์แบบแล้วครับ
ผมจะไม่พูดถึงฟังก์ชั่นในแต่ละเมนูนะครับ เพราะมันจะเหมือนกันกับรุ่น Clip Sport ที่ผมเคยรีวิวไว้เลย โดยจะขอข้ามไปที่เมนูหลักที่สำคัญของมันเลย นั่นก็คือการใช้ Bluetooth
การใช้งาน Bluetooth ก็ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด ให้เตรียมหูฟังที่มี Bluetooth ไว้พร้อมกับเปิด Bluetooth ด้วย ในที่นี่ผมเลือกใช้หูฟัง Bose SoundLink aroud-ear wireless II นะครับ
ส่วนที่ตัวเครื่องเล่นให้เลือกเมนู Bluetooth แล้วกดเลือก Bluetooth ให้เป็น On จากนั้นกดเลือก Search Devices แล้วรอให้มันค้นหาซักพักก็จะเจอหูฟังที่จะนำมาเชื่อมต่อ
จากนั้นก็กดเลื่อนลงมาเลือกชื่อหูฟังเพื่อทำการเชื่อมต่อกัน รอไม่นานก็สามารถเชื่อมต่อกันสำเร็จ โดยจะสังเกตุเห็นจากหน้าจอว่ามีเครื่องหมายถูกอยู่ข้างหน้าชื่อของหูฟังด้วย
และมันยังสามารถจดจำอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อกับตัวเครื่องได้มากกว่า 1 ด้วยครับ
ผมหยิบหุฟังมาคาดหัว แล้วเริ่มเปิดเพลงทดลองฟังเสียงโดยปิด Bluetooth และเสียบสายหูฟังต่อตรงกับเครื่องเล่นดูก่อน เสียงที่ได้นั้นดีไม่ต่างเหมือนกับรุ่น Clip Sport เลยครับ
ทีนี้ผมลองฟังแบบเปิดใช้ Bluetooth ดูบ้าง นึกอยู่ในใจว่าเสียงที่ได้คงจะ drop ลงกว่าการใช้หูฟังแบบมีสาย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติของการใช้หูฟัง Bluetooth อยู่แล้ว จากการฟังครั้งแรก 2-3 เพลง พบว่าเสียง drop ลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีความคมชัดในทุกย่านเสียง รายละเอียดเสียงยังมาครบ โดยรวมแล้วนับว่าเสียงดีใช้ได้เลยทีเดียวครับ
บทสรุป
ข้อดี
- มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
- ตัวเครื่องกันละอองน้ำ
- มี Bluetooth
ข้อเสีย
- ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำได้
เปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่าง Clip Sport Plus และ Clip Sport
---------------------------------------------------------------------------------------------
ขาย Sandisk Clip Jam MP3 Player จิ๋วแต่แจ๋ว
Sandisk Clip Jam เป็นเครื่องเล่น MP3 รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Sandisk โดยที่ยังคงรูปแบบเดิมๆ คือสะดวกในการพกพาสำหรับเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือปั่นจักรยาน หรือเอาไปฟังในระหว่างการเล่นฟิตเนส โดยใช้คลิปหนีบที่ด้านหลังเครื่องหนีบติดกับเสื้อ หรือสายรัดข้อมือให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับเพลงโปรดของคุณในขณะที่กำลังออกกำลังกาย สำหรับความจุนั้นมีความจุเดียวคือ 8 GB ครับ พร้อมรองรับช่องเสียบการ์ดเพิ่มหน่วยความจำด้วย
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอขาวดำขนาด 0.96 นิ้ว (128x64 pixels)
- รองรับไฟล์เพลงประเภท MP3, WMA (NO DRM), AAC, WAV and Audible (DRM only) และ FLAC
- ฟังวิทยุ FM ได้ จุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง เลื่อนได้ทีละ 0.05 (ละเอียดมาก)
- ปรับตั้งบันทึกสถานีวิทยุที่ชอบได้มากถึง 30 สถานี
- ความจุในตัวเครื่อง 8GB และสามารถเพิ่ม Memory ได้สูงสุดถึง 32GB โดยใช้ Micro SDHC Card
- มีเมนูภาษาไทย และอ่านไทยได้ แต่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก
รวมทั้งภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย
- มีนาฬิกาจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที และสามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้ด้วย
- ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ
- ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานถึง 18 ชั่วโมง ตามสเปคที่ผู้ผลิตระบุไว้ แต่การใช้งานจริงอาจจะไม่ถึง ขึ้นอยู่กับ file เพลง และปัจจัยอื่นๆ
คลิกเพื่อดูคลิป VDO
https://www.youtube.com/watch?v=duD86DWcrww
อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ earbuds
3. สาย USB
4. คู่มือ
การลงเพลงไม่ต้องติดตั้งหรือลงผ่านโปรแกรมใดๆ สามารถเสียบสาย USB เชื่อมต่อกับเครื่อง PC แล้วลากวางได้เลยครับ
Sandisk Clip Jam มีความจุอยู่ที่ 8GB มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 6 สีคือ สีดำ น้ำเงิน ส้ม ชมพู แดง และเขียว
เป็นของใหม่มือหนึ่งทุกกล่องนะครับ
ขายราคา 1,950 บาท เหลือสีดำ และชมพูครับ
ส่ง ems ฟรี
สินค้าทั้งหมดนำเข้าจาก USA เป็นของใหม่ในกล่อง ไม่มีประกันนะครับ แต่ผมประกันใจให้ 7 วัน ถ้าเครื่องเสีย หรือมีปัญหาจากการใช้งานโดยปกติ ผมเปลี่ยนตัวใหม่ให้ครับ
ซิลิโคนเคสของ Clip Jam มีให้เลือก 7 สี คือสีดำ เหลือง น้ำเงิน แดง ม่วง เขียว และชมพู
ขายราคาชิ้นละ 190 บาท แต่ถ้าซื้อพร้อมเครื่องคิดราคาชิ้นละ 150 บาท ส่งแบบลงทะเบียนฟรี
สีดำของหมดครับ
มี Micro SD Card Class 10 ขายแล้วครับ ตามคำเรียกร้อง
1. Sandisk Ultra Micro SDHC Card 16GB Class 10 พร้อม Adapter แปลงเป็น SD Card ราคา 350 บาท ราคาพิเศษเมื่อซื้อพร้อมเครื่องเล่น Sandisk คิดเพียง 250 บาท ของหมดครับ
2. Sandisk Ultra Micro SDHC Card 32GB Class 10 พร้อม Adapter แปลงเป็น SD Card ราคา 600 บาท ราคาพิเศษเมื่อซื้อพร้อมเครื่องเล่น Sandisk คิดเพียง 450 บาท
3. Sandisk Ultra Micro SDHC Card 64GB Class 10 พร้อม Adapter แปลงเป็น SD Card ราคา 900 บาท ราคาพิเศษเมื่อซื้อพร้อมเครื่องเล่น Sandisk คิดเพียง 800 บาท
แกะกล่อง Sandisk Clip Jam
ในปีนี้ Sandisk ได้ออกเครื่องเล่น MP3 พกพารุ่นใหม่มาโดยใช้ชื่อรุ่นว่า Sandisk Clip Jam มีขนาดความจุที่ 8GB มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 5 สีคือ สีดำ น้ำเงิน ส้ม ชมพู และเขียว
เมื่อแกะกล่องกระดาษออกมา ก็จะพบตัวเครื่องเล่นหนีบติดกับโครงกระดาษแข็ง ต่างจากรุ่นก่อนๆ ที่ตัวเครื่องจะวางอยู่ในช่องในโครงพลาสติกอีกชั้นนึง ภายในกล่องก็จะมี หูฟังแบบ earbuds พร้อม สาย USB และคู่มือแบบย่อมาให้
ด้านหน้าตัวเครื่อง ในส่วนของครึ่งบนเป็นหน้าจอขนาด 0.96 นิ้ว ในส่วนของครึ่งล่างนั้นจะเป็นแผงควบคุมตัวเครื่อง มีปุ่มกดบน-ล่าง-ซ้าย-ขวา ปุ่ม enter อยู่ตรงกลาง และปุ่มย้อนกลับตรงมุมบนซ้ายของแผงควบคุม
ปุ่มตรงกลางนี่ใช้กดเพื่อเปิด-ปิดเครื่องด้วยนะครับ
ด้านหลังตัวเครื่อง จะเป็นคลิปหนีบขนาดใหญ่ที่สามารถหนีบติดกับเสื้อหรือกางเกงได้อย่างมั่นคงไม่หลุดง่าย
ด้านข้างซ้ายตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบสาย Micro USB และปุ่มกดเพิ่ม-ลดเสียง จะเห็นว่าด้านหลังและรอบข้างตัวเครื่องจะเป็นพลาสติกแบบใสมองเห็นแผงวงจรข้างในเลย ดูแล้วก็สวยไปอีกแบบครับ
ด้านข้างขวาตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบหูฟัง และช่องใส Memory Card แบบ Micro SDHC
ด้านบนและด้านล่างตัวเครื่อง จะโล่งๆ ไม่มีปุ่มกดหรือช่องเสียบใดๆ ทั้งสิ้นครับ
เทียบขนาดให้เห็นกันระหว่าง 3 รุ่นจากซ้ายไปขวาคือ Clip Plus, Clip Jam, Clip Sport
ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า Clip Jam รุ่นนี้เกิดจากการจับเอาดีไซน์ของ Clip Plus และ Clip Sport มารวมกัน นั่นก็คือหน้าจอของ Clip Jam นั้น จะเหมือนกันกับ Clip Plus แต่แผงควบคุมปุ่มกดจะเหมือนกันกับ Clip Sport นะครับ โดยแผงควบคุมนี้จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ กินเนื้อที่เข้าไปครึ่งนึงของตัวเครื่องเลย ทำให้สามารถกดปุ่มต่างๆ ได้อย่างมั่นใจไม่ผิดพลาด เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่นิ้วมือใหญ่
ขนาดตัวเครื่องของ Clip Jam จะเล็กกว่า Clip Sport อยู่เล็กน้อย แต่จะเท่ากันกับ Clip Plus เลยครับ
ขนาดกำลังพอดีเมื่อวางอยู่ในฝ่ามือ
การเปิดเครื่องก็เพียงแต่กดปุ่มตรงกลางค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที หน้าจอก็จะติดขึ้นมาเป็นโลโก้ของ Sandisk จากนั้นก็ทำการเลือกเมนูภาษาที่ต้องการ ซึ่งมีทั้งภาษาอังกฤษ ไทย จีน ญี่ปุ่น และอีกมากมาย
เมื่อเลือกภาษาที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่เมนูของการเลือกภูมิภาค (Region) ให้เลือกเป็น Rest of World นะครับ เพราะถ้าเลือกเป็น Europe จะถูกข้อจำกัดในเรื่องของเสียง (Volume Limit) แต่ถ้าเผลอกดเลือกเป็น Europe ก็สามารถไป Restore ให้กลับไปที่ Factory Setting เพื่อเริ่มตั้งค่าใหม่ได้ครับ
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่เมนูหลักๆ ได้แก่ Music, Radio, Books, Folder, Card, Sport และ Settings เมนูพวกนี้อันไหนที่เราไม่ได้ใช้ก็สามารถซ่อนได้ด้วยนะครับ
การเล่นเพลงนั้น สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเรียงตามอัลบั้ม หรือชื่อเพลง หรือ playlist หรือ folder ก็ได้ครับ
รายชื่อเพลงที่เป็นภาษาไทยถึงจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก แต่ก็อ่านรู้เรื่องครับ
วิทยุ FM เป็นจุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง ปรับเลื่อนได้ทีละ 0.5 ละเอียดมากครับ การรับวิทยุก็ชัดเจนดีมาก
เราสามารถ memory สถานีที่ชอบได้มากถึง 30 สถานีอีกด้วย
Clip Jam ตัวนี้ถูกดีไซน์มาให้ใช้ในขณะออกกำลังกายได้ด้วย โดยมีฟังก์ชั่นของนาฬิกาจับเวลาใส่มาให้ใช้ สามารถจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที
และยังสามารถจับเวลาแบบนับถอยหลังมาให้อีกด้วยครับ
สามารถตั้งเวลาปิดเครื่องเองได้สูงสุดถึง 120 นาที
ผมลองเอา Memory Card 64GB ใส่เข้าไป ก็สามารถรองรับและใช้งานได้โดยไม่มีปัญหาครับ รวมแล้วจะมีความจุสูงสุดอยู่ที่ 72GB เลยทีเดียว นับว่าเยอะมากถ้าเทียบกับขนาดตัวเครื่องที่เล็กเท่ากล่องไม้ขีดไฟ
ต่อไปจะเป็นการทดสอบเสียงของ Clip Jam นะครับ
ก่อนการทดสอบ ผมเปิดเพลงทิ้งไว้เพื่อ burn หูฟัง และตัวเครื่องประมาณ 50 ชั่วโมง ในการทดสอบนี้ผมใช้หูแถมของ Clip Jam นะครับ เสียงที่ได้ฟังโดยรวมนั้นรู้สึกได้ถึงความคมชัด และความแน่นของเสียง ให้รายละเอียดที่ดี ฟังสนุกครับ
ผมลองทดสอบเสียงเทียบกับ Clip Sport โดยใช้เพลง และหูฟังเดียวกันเป็นตัวทดสอบ ปรับ EQ ไปที่ Normal ฟังสลับไปมาทั้ง 2 เครื่อง ปรากฏว่าเสียงของ Clip Jam จะแน่นกว่า เสียงของ Clip Sport จะออกไปในทางโปร่งๆ รายละเอียดของเสียง และการแยกแยะชิ้นดนตรีนั้น ดีพอๆ กันทั้งคู่ ส่วนเรื่องของกำลังขับนั้นก็ทำได้ดีไม่แตกต่างกันเลยครับ
ผมขอสรุปข้อแตกต่างระหว่าง Clip Jam และ Clip Sport ดังนี้ครับ
- ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า
- แบตอยู่ได้นาน 18 ชั่วโมง ในขณะที่ Clip Sport อยู่ได้ประมาณ 25 ชั่วโมง (ตามข้อกำหนดของผู้ผลิต)
- หน้าจอเล็กกว่า และเป็นขาว-ดำ ไม่สามารถโชว์ปกอัลบั้มได้
- หูฟังที่แถมมาเป็นแบบ earbuds ในขณะที่ Clip Sport หูแถมเป็นแบบ in-ear
สรุปโดยรวม
Sandisk Clip Jam ถูกออกแบบตัวเครื่องให้มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้า เพิ่มพื้นที่ปุ่มกดตรงแผงควบคุมให้มากขึ้น
จุดเด่นของ Clip Jam นั้นอยู่ที่ตัวเครื่องที่สวยงาม มีขนาดเล็ก พกพาสะดวก มีสีให้เลือกถึง 5 สี ใช้งานง่ายได้หลากหลายทั้งฟังเพลง วิทยุ และจับเวลา แบตอยู่ได้นานถึง 18 ชั่วโมง และสามารถใส่ memory เพิ่มได้ตามต้องการ
--------------------------------------------------------------------
ขาย Sandisk Clip Sport MP3 Player
Sandisk ได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เครื่องเล่น MP3 พกพารุ่นใหม่ชื่อว่า Sandisk Clip Sport ที่ออกแบบมาให้สะดวกในการพกพาสำหรับเวลาทำกิจกรรมต่างๆนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือปั่นจักรยาน หรือเอาไปฟังในระหว่างการเล่นฟิตเนส โดยใช้คลิปหนีบที่ด้านหลังเครื่องหนีบติดกับเสื้อ หรือสายรัดข้อมือให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับเพลงโปรดของคุณในขณะที่กำลังออกกำลังกาย พร้อมกันนั้นยังมาพร้อมกับจอ LCD ขนาดใหญ่อีกด้วย สำหรับความจุนั้นมีให้เลือกคือ 4 และ 8 GB ครับพร้อมรองรับช่องเสียบการ์ดเพิ่มหน่วยความจำด้วย
Sandisk Clip Sport จัดได้ว่าเป็นรุ่นที่ 3 แล้วต่อจาก Sansa Clip Plus และ Sansa Clip Zip ที่ประสบความสำเร็จครองใจผู้ใช้เครื่องเล่น MP3 ทั่วโลกมาแล้ว
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอสีขนาด 1.44 นิ้ว สามารถโชว์ปกอัลบั้มได้
- รองรับไฟล์เพลงประเภท MP3, WMA, WAV, AAC, Ogg Vorbis, และ FLAC
- ฟังวิทยุ FM ได้ จุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง เลื่อนได้ทีละ 0.05 (ละเอียดมาก)
- ปรับตั้งบันทึกสถานีวิทยุที่ชอบได้มากถึง 30 สถานี
- เพิ่ม Memory ได้สูงสุดถึง 32GB โดยใช้ Micro SDHC Card
- มีเมนูภาษาไทย และอ่านไทยได้ แต่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก (น่าจะมี firmware ออกมาแก้ในไม่ช้า)
รวมทั้งภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย
- มีนาฬิกาจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที และสามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้ด้วย
- ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ
- ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานถึง 25 ชั่วโมง ตามสเปคที่ผู้ผลิตระบุไว้ แต่การใช้งานจริงอาจจะไม่ถึง ขึ้นอยู่กับ file เพลง และปัจจัยอื่นๆ
อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ in-ear (สีเหมือนกันกับตัวเครื่อง) + จุกยาง 3 คู่
3. สาย USB
4. คู่มือ
การลงเพลงไม่ต้องติดตั้งหรือลงผ่านโปรแกรมใดๆ สามารถเสียบสาย USB เชื่อมต่อกับเครื่อง PC แล้วลากวางได้เลยครับ
Sandisk Clip Sport มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 6 สี และ 2 ความจุคือ
ขนาด 4GB มีสีดำ แดง และเหลือง
ขนาด 8GB มีสีดำ น้ำเงิน เหลือง ชมพู และเขียว
เป็นของใหม่มือหนึ่งทุกกล่องนะครับ
ราคาขาย :-
ขนาด 4GB มีสีดำ แดง และเหลือง ราคา 2,000 บาท ของหมดทุกสีครับ
ขนาด 8GB มีสีดำ น้ำเงิน เหลือง ชมพู และเขียว ราคา 2,300 บาท สีน้ำเงินของหมดครับ
ส่ง ems ฟรี
วิธีการสั่งซื้อ
1. สั่งซื้อโดยส่ง pm แจ้งขนาดความจุ และสีที่ต้องการ พร้อมแจ้งวิธีการรับของ จะนัดเจอตาม BTS หรือ MRT (รถไฟใต้ดิน) หรือให้ส่ง ems ฟรีก็ได้ครับ
2. สั่งซื้อทางโทรศัพท์ 081 498-2829
3. สั่งซื้อทาง E-Mail : wicbbl@yahoo.com
สินค้าทั้งหมดนำเข้าจาก USA เป็นของใหม่ในกล่อง ไม่มีประกันนะครับ แต่ผมประกันใจให้ 7 วัน ถ้าเครื่องเสีย หรือมีปัญหาจากการใช้งานโดยปกติ ผมเปลี่ยนตัวใหม่ให้ครับ
ซิลิโคนเคสของ Clip Sport มีให้เลือก 7 สี คือสีดำ เหลือง น้ำเงิน แดง ม่วง เขียว และชมพู สีดำ และสีน้ำเงินของหมดครับ
ขายราคาชิ้นละ 190 บาท แต่ถ้าซื้อพร้อมเครื่องคิดราคาชิ้นละ 150 บาท
ส่งแบบลงทะเบียนฟรี
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขาย Sandisk Clip Sport 8GB (REFURBISHED)
เป็นสินค้า REFURBISHED
สินค้า Refurbished คืออะไร?
คือสินค้าที่ลูกค้าซื้อจากร้านค้าไปแล้วนำกลับมาขอเคลม สาเหตุจากเครื่องมีปัญหา เช่น ปุ่มกดไม่ทำงาน เครื่องค้าง หูฟังเสียงดังข้างเดียว ฯลฯ หรือเครื่องอาจจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ลูกค้าขอคืน (ในอเมริกากฏหมายคุ้มครองผู้บริโภคดีมาก หากซื้อไปแล้วไม่พอใจ สามารถนำกลับมาคืนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดครับ เช่น 15 วัน 30 วัน เป็นต้น) พอร้านค้ารับสินค้าที่นำมาเคลมจากลูกค้าแล้ว ก็จะส่งกลับคืนทางบริษัท จากนั้นก็จะถูกส่งกลับเข้าโรงงานผลิต เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนอะไหล่ ต่างๆ โดยสรุปก็คือทำให้เหมือนของใหม่ทุกประการ แล้วทำการทดสอบการทำงานของเครื่องว่าใช้งานได้ปกติไม่มีปัญหาใดๆ จากนั้นจึงนำออกขายเป็นสินค้า Refurbished โดยมีอุปกรณ์ครบเหมือนของใหม่ทุกประการ เพียงแต่ไม่มีกล่องเท่านั้นเองครับ
อุปกรณ์มี
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ in-ear + จุกยาง 3 คู่
3. สาย USB
มีสีดำ กับสีน้ำเงิน
ขายราคา 1,500 บาท
---------------------------------------------------------------------------------------------
แกะกล่อง Sandisk Clip Sport
เรามาเริ่มแกะกล่องเจ้า Clip Sport กันครับ ผมขอเลือกตัวเครื่องสีเหลืองเป็นตัวทดสอบ เมื่อแกะกล่องกระดาษออกมา ก็จะพบกล่องพลาสติกที่ใส่ตัวเครื่องไว้อีกชั้นนึง ภายในกล่องก็จะมี หูฟังแบบ in-ear พร้อมจุกยางรวม 3 คู่ 3 ขนาด สาย USB และคู่มือมาให้
หูฟังที่แถมมาให้เป็นแบบ in-ear พร้อมด้วยจุกยาง 3 คู่ 3 ชนาด ตัวจุกยาง และสายของหูฟังจะเป็นสีเดียวกับเครื่องด้วยครับ สายของหูฟังเป็นสายแบน ช่วยลดการพันกันของสายได้เป็นอย่างดีครับ ปกติเครื่องเล่น mp3 ของ Sandisk จะให้หูแถมแบบ earbuds ทุกรุ่นเลย Clip Sport น่าจะเป็นรุ่นแรกที่ให้หูแถมเป็นแบบ in-ear ซึ่งจะช่วยกันเสียงจากภายนอกได้ดีกว่าหูแบบ earbuds ครับ
บนหน้าจอของ Clip Zip จะมีสติกเกอร์ปิดอยู่ เมื่อแกะสติ๊กเกอร์ออก ก็จะมองเห็นหน้าจอขนาด 1.44 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า Clip Zip อยู่ประมาณ 0.33 นิ้ว
แป้นควบคุมสี่ทิศทางจะอยู่ด้านล่างสุดเหมือนกับ Clip Zip ครับ ถ้าใครเคยใช้ Clip Zip มาก่อนก็สามารถใช้ Clip Sport ได้อย่างง่ายดายเลยครับ ปุ่มกดเปิด-ปิดเครื่องจะอยู่ด้านหน้าที่เห็นเป็นสีเหลืองนั่นแหละครับ
ด้านหน้าของ Clip Zip เป็นพื้นผิวพลาสติกอาบมัน ยกเว้นตรงแป้นควบคุมจะเป็นผิวแบบด้านๆ หน่อย
ด้านข้างขวาของตัวเครื่อง ช่วงบนจะมีรูเสียบหูฟัง ส่วนช่วงล่างจะเป็นช่องสำหรับใส่ Micro SD Card
ด้านข้างซ้ายของตัวเครื่อง ช่วงบนจะเป็นช่องเสียบสาย USB ถัดลงมาจะเป็นปุ่มกดเร่ง-ลดเสียง จะสังเกตเห็นว่าช่องเสียบสาย USB ของ Clip Sport จะมีขนาดเหมือนกันกับ Clip Zip นั่นแสดงว่าทั้ง 2 รุ่นนี้ ใช้สาย USB แบบ Micro USB ร่วมกันได้ครับ
ด้านข้างของตัวเครื่อง และปุ่มกดตรงกลางด้านหน้าจะเป็นสีตามที่เราได้เลือกซื้อ เช่นถ้าซื้อสีเหลือง ก็จะมีสีเหลืองเดินรอบด้านข้างของตัวเครื่อง ไม่ได้เป็นสีเหลืองทั้งหมดนะครับ
ด้านบน และด้านล่างของตัวเครื่องจะเรียบๆ ไม่มีปุ่มกดใดๆ ครับ
ส่วนด้านหลังของตัวเครื่อง แน่นอนต้องเป็นที่สำหรับใช้งานคลิปหนีบ ซึ่งช่วยให้เราสามารถใช้คลิปหนีบติดกับเข็มขัด กระเป๋ากางเกง หรือที่กระเป๋าเสื้อติดตัวไปไหนต่อไหนได้อย่างสบาย
ตรงส่วนที่เป็นคลิปหนีบของ Clip Sport จะมีขนาดที่ยาวกว่า Clip Zip อยู่เล็กน้อย ทำให้เครื่องสามารถยึดติดได้แน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่เลื่อนหลุดได้ง่ายๆ ครับ
ขนาดกำลังเหมาะ จัดถนัดมือเลยครับ
เมื่อกดปุ่มเปิดเครื่องค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ก็จะเห็นโลโก้ Sandisk แสดงที่หน้าจอ
ในการเปิดเครื่องเป็นครั้งแรก จะต้องตั้งค่าเครื่องก่อนนะครับ (ทำครั้งเดียว) โดยเครื่องจะให้เลือกภาษาก่อน ซึ่งมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย หลักๆ ก็คือ อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย
เมื่อเลือกภาษาที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่เมนูของการเลือกภูมิภาค (Region) ให้เลือกเป็น Rest of World นะครับ เพราะถ้าเลือกเป็น Europe จะถูกข้อจำกัดในเรื่องของเสียง (Volume Limit) แต่ถ้าเผลอกดเลือกเป็น Europe ก็สามารถไป Restore ให้กลับไปที่ Factory Setting เพื่อเริ่มตั้งค่าใหม่ได้ครับ
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่เมนูหลักๆ ได้แก่ Music, Radio, Books, Folder, Card, Sport และ Settings
ในส่วนของ Equalizer (EQ) นั้น มี EQ สำเร็จรูปให้ปรับได้ถึง 10 รุปแบบ และมีแบบ Custom ให้ปรับตั้งเองได้ด้วยครับ
วิทยุ FM เป็นจุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง ปรับเลื่อนได้ทีละ 0.5 ละเอียดมากครับ การรับวิทยุก็ชัดเจนดีมาก
เราสามารถ memory สถานีที่ชอบได้มากถึง 30 สถานีอีกด้วย
Clip Sport ตัวนี้ถูกดีไซน์มาให้ใช้ในขณะออกกำลังกายได้ด้วย โดยมีฟังก์ชั่นของนาฬิกาจับเวลาใส่มาให้ใช้ สามารถจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที
และยังสามารถจับเวลาแบบนับถอยหลังมาให้อีกด้วย ถูกใจคนที่ชอบออกกำลังกายจริงๆ ครับ
ฟังก์ชั่นที่ผมชอบอีกอันหนึ่งคือการตั้งเวลาปิดเครื่อง (Sleep) ที่สามารถตั้งได้นานสุดถึง 120 นาที
ผมลองเอา Memory Card 32GB ใส่เข้าไป ก็สามารถรองรับและใช้งานได้โดยไม่มีปัญหาครับ
การแสดงผลของภาษาไทย ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ตัวอักษรบางตัวเส้นขาดหายไป แต่ก็อ่านรู้เรื่องครับ เพราะสระไม่ได้ลอยแล้ว
ทดสอบเสียงของ Sandisk Clip Sport
ผมใช้หูแถมที่เป็น in-ear ของ Clip Sport เปิดฟังเพลงครั้งแรกเสียงที่ได้ฟังนั้นมีความรู้สึกว่าดนตรีมันทับซ้อนกันอยู่ เสียงออกขุ่นๆ และเบสก็บวมด้วย แต่นั่นคงเป็นเพราะยังไม่ผ่านการ burn เลย ผมจึงเปิดเพลงทิ้งไว้เพื่อ burn หูฟัง ประมาณ 50 ชั่วโมง กลับมาฟังใหม่ เสียงที่ได้ฟังต่างจากครั้งแรกมากมายครับ เสียงดนตรีแยกชิ้นกันได้ดี เสียงกลางแหลมคมชัด เบสก็ไม่บวมแล้ว มาเป็นลูกไม่ใหญ่มากนัก
ผมลองทดสอบเสียบเทียบกับ Clip Zip โดยใช้เพลง และหูฟังเดียวกันเป็นตัวทดสอบ ปรับ EQ ไปที่ Normal ฟังสลับไปมาทั้ง 2 เครื่อง ปรากฏว่าเสียงแทบจะไม่ต่างกันเลยครับ แต่ Clip Sport กำลังขับจะดีกว่า Clip Zip ผมเปิดเสียงไว้ครึ่งนึงเท่ากันทั้ง 2 เครื่อง เสียงใน Clip Zip จะดังน้อยกว่า Clip Sport อย่างเห็นได้ชัดเลยครับ
ดังนั้นผมขอสรุปข้อแตกต่างระหว่าง Clip Sport และ Clip Zip คือ
- ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย
- แบตอยู่ได้นานกว่า เล่นต่อเนื่องได้ประมาณ 25 ชั่วโมง (ตามข้อกำหนดของผู้ผลิต)
- หน้าจอใหญ่กว่า
- กำลังขับดีกว่า
- Clip Sport ไม่มีฟังก์ชั่นอัดเสียง เนื่องจากเน้นใช้งานในขณะทำกิจกรรมต่างๆ มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือปั่นจักรยาน หรือเอาไปฟังในระหว่างการเล่นฟิตเนส
- หูฟังที่แถมมาเป็นแบบ in-ear ทำให้ไม่หลุดง่ายเมื่อใช้ในขณะวิ่ง หรือออกกำลังกาย ในขณะที่ Clip Zip หูแถมเป็นแบบ earbuds
สรุปโดยรวม
Sandisk Clip Sport ได้พัฒนาตัวเครื่องให้ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
จุดเด่นของ Clip Sport นั้นอยู่ที่ตัวเครื่องที่สวยงาม มีขนาดไม่ใหญ่มาก พกพาสะดวก ใช้งานง่ายได้หลากหลายทั้งฟังเพลง วิทยุ และจับเวลา แบตอยู่ได้นานถึง 25 ชั่วโมง และสามารถใส่ memory เพิ่มได้ตามต้องการ
วิธีการสั่งซื้อ
1. สั่งซื้อโดยส่ง pm แจ้งขนาดความจุ และสีที่ต้องการ พร้อมแจ้งวิธีการรับของ จะนัดเจอตาม BTS หรือ MRT (รถไฟใต้ดิน) หรือให้ส่ง ems ฟรีก็ได้ครับ
2. สั่งซื้อทางโทรศัพท์ 081 498-2829
3. สั่งซื้อทาง E-Mail : wicbbl@yahoo.com
การจัดส่งสินค้า
1. ในกรณีโอนเงินเข้าบัญชี แล้วให้จัดส่งทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (ems) นั้น ผมจะสามารถส่ง ems ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดราชการ) ถ้าโอนเงินแล้ว pm แจ้ง หรือโทรแจ้งชื่อ-ที่อยู่ให้ผมทราบก่อนเวลา 21.00 น. ผมจะจัดส่งของให้ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น (ถ้าติดวันหยุดราชการ จะส่งให้ในวันถัดไป)
การส่งสินค้าโดย ems นั้น ผมจะแจ้ง tracking no. ให้ทราบทุกครั้งทาง pm หรือ e-mail หรือ SMS
2. ในกรณีนัดเจอ สามารถนัดเจอผมได้ตาม BTS หรือ MRT (รถไฟใต้ดิน) ทุกสถานี ตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดราชการ) เฉพาะเวลา 12.00-13.00 น. โดยขอความกรุณานัดล่วงหน้าก่อน 1 วัน (ผมจะได้นำสินค้าติดตัวไปด้วย)
ถ้านัดนอกเขต BTS หรือ MRT หรือจะนัดในหยุด ต้องโทรคุยกันก่อนนะครับ เผื่ออยู่ในเส้นการเดินทางของผมก็สามารถไปส่งให้ได้ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------
มีของพร้อมส่ง ส่งจริง ส่งด่วน ส่งเร็วทุกวันทั่วประเทศ โอนวันนี้ พรุ่งนี้เช้าส่งให้ทันที (ยกเว้นตรงกับวันหยุดราชการ)
รูปใบเสร็จการส่งสินค้าตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2017 ครับ
ขาย Sandisk Clip Sport Plus Bluetooth
รุ่นนี้เป็นตัวที่ต่อยอดมาจากรุ่น Clip Sport โดยฟังก์ชั่นการทำงานทุกอย่างเหมือนกันหมด แต่รุ่น Clip Sport Plus จะมี Bluetooth เพิ่มเข้ามาให้ด้วย แต่ตัดช่องใส่ Memory Card ออก ซึ่งทำให้ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำได้
สเปคคร่าวๆ
- ความจุในตัวเครื่อง 16GB
- หน้าจอสีขนาด 1.44" TFT 1.44" (128x128 pixels) สามารถโชว์ปกอัลบั้มได้
- รองรับไฟล์เพลงประเภท MP3, WMA (NO DRM), AAC, (DRM free iTunes) WAV, FLAC, Audible (DRM only)
- ฟังวิทยุ FM ได้ จุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง เลื่อนได้ทีละ 0.05 (ละเอียดมาก)
- ปรับตั้งบันทึกสถานีวิทยุที่ชอบได้มากถึง 30 สถานี
- มีเมนูภาษาไทย และอ่านไทยได้ รวมทั้งภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย
- มีนาฬิกาจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที และสามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้ด้วย
- ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ
- กันละอองน้ำได้ (ควรเช็ดให้แห้งก่อนใช้งาน)
- ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานถึง 20 ชั่วโมง ตามสเปคที่ผู้ผลิตระบุไว้ แต่การใช้งานจริงอาจจะไม่ถึง ขึ้นอยู่กับ file เพลง และปัจจัยอื่นๆ
อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ in ear (สีเดียวกับตัวเครื่อง) พร้อมจุกยาง 3 คู่ 3 ขนาด
3. สาย USB สำหรับซิงค์เพื่อลงเพลง และชาร์จไฟ
4. คู่มือ
การลงเพลงไม่ต้องติดตั้งหรือลงผ่านโปรแกรมใดๆ สามารถเสียบสาย USB เชื่อมต่อกับเครื่อง PC แล้วลากวางได้เลยครับ
Sandisk Clip Sport มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 3 สี คือสีดำ สีน้ำเงิน และสีแดง
เป็นของใหม่มือหนึ่งทุกกล่องนะครับ
เลื่อนลงไปดูรีวิวได้ที่ด้านล่างครับ
ขายราคากล่องละ 2,950 บาท ส่ง ems ฟรี เหลือสีดำ และสีน้ำเงิน
สินค้าทั้งหมดนำเข้าจาก USA เป็นของใหม่ในกล่อง ไม่มีประกันนะครับ แต่ผมประกันใจให้ 7 วัน ถ้าเครื่องเสีย หรือมีปัญหาจากการใช้งานโดยปกติ ผมเปลี่ยนตัวใหม่ให้ครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ขาย Sandisk Clip Sport Plus Bluetooth 16GB(REFURBISHED)
เป็นสินค้า REFURBISHED
สินค้า Refurbished คืออะไร?
คือสินค้าที่ลูกค้าซื้อจากร้านค้าไปแล้วนำกลับมาขอเคลม สาเหตุจากเครื่องมีปัญหา เช่น ปุ่มกดไม่ทำงาน เครื่องค้าง หูฟังเสียงดังข้างเดียว ฯลฯ หรือเครื่องอาจจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ลูกค้าขอคืน (ในอเมริกากฏหมายคุ้มครองผู้บริโภคดีมาก หากซื้อไปแล้วไม่พอใจ สามารถนำกลับมาคืนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดครับ เช่น 15 วัน 30 วัน เป็นต้น) พอร้านค้ารับสินค้าที่นำมาเคลมจากลูกค้าแล้ว ก็จะส่งกลับคืนทางบริษัท จากนั้นก็จะถูกส่งกลับเข้าโรงงานผลิต เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนอะไหล่ ต่างๆ โดยสรุปก็คือทำให้เหมือนของใหม่ทุกประการ แล้วทำการทดสอบการทำงานของเครื่องว่าใช้งานได้ปกติไม่มีปัญหาใดๆ จากนั้นจึงนำออกขายเป็นสินค้า Refurbished โดยมีอุปกรณ์ครบเหมือนของใหม่ทุกประการ เพียงแต่ไม่มีกล่องเท่านั้นเองครับ
อุปกรณ์มี
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ earbuds
3. สาย USB
มีสีดำสีเดียว
ขายราคา ของหมดครับ บาท
---------------------------------------------------------------------------------------------
รีวิว Sandisk Clip Sport Plus Bluetooth
ในที่สุด Sandisk ก็ออกเครื่องเล่น mp3 ที่มี Bluetooth ออกมาเป็นที่เรียบร้อยจนได้ตามกระแสของโลกดิจิตอลในยุคไร้สาย นับว่าเป็นเครื่องเล่น mp3 ที่มี Bluetooth รุ่นแรกของ Sandisk เลยครับ โดยใช้ชื่อว่า Sandisk Clip Sport Plus ซึ่งเป็นการเอาเครื่องรุ่น Clip Sport มาเพิ่มฟังก์ชั่น Bluetooth เข้าไป พร้อมปรับแต่งหน้าตาเล็กน้อย และเติมคำว่า Plus ต่อท้าย
Clip Sport Plus รุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้กันละอองน้ำได้ด้วย เหมาะสำหรับการนำติดตัวไปทำกิจกรรมแบบลุยๆ ได้ ตัวเครื่องมีสีให้เลือกทั้งหมด 3 สีคือ สีดำ สีน้ำเงิน และสีแดง โดยมีหน่วยความจำในตัว 16GB ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ รูปร่างหน้าตา และฟังก์ชั่นหลักๆ เหมือนกับรุ่น Clip Sport เลย
(คลิกอ่านรีวิวของ Clip Sport ได้ที่นี่ https://pantip.com/topic/32169205)
เรามาเริ่มแกะกล่องเจ้า Clip Sport Plus กันครับ ผมขอเลือกตัวเครื่องสีดำเป็นตัวที่จะมารีวิวนะครับ เมื่อแกะกล่องกระดาษออกมา ก็จะพบกล่องพลาสติกที่ใส่ตัวเครื่องไว้อีกชั้นนึง ภายในกล่องก็จะมี หูฟังแบบ in ear สาย Micro USB และคู่มือมาให้
ด้านหน้าของตัวเครื่อง ครึ่งบนจะเป็นหน้าจอขนาด 1.44 นิ้ว ส่วนครึ่งล่างจะเป็นแป้นควบคุมสี่ทิศทางและปุ่มเปิด-ปิดเครื่องจะอยู่ตรงกลางที่เป็นวงรียาวๆ นั่นแหละครับ
ด้านข้างขวาของตัวเครื่อง จะมีช่องเสียบหูฟัง ถ้าจะใช้ต้องเปิดแผ่นยางที่ปิดช่องหูฟังออกมาก่อน
ด้านข้างซ้ายของตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบสาย USB สำหรับซิงค์เพื่อลงเพลง และชาร์จไฟ โดยมีแผ่นยางปิดไว้ ถ้าจะใช้ก็ต้องแกะเปิดออกมาเหมือนกับช่องหูฟัง ผมฟันธงได้เลยว่า ถ้าใช้ไปนานๆ แผ่นยางที่ต้องแกะเปิด-ปิดบ่อยๆ นี้มันจะต้องหลุดแน่นอนครับ อันนี้จากประสบการณ์ที่เคยใช้เครื่องเล่น mp3 รุ่นเก่าที่มีลักษณะนี้มาแล้ว
ใกล้ๆ กันกับช่อง USB ก็จะเป็นปุ่มกดเร่ง-ลดเสียงครับ
ด้านบน และด้านล่างของตัวเครื่องจะเรียบๆ ไม่มีปุ่มกดใดๆ ครับ
ส่วนด้านหลังของตัวเครื่องจะเป็นคลิปหนีบ ซึ่งช่วยให้เราสามารถใช้คลิปหนีบติดกับเข็มขัด กระเป๋ากางเกง หรือที่กระเป๋าเสื้อติดตัวไปไหนต่อไหนได้อย่างสบาย
ขนาดของตัวเครื่อง Clip Sport Plus นั้นจะใหญ่กว่า Clip Sport อยู่เล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นความกว้าง ยาว และหนา (ในรูป Clip Sport Plus อยู่ด้านซ้าย)
แต่ก็ยังจับได้ถนัดมืออยู่เหมือนเดิมครับ
การเปิดเครื่อง ให้กดปุ่มตรงกลางค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ก็จะเห็นโลโก้ Sandisk แสดงที่หน้าจอ
ในการเปิดเครื่องเป็นครั้งแรก จะต้องตั้งค่าเครื่องก่อนนะครับ (ทำครั้งเดียว) โดยเครื่องจะให้เลือกภาษาก่อน ซึ่งมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย หลักๆ ก็คือ อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย
เมื่อเลือกภาษาที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่เมนูของการเลือกภูมิภาค (Region) ให้เลือกเป็น Rest of World นะครับ เพราะถ้าเลือกเป็น Europe จะถูกข้อจำกัดในเรื่องของเสียง (Volume Limit) แต่ถ้าเผลอกดเลือกเป็น Europe ก็สามารถไป Restore ให้กลับไปที่ Factory Setting เพื่อเริ่มตั้งค่าใหม่ได้ครับ
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่เมนูหลักๆ ได้แก่ Music, Radio, Books, Folder, Card, Sport และ Settings
สำหรับการแสดงชื่อภาษาไทยในรุ่นนี้ทำได้เกือบสมบูรณ์แบบแล้วครับ
ผมจะไม่พูดถึงฟังก์ชั่นในแต่ละเมนูนะครับ เพราะมันจะเหมือนกันกับรุ่น Clip Sport ที่ผมเคยรีวิวไว้เลย โดยจะขอข้ามไปที่เมนูหลักที่สำคัญของมันเลย นั่นก็คือการใช้ Bluetooth
การใช้งาน Bluetooth ก็ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด ให้เตรียมหูฟังที่มี Bluetooth ไว้พร้อมกับเปิด Bluetooth ด้วย ในที่นี่ผมเลือกใช้หูฟัง Bose SoundLink aroud-ear wireless II นะครับ
ส่วนที่ตัวเครื่องเล่นให้เลือกเมนู Bluetooth แล้วกดเลือก Bluetooth ให้เป็น On จากนั้นกดเลือก Search Devices แล้วรอให้มันค้นหาซักพักก็จะเจอหูฟังที่จะนำมาเชื่อมต่อ
จากนั้นก็กดเลื่อนลงมาเลือกชื่อหูฟังเพื่อทำการเชื่อมต่อกัน รอไม่นานก็สามารถเชื่อมต่อกันสำเร็จ โดยจะสังเกตุเห็นจากหน้าจอว่ามีเครื่องหมายถูกอยู่ข้างหน้าชื่อของหูฟังด้วย
และมันยังสามารถจดจำอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อกับตัวเครื่องได้มากกว่า 1 ด้วยครับ
ผมหยิบหุฟังมาคาดหัว แล้วเริ่มเปิดเพลงทดลองฟังเสียงโดยปิด Bluetooth และเสียบสายหูฟังต่อตรงกับเครื่องเล่นดูก่อน เสียงที่ได้นั้นดีไม่ต่างเหมือนกับรุ่น Clip Sport เลยครับ
ทีนี้ผมลองฟังแบบเปิดใช้ Bluetooth ดูบ้าง นึกอยู่ในใจว่าเสียงที่ได้คงจะ drop ลงกว่าการใช้หูฟังแบบมีสาย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติของการใช้หูฟัง Bluetooth อยู่แล้ว จากการฟังครั้งแรก 2-3 เพลง พบว่าเสียง drop ลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีความคมชัดในทุกย่านเสียง รายละเอียดเสียงยังมาครบ โดยรวมแล้วนับว่าเสียงดีใช้ได้เลยทีเดียวครับ
บทสรุป
ข้อดี
- มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
- ตัวเครื่องกันละอองน้ำ
- มี Bluetooth
ข้อเสีย
- ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำได้
เปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่าง Clip Sport Plus และ Clip Sport
---------------------------------------------------------------------------------------------
ขาย Sandisk Clip Jam MP3 Player จิ๋วแต่แจ๋ว
Sandisk Clip Jam เป็นเครื่องเล่น MP3 รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Sandisk โดยที่ยังคงรูปแบบเดิมๆ คือสะดวกในการพกพาสำหรับเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือปั่นจักรยาน หรือเอาไปฟังในระหว่างการเล่นฟิตเนส โดยใช้คลิปหนีบที่ด้านหลังเครื่องหนีบติดกับเสื้อ หรือสายรัดข้อมือให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับเพลงโปรดของคุณในขณะที่กำลังออกกำลังกาย สำหรับความจุนั้นมีความจุเดียวคือ 8 GB ครับ พร้อมรองรับช่องเสียบการ์ดเพิ่มหน่วยความจำด้วย
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอขาวดำขนาด 0.96 นิ้ว (128x64 pixels)
- รองรับไฟล์เพลงประเภท MP3, WMA (NO DRM), AAC, WAV and Audible (DRM only) และ FLAC
- ฟังวิทยุ FM ได้ จุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง เลื่อนได้ทีละ 0.05 (ละเอียดมาก)
- ปรับตั้งบันทึกสถานีวิทยุที่ชอบได้มากถึง 30 สถานี
- ความจุในตัวเครื่อง 8GB และสามารถเพิ่ม Memory ได้สูงสุดถึง 32GB โดยใช้ Micro SDHC Card
- มีเมนูภาษาไทย และอ่านไทยได้ แต่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก
รวมทั้งภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย
- มีนาฬิกาจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที และสามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้ด้วย
- ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ
- ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานถึง 18 ชั่วโมง ตามสเปคที่ผู้ผลิตระบุไว้ แต่การใช้งานจริงอาจจะไม่ถึง ขึ้นอยู่กับ file เพลง และปัจจัยอื่นๆ
คลิกเพื่อดูคลิป VDO
https://www.youtube.com/watch?v=duD86DWcrww
อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ earbuds
3. สาย USB
4. คู่มือ
การลงเพลงไม่ต้องติดตั้งหรือลงผ่านโปรแกรมใดๆ สามารถเสียบสาย USB เชื่อมต่อกับเครื่อง PC แล้วลากวางได้เลยครับ
Sandisk Clip Jam มีความจุอยู่ที่ 8GB มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 6 สีคือ สีดำ น้ำเงิน ส้ม ชมพู แดง และเขียว
เป็นของใหม่มือหนึ่งทุกกล่องนะครับ
ขายราคา 1,950 บาท เหลือสีดำ และชมพูครับ
ส่ง ems ฟรี
สินค้าทั้งหมดนำเข้าจาก USA เป็นของใหม่ในกล่อง ไม่มีประกันนะครับ แต่ผมประกันใจให้ 7 วัน ถ้าเครื่องเสีย หรือมีปัญหาจากการใช้งานโดยปกติ ผมเปลี่ยนตัวใหม่ให้ครับ
ซิลิโคนเคสของ Clip Jam มีให้เลือก 7 สี คือสีดำ เหลือง น้ำเงิน แดง ม่วง เขียว และชมพู
ขายราคาชิ้นละ 190 บาท แต่ถ้าซื้อพร้อมเครื่องคิดราคาชิ้นละ 150 บาท ส่งแบบลงทะเบียนฟรี
สีดำของหมดครับ
มี Micro SD Card Class 10 ขายแล้วครับ ตามคำเรียกร้อง
1. Sandisk Ultra Micro SDHC Card 16GB Class 10 พร้อม Adapter แปลงเป็น SD Card ราคา 350 บาท ราคาพิเศษเมื่อซื้อพร้อมเครื่องเล่น Sandisk คิดเพียง 250 บาท ของหมดครับ
2. Sandisk Ultra Micro SDHC Card 32GB Class 10 พร้อม Adapter แปลงเป็น SD Card ราคา 600 บาท ราคาพิเศษเมื่อซื้อพร้อมเครื่องเล่น Sandisk คิดเพียง 450 บาท
3. Sandisk Ultra Micro SDHC Card 64GB Class 10 พร้อม Adapter แปลงเป็น SD Card ราคา 900 บาท ราคาพิเศษเมื่อซื้อพร้อมเครื่องเล่น Sandisk คิดเพียง 800 บาท
แกะกล่อง Sandisk Clip Jam
ในปีนี้ Sandisk ได้ออกเครื่องเล่น MP3 พกพารุ่นใหม่มาโดยใช้ชื่อรุ่นว่า Sandisk Clip Jam มีขนาดความจุที่ 8GB มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 5 สีคือ สีดำ น้ำเงิน ส้ม ชมพู และเขียว
เมื่อแกะกล่องกระดาษออกมา ก็จะพบตัวเครื่องเล่นหนีบติดกับโครงกระดาษแข็ง ต่างจากรุ่นก่อนๆ ที่ตัวเครื่องจะวางอยู่ในช่องในโครงพลาสติกอีกชั้นนึง ภายในกล่องก็จะมี หูฟังแบบ earbuds พร้อม สาย USB และคู่มือแบบย่อมาให้
ด้านหน้าตัวเครื่อง ในส่วนของครึ่งบนเป็นหน้าจอขนาด 0.96 นิ้ว ในส่วนของครึ่งล่างนั้นจะเป็นแผงควบคุมตัวเครื่อง มีปุ่มกดบน-ล่าง-ซ้าย-ขวา ปุ่ม enter อยู่ตรงกลาง และปุ่มย้อนกลับตรงมุมบนซ้ายของแผงควบคุม
ปุ่มตรงกลางนี่ใช้กดเพื่อเปิด-ปิดเครื่องด้วยนะครับ
ด้านหลังตัวเครื่อง จะเป็นคลิปหนีบขนาดใหญ่ที่สามารถหนีบติดกับเสื้อหรือกางเกงได้อย่างมั่นคงไม่หลุดง่าย
ด้านข้างซ้ายตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบสาย Micro USB และปุ่มกดเพิ่ม-ลดเสียง จะเห็นว่าด้านหลังและรอบข้างตัวเครื่องจะเป็นพลาสติกแบบใสมองเห็นแผงวงจรข้างในเลย ดูแล้วก็สวยไปอีกแบบครับ
ด้านข้างขวาตัวเครื่อง จะเป็นช่องเสียบหูฟัง และช่องใส Memory Card แบบ Micro SDHC
ด้านบนและด้านล่างตัวเครื่อง จะโล่งๆ ไม่มีปุ่มกดหรือช่องเสียบใดๆ ทั้งสิ้นครับ
เทียบขนาดให้เห็นกันระหว่าง 3 รุ่นจากซ้ายไปขวาคือ Clip Plus, Clip Jam, Clip Sport
ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า Clip Jam รุ่นนี้เกิดจากการจับเอาดีไซน์ของ Clip Plus และ Clip Sport มารวมกัน นั่นก็คือหน้าจอของ Clip Jam นั้น จะเหมือนกันกับ Clip Plus แต่แผงควบคุมปุ่มกดจะเหมือนกันกับ Clip Sport นะครับ โดยแผงควบคุมนี้จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ กินเนื้อที่เข้าไปครึ่งนึงของตัวเครื่องเลย ทำให้สามารถกดปุ่มต่างๆ ได้อย่างมั่นใจไม่ผิดพลาด เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่นิ้วมือใหญ่
ขนาดตัวเครื่องของ Clip Jam จะเล็กกว่า Clip Sport อยู่เล็กน้อย แต่จะเท่ากันกับ Clip Plus เลยครับ
ขนาดกำลังพอดีเมื่อวางอยู่ในฝ่ามือ
การเปิดเครื่องก็เพียงแต่กดปุ่มตรงกลางค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที หน้าจอก็จะติดขึ้นมาเป็นโลโก้ของ Sandisk จากนั้นก็ทำการเลือกเมนูภาษาที่ต้องการ ซึ่งมีทั้งภาษาอังกฤษ ไทย จีน ญี่ปุ่น และอีกมากมาย
เมื่อเลือกภาษาที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่เมนูของการเลือกภูมิภาค (Region) ให้เลือกเป็น Rest of World นะครับ เพราะถ้าเลือกเป็น Europe จะถูกข้อจำกัดในเรื่องของเสียง (Volume Limit) แต่ถ้าเผลอกดเลือกเป็น Europe ก็สามารถไป Restore ให้กลับไปที่ Factory Setting เพื่อเริ่มตั้งค่าใหม่ได้ครับ
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่เมนูหลักๆ ได้แก่ Music, Radio, Books, Folder, Card, Sport และ Settings เมนูพวกนี้อันไหนที่เราไม่ได้ใช้ก็สามารถซ่อนได้ด้วยนะครับ
การเล่นเพลงนั้น สามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเรียงตามอัลบั้ม หรือชื่อเพลง หรือ playlist หรือ folder ก็ได้ครับ
รายชื่อเพลงที่เป็นภาษาไทยถึงจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก แต่ก็อ่านรู้เรื่องครับ
วิทยุ FM เป็นจุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง ปรับเลื่อนได้ทีละ 0.5 ละเอียดมากครับ การรับวิทยุก็ชัดเจนดีมาก
เราสามารถ memory สถานีที่ชอบได้มากถึง 30 สถานีอีกด้วย
Clip Jam ตัวนี้ถูกดีไซน์มาให้ใช้ในขณะออกกำลังกายได้ด้วย โดยมีฟังก์ชั่นของนาฬิกาจับเวลาใส่มาให้ใช้ สามารถจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที
และยังสามารถจับเวลาแบบนับถอยหลังมาให้อีกด้วยครับ
สามารถตั้งเวลาปิดเครื่องเองได้สูงสุดถึง 120 นาที
ผมลองเอา Memory Card 64GB ใส่เข้าไป ก็สามารถรองรับและใช้งานได้โดยไม่มีปัญหาครับ รวมแล้วจะมีความจุสูงสุดอยู่ที่ 72GB เลยทีเดียว นับว่าเยอะมากถ้าเทียบกับขนาดตัวเครื่องที่เล็กเท่ากล่องไม้ขีดไฟ
ต่อไปจะเป็นการทดสอบเสียงของ Clip Jam นะครับ
ก่อนการทดสอบ ผมเปิดเพลงทิ้งไว้เพื่อ burn หูฟัง และตัวเครื่องประมาณ 50 ชั่วโมง ในการทดสอบนี้ผมใช้หูแถมของ Clip Jam นะครับ เสียงที่ได้ฟังโดยรวมนั้นรู้สึกได้ถึงความคมชัด และความแน่นของเสียง ให้รายละเอียดที่ดี ฟังสนุกครับ
ผมลองทดสอบเสียงเทียบกับ Clip Sport โดยใช้เพลง และหูฟังเดียวกันเป็นตัวทดสอบ ปรับ EQ ไปที่ Normal ฟังสลับไปมาทั้ง 2 เครื่อง ปรากฏว่าเสียงของ Clip Jam จะแน่นกว่า เสียงของ Clip Sport จะออกไปในทางโปร่งๆ รายละเอียดของเสียง และการแยกแยะชิ้นดนตรีนั้น ดีพอๆ กันทั้งคู่ ส่วนเรื่องของกำลังขับนั้นก็ทำได้ดีไม่แตกต่างกันเลยครับ
ผมขอสรุปข้อแตกต่างระหว่าง Clip Jam และ Clip Sport ดังนี้ครับ
- ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า
- แบตอยู่ได้นาน 18 ชั่วโมง ในขณะที่ Clip Sport อยู่ได้ประมาณ 25 ชั่วโมง (ตามข้อกำหนดของผู้ผลิต)
- หน้าจอเล็กกว่า และเป็นขาว-ดำ ไม่สามารถโชว์ปกอัลบั้มได้
- หูฟังที่แถมมาเป็นแบบ earbuds ในขณะที่ Clip Sport หูแถมเป็นแบบ in-ear
สรุปโดยรวม
Sandisk Clip Jam ถูกออกแบบตัวเครื่องให้มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้า เพิ่มพื้นที่ปุ่มกดตรงแผงควบคุมให้มากขึ้น
จุดเด่นของ Clip Jam นั้นอยู่ที่ตัวเครื่องที่สวยงาม มีขนาดเล็ก พกพาสะดวก มีสีให้เลือกถึง 5 สี ใช้งานง่ายได้หลากหลายทั้งฟังเพลง วิทยุ และจับเวลา แบตอยู่ได้นานถึง 18 ชั่วโมง และสามารถใส่ memory เพิ่มได้ตามต้องการ
--------------------------------------------------------------------
ขาย Sandisk Clip Sport MP3 Player
Sandisk ได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เครื่องเล่น MP3 พกพารุ่นใหม่ชื่อว่า Sandisk Clip Sport ที่ออกแบบมาให้สะดวกในการพกพาสำหรับเวลาทำกิจกรรมต่างๆนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือปั่นจักรยาน หรือเอาไปฟังในระหว่างการเล่นฟิตเนส โดยใช้คลิปหนีบที่ด้านหลังเครื่องหนีบติดกับเสื้อ หรือสายรัดข้อมือให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับเพลงโปรดของคุณในขณะที่กำลังออกกำลังกาย พร้อมกันนั้นยังมาพร้อมกับจอ LCD ขนาดใหญ่อีกด้วย สำหรับความจุนั้นมีให้เลือกคือ 4 และ 8 GB ครับพร้อมรองรับช่องเสียบการ์ดเพิ่มหน่วยความจำด้วย
Sandisk Clip Sport จัดได้ว่าเป็นรุ่นที่ 3 แล้วต่อจาก Sansa Clip Plus และ Sansa Clip Zip ที่ประสบความสำเร็จครองใจผู้ใช้เครื่องเล่น MP3 ทั่วโลกมาแล้ว
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอสีขนาด 1.44 นิ้ว สามารถโชว์ปกอัลบั้มได้
- รองรับไฟล์เพลงประเภท MP3, WMA, WAV, AAC, Ogg Vorbis, และ FLAC
- ฟังวิทยุ FM ได้ จุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง เลื่อนได้ทีละ 0.05 (ละเอียดมาก)
- ปรับตั้งบันทึกสถานีวิทยุที่ชอบได้มากถึง 30 สถานี
- เพิ่ม Memory ได้สูงสุดถึง 32GB โดยใช้ Micro SDHC Card
- มีเมนูภาษาไทย และอ่านไทยได้ แต่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก (น่าจะมี firmware ออกมาแก้ในไม่ช้า)
รวมทั้งภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกมากมาย
- มีนาฬิกาจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที และสามารถตั้งเวลานับถอยหลังได้ด้วย
- ตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ
- ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานถึง 25 ชั่วโมง ตามสเปคที่ผู้ผลิตระบุไว้ แต่การใช้งานจริงอาจจะไม่ถึง ขึ้นอยู่กับ file เพลง และปัจจัยอื่นๆ
อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ in-ear (สีเหมือนกันกับตัวเครื่อง) + จุกยาง 3 คู่
3. สาย USB
4. คู่มือ
การลงเพลงไม่ต้องติดตั้งหรือลงผ่านโปรแกรมใดๆ สามารถเสียบสาย USB เชื่อมต่อกับเครื่อง PC แล้วลากวางได้เลยครับ
Sandisk Clip Sport มีสีให้เลือกตามใจชอบถึง 6 สี และ 2 ความจุคือ
ขนาด 4GB มีสีดำ แดง และเหลือง
ขนาด 8GB มีสีดำ น้ำเงิน เหลือง ชมพู และเขียว
เป็นของใหม่มือหนึ่งทุกกล่องนะครับ
ราคาขาย :-
ขนาด 4GB มีสีดำ แดง และเหลือง ราคา 2,000 บาท ของหมดทุกสีครับ
ขนาด 8GB มีสีดำ น้ำเงิน เหลือง ชมพู และเขียว ราคา 2,300 บาท สีน้ำเงินของหมดครับ
ส่ง ems ฟรี
วิธีการสั่งซื้อ
1. สั่งซื้อโดยส่ง pm แจ้งขนาดความจุ และสีที่ต้องการ พร้อมแจ้งวิธีการรับของ จะนัดเจอตาม BTS หรือ MRT (รถไฟใต้ดิน) หรือให้ส่ง ems ฟรีก็ได้ครับ
2. สั่งซื้อทางโทรศัพท์ 081 498-2829
3. สั่งซื้อทาง E-Mail : wicbbl@yahoo.com
สินค้าทั้งหมดนำเข้าจาก USA เป็นของใหม่ในกล่อง ไม่มีประกันนะครับ แต่ผมประกันใจให้ 7 วัน ถ้าเครื่องเสีย หรือมีปัญหาจากการใช้งานโดยปกติ ผมเปลี่ยนตัวใหม่ให้ครับ
ซิลิโคนเคสของ Clip Sport มีให้เลือก 7 สี คือสีดำ เหลือง น้ำเงิน แดง ม่วง เขียว และชมพู สีดำ และสีน้ำเงินของหมดครับ
ขายราคาชิ้นละ 190 บาท แต่ถ้าซื้อพร้อมเครื่องคิดราคาชิ้นละ 150 บาท
ส่งแบบลงทะเบียนฟรี
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขาย Sandisk Clip Sport 8GB (REFURBISHED)
เป็นสินค้า REFURBISHED
สินค้า Refurbished คืออะไร?
คือสินค้าที่ลูกค้าซื้อจากร้านค้าไปแล้วนำกลับมาขอเคลม สาเหตุจากเครื่องมีปัญหา เช่น ปุ่มกดไม่ทำงาน เครื่องค้าง หูฟังเสียงดังข้างเดียว ฯลฯ หรือเครื่องอาจจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ลูกค้าขอคืน (ในอเมริกากฏหมายคุ้มครองผู้บริโภคดีมาก หากซื้อไปแล้วไม่พอใจ สามารถนำกลับมาคืนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดครับ เช่น 15 วัน 30 วัน เป็นต้น) พอร้านค้ารับสินค้าที่นำมาเคลมจากลูกค้าแล้ว ก็จะส่งกลับคืนทางบริษัท จากนั้นก็จะถูกส่งกลับเข้าโรงงานผลิต เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนอะไหล่ ต่างๆ โดยสรุปก็คือทำให้เหมือนของใหม่ทุกประการ แล้วทำการทดสอบการทำงานของเครื่องว่าใช้งานได้ปกติไม่มีปัญหาใดๆ จากนั้นจึงนำออกขายเป็นสินค้า Refurbished โดยมีอุปกรณ์ครบเหมือนของใหม่ทุกประการ เพียงแต่ไม่มีกล่องเท่านั้นเองครับ
อุปกรณ์มี
1. ตัวเครื่อง
2. หูฟังแบบ in-ear + จุกยาง 3 คู่
3. สาย USB
มีสีดำ กับสีน้ำเงิน
ขายราคา 1,500 บาท
---------------------------------------------------------------------------------------------
แกะกล่อง Sandisk Clip Sport
เรามาเริ่มแกะกล่องเจ้า Clip Sport กันครับ ผมขอเลือกตัวเครื่องสีเหลืองเป็นตัวทดสอบ เมื่อแกะกล่องกระดาษออกมา ก็จะพบกล่องพลาสติกที่ใส่ตัวเครื่องไว้อีกชั้นนึง ภายในกล่องก็จะมี หูฟังแบบ in-ear พร้อมจุกยางรวม 3 คู่ 3 ขนาด สาย USB และคู่มือมาให้
หูฟังที่แถมมาให้เป็นแบบ in-ear พร้อมด้วยจุกยาง 3 คู่ 3 ชนาด ตัวจุกยาง และสายของหูฟังจะเป็นสีเดียวกับเครื่องด้วยครับ สายของหูฟังเป็นสายแบน ช่วยลดการพันกันของสายได้เป็นอย่างดีครับ ปกติเครื่องเล่น mp3 ของ Sandisk จะให้หูแถมแบบ earbuds ทุกรุ่นเลย Clip Sport น่าจะเป็นรุ่นแรกที่ให้หูแถมเป็นแบบ in-ear ซึ่งจะช่วยกันเสียงจากภายนอกได้ดีกว่าหูแบบ earbuds ครับ
บนหน้าจอของ Clip Zip จะมีสติกเกอร์ปิดอยู่ เมื่อแกะสติ๊กเกอร์ออก ก็จะมองเห็นหน้าจอขนาด 1.44 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า Clip Zip อยู่ประมาณ 0.33 นิ้ว
แป้นควบคุมสี่ทิศทางจะอยู่ด้านล่างสุดเหมือนกับ Clip Zip ครับ ถ้าใครเคยใช้ Clip Zip มาก่อนก็สามารถใช้ Clip Sport ได้อย่างง่ายดายเลยครับ ปุ่มกดเปิด-ปิดเครื่องจะอยู่ด้านหน้าที่เห็นเป็นสีเหลืองนั่นแหละครับ
ด้านหน้าของ Clip Zip เป็นพื้นผิวพลาสติกอาบมัน ยกเว้นตรงแป้นควบคุมจะเป็นผิวแบบด้านๆ หน่อย
ด้านข้างขวาของตัวเครื่อง ช่วงบนจะมีรูเสียบหูฟัง ส่วนช่วงล่างจะเป็นช่องสำหรับใส่ Micro SD Card
ด้านข้างซ้ายของตัวเครื่อง ช่วงบนจะเป็นช่องเสียบสาย USB ถัดลงมาจะเป็นปุ่มกดเร่ง-ลดเสียง จะสังเกตเห็นว่าช่องเสียบสาย USB ของ Clip Sport จะมีขนาดเหมือนกันกับ Clip Zip นั่นแสดงว่าทั้ง 2 รุ่นนี้ ใช้สาย USB แบบ Micro USB ร่วมกันได้ครับ
ด้านข้างของตัวเครื่อง และปุ่มกดตรงกลางด้านหน้าจะเป็นสีตามที่เราได้เลือกซื้อ เช่นถ้าซื้อสีเหลือง ก็จะมีสีเหลืองเดินรอบด้านข้างของตัวเครื่อง ไม่ได้เป็นสีเหลืองทั้งหมดนะครับ
ด้านบน และด้านล่างของตัวเครื่องจะเรียบๆ ไม่มีปุ่มกดใดๆ ครับ
ส่วนด้านหลังของตัวเครื่อง แน่นอนต้องเป็นที่สำหรับใช้งานคลิปหนีบ ซึ่งช่วยให้เราสามารถใช้คลิปหนีบติดกับเข็มขัด กระเป๋ากางเกง หรือที่กระเป๋าเสื้อติดตัวไปไหนต่อไหนได้อย่างสบาย
ตรงส่วนที่เป็นคลิปหนีบของ Clip Sport จะมีขนาดที่ยาวกว่า Clip Zip อยู่เล็กน้อย ทำให้เครื่องสามารถยึดติดได้แน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่เลื่อนหลุดได้ง่ายๆ ครับ
ขนาดกำลังเหมาะ จัดถนัดมือเลยครับ
เมื่อกดปุ่มเปิดเครื่องค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ก็จะเห็นโลโก้ Sandisk แสดงที่หน้าจอ
ในการเปิดเครื่องเป็นครั้งแรก จะต้องตั้งค่าเครื่องก่อนนะครับ (ทำครั้งเดียว) โดยเครื่องจะให้เลือกภาษาก่อน ซึ่งมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย หลักๆ ก็คือ อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย
เมื่อเลือกภาษาที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่เมนูของการเลือกภูมิภาค (Region) ให้เลือกเป็น Rest of World นะครับ เพราะถ้าเลือกเป็น Europe จะถูกข้อจำกัดในเรื่องของเสียง (Volume Limit) แต่ถ้าเผลอกดเลือกเป็น Europe ก็สามารถไป Restore ให้กลับไปที่ Factory Setting เพื่อเริ่มตั้งค่าใหม่ได้ครับ
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ก็จะกลับเข้าสู่เมนูหลักๆ ได้แก่ Music, Radio, Books, Folder, Card, Sport และ Settings
ในส่วนของ Equalizer (EQ) นั้น มี EQ สำเร็จรูปให้ปรับได้ถึง 10 รุปแบบ และมีแบบ Custom ให้ปรับตั้งเองได้ด้วยครับ
วิทยุ FM เป็นจุดทศนิยม 2 ตำแหน่ง ปรับเลื่อนได้ทีละ 0.5 ละเอียดมากครับ การรับวิทยุก็ชัดเจนดีมาก
เราสามารถ memory สถานีที่ชอบได้มากถึง 30 สถานีอีกด้วย
Clip Sport ตัวนี้ถูกดีไซน์มาให้ใช้ในขณะออกกำลังกายได้ด้วย โดยมีฟังก์ชั่นของนาฬิกาจับเวลาใส่มาให้ใช้ สามารถจับเวลาได้ละเอียดถึงเศษเสี้ยววินาที
และยังสามารถจับเวลาแบบนับถอยหลังมาให้อีกด้วย ถูกใจคนที่ชอบออกกำลังกายจริงๆ ครับ
ฟังก์ชั่นที่ผมชอบอีกอันหนึ่งคือการตั้งเวลาปิดเครื่อง (Sleep) ที่สามารถตั้งได้นานสุดถึง 120 นาที
ผมลองเอา Memory Card 32GB ใส่เข้าไป ก็สามารถรองรับและใช้งานได้โดยไม่มีปัญหาครับ
การแสดงผลของภาษาไทย ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ตัวอักษรบางตัวเส้นขาดหายไป แต่ก็อ่านรู้เรื่องครับ เพราะสระไม่ได้ลอยแล้ว
ทดสอบเสียงของ Sandisk Clip Sport
ผมใช้หูแถมที่เป็น in-ear ของ Clip Sport เปิดฟังเพลงครั้งแรกเสียงที่ได้ฟังนั้นมีความรู้สึกว่าดนตรีมันทับซ้อนกันอยู่ เสียงออกขุ่นๆ และเบสก็บวมด้วย แต่นั่นคงเป็นเพราะยังไม่ผ่านการ burn เลย ผมจึงเปิดเพลงทิ้งไว้เพื่อ burn หูฟัง ประมาณ 50 ชั่วโมง กลับมาฟังใหม่ เสียงที่ได้ฟังต่างจากครั้งแรกมากมายครับ เสียงดนตรีแยกชิ้นกันได้ดี เสียงกลางแหลมคมชัด เบสก็ไม่บวมแล้ว มาเป็นลูกไม่ใหญ่มากนัก
ผมลองทดสอบเสียบเทียบกับ Clip Zip โดยใช้เพลง และหูฟังเดียวกันเป็นตัวทดสอบ ปรับ EQ ไปที่ Normal ฟังสลับไปมาทั้ง 2 เครื่อง ปรากฏว่าเสียงแทบจะไม่ต่างกันเลยครับ แต่ Clip Sport กำลังขับจะดีกว่า Clip Zip ผมเปิดเสียงไว้ครึ่งนึงเท่ากันทั้ง 2 เครื่อง เสียงใน Clip Zip จะดังน้อยกว่า Clip Sport อย่างเห็นได้ชัดเลยครับ
ดังนั้นผมขอสรุปข้อแตกต่างระหว่าง Clip Sport และ Clip Zip คือ
- ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย
- แบตอยู่ได้นานกว่า เล่นต่อเนื่องได้ประมาณ 25 ชั่วโมง (ตามข้อกำหนดของผู้ผลิต)
- หน้าจอใหญ่กว่า
- กำลังขับดีกว่า
- Clip Sport ไม่มีฟังก์ชั่นอัดเสียง เนื่องจากเน้นใช้งานในขณะทำกิจกรรมต่างๆ มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง หรือปั่นจักรยาน หรือเอาไปฟังในระหว่างการเล่นฟิตเนส
- หูฟังที่แถมมาเป็นแบบ in-ear ทำให้ไม่หลุดง่ายเมื่อใช้ในขณะวิ่ง หรือออกกำลังกาย ในขณะที่ Clip Zip หูแถมเป็นแบบ earbuds
สรุปโดยรวม
Sandisk Clip Sport ได้พัฒนาตัวเครื่องให้ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
จุดเด่นของ Clip Sport นั้นอยู่ที่ตัวเครื่องที่สวยงาม มีขนาดไม่ใหญ่มาก พกพาสะดวก ใช้งานง่ายได้หลากหลายทั้งฟังเพลง วิทยุ และจับเวลา แบตอยู่ได้นานถึง 25 ชั่วโมง และสามารถใส่ memory เพิ่มได้ตามต้องการ
Comment