Announcement

Collapse
No announcement yet.

เห็นหลายคนกำลังเล่นเครื่องเสียง หรือ กำลังจะเริ่ม มารู้จักคำว่า class amp กันดีกว่า

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • #31
    ศิลปะ วัดความลุ่มลึกทางความคิด ความลุ่มลึกของจิตใจ และความอ่อนไหวทางอารมณ์
    คนทำงานศิลป์ พึงพอใจกับงานขอตัวเอง ก็น่าจะพอแระ

    เงื่อนไขเกินเลยจากนั้น เป็นเรื่องของ Commercial ตะหาก อิอิอิอิ

    Comment


    • #32
      Originally posted by ลุงอ๊อด View Post
      ศิลปะ วัดความลุ่มลึกทางความคิด ความลุ่มลึกของจิตใจ และความอ่อนไหวทางอารมณ์
      คนทำงานศิลป์ พึงพอใจกับงานขอตัวเอง ก็น่าจะพอแระ

      เงื่อนไขเกินเลยจากนั้น เป็นเรื่องของ Commercial ตะหาก อิอิอิอิ
      แสดงว่า ยังไม่เคยโดน 1/10 หรือ 10/10 จากอาจารย์ ล่ะสิ อิอิ

      Comment


      • #33
        HTG2 ผมสิงที่นั่น แต่โซน diy มากกว่าครับ ประมาณว่า ผ่าน commercial มาพอแล้ว เลยขอทำเองถูกหูตัวเองดีกว่า

        ไปๆมาๆแพงกว่าซื้ออีก แต่ได้ความรู้ได้สนุกกับการเปลี่ยนอะไรเล่น

        Comment


        • #34
          Originally posted by Aeromancer View Post
          แสดงว่า ยังไม่เคยโดน 1/10 หรือ 10/10 จากอาจารย์ ล่ะสิ อิอิ
          พี่เหลิมตอนจบใหม่ ฝีมือโคตรธรรมดาเลย วัดจากคนที่เรียนจบมาด้วยกัน
          ถ้าไม่ไปนั่งหลังขดหลังแข็งวาดภาพฝาผนังที่อเมริกา แล้วเกิดสมาธิในวิชาชีพที่เรียน
          คงไม่ขึ้นถึงจุดตรงนั้น...
          คนในวงเหล้า รุ่นใหญ่ในวงการคุยกัน บังเอิญผมเป็นเด็กแล้วอยู่ด้วยครับ
          อันนี้เรียก Practice ป่ะ
          ..............................................................
          น่าเสียดายตอนเรียนประถม ครูให้ไปต่อช่างศิลป์ ซึ่งไม่รู้้จัก
          สมัยนั้น...หนังสือการ์ตูนมีงานผมลงทุกเล่ม เพื่อนอยากมีชื่อ ยืมรูปไปส่ง ก็ได้ลงเหมือนกัน ตังค์จ่ายมาเป็นธนาณัติ 200-400-500 มาที่บ้านทุกเดือน
          คนเก่งกว่าสมัยนั้น ปราการ ชัยลังกา ,เมืองไทย บุศมาโร พวกเด็กเรียนสายตรงอาร์ตทั้งนั้น

          ตอนมัธยมต้น ครูให้ไปต่อเพาะช่าง ก็ดันบ้ารถ...ชอบช่างยนต์มากกว่า
          แต่ก็ไม่ได้เรียน ฝีปาก...บรุ๊ววววว...อย่างนี้ โดนตรีนแหง๋ม ไปหัวเกรียนต่อละกัน
          เตรียมทหารก็ตกตรวจโรค เพราะไม่รับคนตาบอดสี
          เตรียมอุดมก็ติดแค่ตัวสำรอง

          พอมัธยมปลายก็เอ็นฯ ติดบริหาร รามฯ
          ถาปัด กับเด็ค เค้าไม่รับผมอ่ะ.....
          จบมาดันทะลึ่งไปทำงานอาร์ตก่อนตั้ง 3 ปี ตามด้วยงานขายอิรุงตุงนังวิ่งเกือบทั่วประเทศ

          ถ้านับตอนเรียนจนมัูธยมคะแนนก็ 9/10 ,9.5/10 ,10/10
          ตอนทำงานอาร์ตก็แค่ลูกมือ กับช่วยตรวจงาน ก่อนสั่งพิมพ์ส่งนายญี่ปุ่น
          ถ้าได้เรียนอาร์ตก็คงคุยกันมันกว่านี้เยอะ
          แต่เชื่อสิ เป็ดๆ แบบผมอ่ะ คุยได้ยาวววว คริ คริ คริ

          บางอย่าง ชีวิตเลือกไม่ได้ เน้นเอามัน-เอาความพอใจ...
          ไม่เดือดร้อนใคร คนใช้ชีวิตก็มีความสุขดี

          แล้วชีวิตที่ปราศจากเงื่อนไข ก็ไม่เป็นจำเป็นต้องมีคะแนนนิครับ

          Comment


          • #35
            ของผม เรียน ปวส ยัง x/10 อยู่เลย drawing เป็นวิชาที่ได้คะแนนห่วย paint ดันห่วยกว่าเยอะ อิอิ แต่ก็ได้ เขียนแบบนี่แหละช่วยชีวิต ได้เยอะเพราะค่อนข้างเรียบร้อย นอกนั้น ไม่เกิน 8/10 .... ได้ 8/10 ครั้งเดียวในชีวิตดังนั้น

            ศิลปะ วัดความลุ่มลึกทางความคิด ความลุ่มลึกของจิตใจ และความอ่อนไหวทางอารมณ์
            คนทำงานศิลป์ พึงพอใจกับงานขอตัวเอง ก็น่าจะพอแระ
            แค่ตัวเองพอใจไม่พอครับ อาจารย์ต้องพอใจด้วย บางทีเราคิดมาก ลึกมาก อาจารย์ บอกว่า "ลากเข้าวัด" ไปซะงั้น อุตส่าห์คิดแทบตาย ดังนั้นถ้าพูดศิลปะ ก็ต้องแคร์สายตาคนอื่นบ้าง บางที ผมใช้สีม่วงเขียว ผมบอกพอใจ แต่สายตาอีกหลาย คู่ บอกว่า ช้ำเลือดช้ำหนอง - -' แต่ก็มีบ้างที่บางครั้ง ที่เราสนุก มีความกระตือรือร้น จนออกมาเป็นเส้นสนุก (หิวข้าว เพื่อนมันเสร็จหมดแล้วเลยต้องเผา แต่ดันเป็นเส้นสนุกซะได้)

            แต่รู้ไหมครับ ปวส.ที่ผมเรียนจบวุฒิ อะไร อิอิ แต่ดันต่อปริญญาตรี การตลาด-โฆษณา จบมาเป็นกราฟฟิค ดีไซน์เนอร์ ... เรียนเขียน copy แทบตาย

            แล้วชีวิตที่ปราศจากเงื่อนไข ก็ไม่เป็นจำเป็นต้องมีคะแนนนิครับ
            เงื่อนไข ที่ว่านี่คือตังค์ใช่ไหมครับ บางบริษัทเอาเกรดเฉลี่ย เป็นเกณฑ์ ในการรับเข้าทำงาน บางบริษัทต้องทำยอดขายตาม standard เค้า ok ครับ ถ้า บ้านรวย มี เฟอร์รารี่ ตามจำนวนคนในครอบครัว ละก็ไม่มีปัญหาครับ

            กระทั่งตอนนี้ผมนั่งทำงาน บางงานผมไม่รับ เพราะเงินน้อย บางงานผมรับเพราะเงินเยอะ นั่นหมายความว่า ตัวเงินนั่นแหละครับ คือคะแนน งานที่ผมจะรับทำ บางทีผมส่ง layout ให้ลูกค้า ลูกค้าบอกชอบมาก ชอบน้อย ชอบปานกลาง ไม่ชอบ งานห่วยมาก เหล่านี้ก็คือคะแนน บางทีคุณไปดูหนังเรื่องนึง คุณบอกว่า เรื่องแย่มาก พอใช้ได้ สนุก สุดยอดเลย นั่นก็คือคะแนนเหมือนกัน คะแนนมีในทุกอย่าง ในชีวิตประจำวันของคุณ บางทีจนเราไม่รู้สึกตัวเลย ว่าเรากำลังให้คะแนน อะไรบางอย่างอยู่ หรือ มีใครกำลังให้คะแนนเราอยู่ บางทีเราอาจจะลืมไปก็ได้ว่าคะแนนคืออะไร
            Last edited by Aeromancer; 1 Feb 2008, 16:16:10.

            Comment


            • #36
              Originally posted by Aeromancer View Post
              ของผม เรียน ปวส ยัง x/10 อยู่เลย drawing เป็นวิชาที่ได้คะแนนห่วย paint ดันห่วยกว่าเยอะ อิอิ แต่ก็ได้ เขียนแบบนี่แหละช่วยชีวิต ได้เยอะเพราะค่อนข้างเรียบร้อย นอกนั้น ไม่เกิน 8/10 .... ได้ 8/10 ครั้งเดียวในชีวิตดังนั้น



              แค่ตัวเองพอใจไม่พอครับ อาจารย์ต้องพอใจด้วย บางทีเราคิดมาก ลึกมาก อาจารย์ บอกว่า "ลากเข้าวัด" ไปซะงั้น อุตส่าห์คิดแทบตาย ดังนั้นถ้าพูดศิลปะ ก็ต้องแคร์สายตาคนอื่นบ้าง บางที ผมใช้สีม่วงเขียว ผมบอกพอใจ แต่สายตาอีกหลาย คู่ บอกว่า ช้ำเลือดช้ำหนอง - -' แต่ก็มีบ้างที่บางครั้ง ที่เราสนุก มีความกระตือรือร้น จนออกมาเป็นเส้นสนุก (หิวข้าว เพื่อนมันเสร็จหมดแล้วเลยต้องเผา แต่ดันเป็นเส้นสนุกซะได้)

              แต่รู้ไหมครับ ปวส.ที่ผมเรียนจบวุฒิ อะไร อิอิ แต่ดันต่อปริญญาตรี การตลาด-โฆษณา จบมาเป็นกราฟฟิค ดีไซน์เนอร์ ... เรียนเขียน copy แทบตาย


              เงื่อนไข ที่ว่านี่คือตังค์ใช่ไหมครับ บางบริษัทเอาเกรดเฉลี่ย เป็นเกณฑ์ ในการรับเข้าทำงาน บางบริษัทต้องทำยอดขายตาม standard เค้า ok ครับ ถ้า บ้านรวย มี เฟอร์รารี่ ตามจำนวนคนในครอบครัว ละก็ไม่มีปัญหาครับ

              กระทั่งตอนนี้ผมนั่งทำงาน บางงานผมไม่รับ เพราะเงินน้อย บางงานผมรับเพราะเงินเยอะ นั่นหมายความว่า ตัวเงินนั่นแหละครับ คือคะแนน งานที่ผมจะรับทำ บางทีผมส่ง layout ให้ลูกค้า ลูกค้าบอกชอบมาก ชอบน้อย ชอบปานกลาง ไม่ชอบ งานห่วยมาก เหล่านี้ก็คือคะแนน บางทีคุณไปดูหนังเรื่องนึง คุณบอกว่า เรื่องแย่มาก พอใช้ได้ สนุก สุดยอดเลย นั่นก็คือคะแนนเหมือนกัน คะแนนมีในทุกอย่าง ในชีวิตประจำวันของคุณ บางทีจนเราไม่รู้สึกตัวเลย ว่าเรากำลังให้คะแนน อะไรบางอย่างอยู่ หรือ มีใครกำลังให้คะแนนเราอยู่ บางทีเราอาจจะลืมไปก็ได้ว่าคะแนนคืออะไร
              ไม่รู้สิ...

              อาจารย์แต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ต่างกัน ความพึงพอใจในตัวลูกศิษฐ์แต่ละคนก็ต่างกัน ไม่มีความเป็นมาตรฐานชึ้วัด

              ศิลปะไม่ใช่คณิตศาสตร์ที่มีคำตอบรออยู่ มีวิธีการ ชี้ถูกผิดได้

              เช่นนี้...คะแนนที่ได้ เป็นเรื่องสมมุติ อุปโลกขึ้นจากคนๆ หนึ่ง ที่ขีดชะตาชีวิตให้เรา(มั๊ง)

              ศิลปินเนื้อแท้ที่ประสบผลสำเร็จ ไม่หวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้มากนัก
              เส้นทางทุลักทุเล ร่อแร่ กว่าจะมาปัดฝีแปรงที ได้เป็นล้าน
              รูปห่.. อะไร? ป้ายแค่ 3-4 ที มีคนรอคิวซื้อ
              ที่โด่งดังยังอยู่ ก็ต้องใช้งานประชาสัมพันธ์ช่วย ไม่งั้นก็ลาจาก หายไปแบบ แกนๆ
              แต่ก็ติดบ่วงกรรมที่ต้องชดใช้คืนแก่สังคมที่เคยกอบโกยมา

              ถ้าเอาตัวเงินหรือสินทรัพย์มาเป็นเงื่อนไข เราจะแตกต่างกับคนทั่วไปได้อย่างไร?
              ผมไม่เถียงว่า ทุกคนต้องกิน ต้องใช้ มีภาระ
              การรู้ค่าของเงิน รู้ว่าการได้มา/การใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง กระทบกับสิ่งต่างๆ รอบตัวอะำไรบ้าง

              แต่คุณค่าของคนไม่ได้วัดที่จุดนี้
              ถ้าคุณยังกินอิ่ม นอนหลับ ถ่ายสะดวก และกิเลสต่ำเตี้ย

              ไม่ต่างจากเครื่องเสียง
              ต่อให้เป็น McIntosh ถ้ามีตังค์ซื้อ แต่ฟังแล้วไ่ม่ชอบ
              รึถ้าขับ FER แล้วเวลาลุกจากรถ ยังต้องให้คนประคองขึ้นก็ไม่ไหว
              สู้นั่งท้าย MAYBUCK หรือ S-CLASS ไม่ได้
              แต่ที่บ้านมีแค่ VIOS
              ผมควรจะผิดหรือเปล่า?

              เมื่อสูงสุดจะคืนสู่สามัญ
              ก็ไปนั่งฟังดนตรีสดๆ กันนอกบ้าน โฟล์คซองวงเหล้าก็เก๋าได้
              เป็นสุนทรีย์ และเป็นศิลปะในการจัดการหูทองม้วน

              งานเล็กๆ บางที ก็เป็นบันไดไปสู่งานใหญ่
              ลูกค้าเล็กๆ แต่เพื่อนใหญ่มีถมไปนะ
              แต่...ธุรกิจก็มีเงื่อนไข และมีลิมิตของตัวเอง

              ข้อสำมะคัญ...อย่าซีเรียสกับชีวิตมากนัก
              ไปกินเหล้ากับผมดีกั่ว อิอิอิอิ

              Comment


              • #37
                ร้านไหนลุง จัดไป

                Comment


                • #38
                  กว่าจะรู้ตัวก็โคจรรอบท่าน จขกท ไปหลายรอบละ

                  เศษหินลองลอยแบบผมขอลาก่อน ไว้รอบหน้าอาจหลุดมาโคจรรอบๆอีกครั้ง

                  Comment


                  • #39
                    Originally posted by Aeromancer View Post
                    ของผม เรียน ปวส ยัง x/10 อยู่เลย drawing เป็นวิชาที่ได้คะแนนห่วย paint ดันห่วยกว่าเยอะ อิอิ แต่ก็ได้ เขียนแบบนี่แหละช่วยชีวิต ได้เยอะเพราะค่อนข้างเรียบร้อย นอกนั้น ไม่เกิน 8/10 .... ได้ 8/10 ครั้งเดียวในชีวิตดังนั้น

                    แค่ตัวเองพอใจไม่พอครับ อาจารย์ต้องพอใจด้วย บางทีเราคิดมาก ลึกมาก อาจารย์ บอกว่า "ลากเข้าวัด" ไปซะงั้น อุตส่าห์คิดแทบตาย ดังนั้นถ้าพูดศิลปะ ก็ต้องแคร์สายตาคนอื่นบ้าง บางที ผมใช้สีม่วงเขียว ผมบอกพอใจ แต่สายตาอีกหลาย คู่ บอกว่า ช้ำเลือดช้ำหนอง - -' แต่ก็มีบ้างที่บางครั้ง ที่เราสนุก มีความกระตือรือร้น จนออกมาเป็นเส้นสนุก (หิวข้าว เพื่อนมันเสร็จหมดแล้วเลยต้องเผา แต่ดันเป็นเส้นสนุกซะได้)

                    แต่รู้ไหมครับ ปวส.ที่ผมเรียนจบวุฒิ อะไร อิอิ แต่ดันต่อปริญญาตรี การตลาด-โฆษณา จบมาเป็นกราฟฟิค ดีไซน์เนอร์ ... เรียนเขียน copy แทบตาย


                    เงื่อนไข ที่ว่านี่คือตังค์ใช่ไหมครับ บางบริษัทเอาเกรดเฉลี่ย เป็นเกณฑ์ ในการรับเข้าทำงาน บางบริษัทต้องทำยอดขายตาม standard เค้า ok ครับ ถ้า บ้านรวย มี เฟอร์รารี่ ตามจำนวนคนในครอบครัว ละก็ไม่มีปัญหาครับ

                    กระทั่งตอนนี้ผมนั่งทำงาน บางงานผมไม่รับ เพราะเงินน้อย บางงานผมรับเพราะเงินเยอะ นั่นหมายความว่า ตัวเงินนั่นแหละครับ คือคะแนน งานที่ผมจะรับทำ บางทีผมส่ง layout ให้ลูกค้า ลูกค้าบอกชอบมาก ชอบน้อย ชอบปานกลาง ไม่ชอบ งานห่วยมาก เหล่านี้ก็คือคะแนน บางทีคุณไปดูหนังเรื่องนึง คุณบอกว่า เรื่องแย่มาก พอใช้ได้ สนุก สุดยอดเลย นั่นก็คือคะแนนเหมือนกัน คะแนนมีในทุกอย่าง ในชีวิตประจำวันของคุณ บางทีจนเราไม่รู้สึกตัวเลย ว่าเรากำลังให้คะแนน อะไรบางอย่างอยู่ หรือ มีใครกำลังให้คะแนนเราอยู่ บางทีเราอาจจะลืมไปก็ได้ว่าคะแนนคืออะไร
                    คุณี้เรียนศิลปะสาขาไหนมาครับงานศิลปะไม่มีใครมามองที่ลายเส้นหรือความถูกต้องที่งานเสมอไปหรอกเค้ามองไปถึงความคิดสร้างสรรค์ ไอเดีย หรือสิ่งที่คุณคิดมากกว่า ผมตรวจงานกับอาจารย์ไม่เห็นที่ไหนจะมีมาตรฐาที่ไหนเท่าเทียมกันซักที่ งาน1ชิ้นมีทั้งอาจารย์ที่ชอบและไม่ชอบ เพราะฉะนั้นคุณเอาอะไรมาตัดสินกับคะแนนครับ ผมเห็นศิลปินที่มีชื่อเสียงบางคนลายเส้นยังกะเอาตีนเขี่ย แต่กลับเกิดได้ในวงการศิลปะ เพราะอะไรครับ ยกตัวอย่าง Vincent van Gogh คุณไปลองดูงานเค้านะว่าสวยมั้ย ผมไม่เห็นว่ามันสวยกว่าของอาจารย์เฉลิมชัยเลย แล้วทำไมถึงเกิดได้ หรืองานของ Ando ลายเส้นคนธรรมดารดูรู้เรื่องก็แจ่มแล้วครับ แล้วทำไมถึงเกิด ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ยกตัวอย่าง

                    ผมอยากจะบอกว่าองค์ประกอบศิลป์ หรือสิ่งต่างๆที่เรียนมามันเป็นพื้นฐานที่ต้องรู้คุณจะเก่งหรือไม่เก่งไม่สำคัญ
                    มันอยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์ของคุณ และสิ่งต่างๆที่คุณนำมาประยุกต์ใช้ ผมไม่เห็นมีศิลปินคนไหนจบมาแล้วไปตามตำราซักคน

                    คุยกันเรื่องงานศิลปะไม่มีทางจบหรอกครับ แต่ผมนำเสนอให้คุณอีกมุมนึง เหมือนที่คุณบอกผมว่าโลกนี้มี3มิติ แต่จริงๆแล้วมันจะเป็น4-5มิติต่างหาก มิติที่4คุณจะเห็นหรือไม่มันอยู่ที่คุณ ผมไม่อยากไปต่อความยาวสาวความยืดในกระทู้นั้น
                    Attached Files

                    Comment


                    • #40
                      ผมว่าศิลปะมันอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนครับ
                      เหมือนกับผมชอบถ่ายรูป(แต่ไม่ได้เรียนมาทางนี้) ช่วงแรกๆของวงการถ่ายรูป นักจิตรกรทั้งหลายก็ไม่ยอมรับศิลปะแขนงนี้
                      ช่างภาพสมัยแรกๆต้องใช้วิธีลักจำวิธีจัดองค์ประกอบภาพมาจากรูปวาดเท่านั้น แล้วมาประยุคใช้กับลูกถ่ายที่ตัวเองถ่ายมา
                      พอถ่ายไปเรื่อยจนถึงยุคปีประมาณ 1920s รูปถ่ายก็เริ่มให้กำเนิดศิลปะแขนงของตัวเองขึ้น ที่ทุกคนเรียกว่าแนว abstract
                      แนวเกิดขึ้นมาจากการถ่ายรูปครับ พอจิตรกรวาดภาพมาเห็นรูปถ่ายของช่างภาพ ก็เกิด idea ที่จะเลียนแบบศิลปะแขนงนี้มาเขียนลงมาบนผ้าใบแทนกระดาษอัดรูป

                      เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าศิลปะมีการเติบโตครับ ตอนแรก อย่างนี้อาจจะไม่ดี แต่ในเวลาต่อมา สิ่งที่ไม่ดีนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปยกย่องก็ได้ครับ

                      ที่ผมกล่าวมาข้างต้นนั้น ผมใช้คำว่าช่างภาพ ไม่ใช้นักเลงกล้องก็เพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งเดียวกันครับ
                      เวลาผมแบกกล้องไปไหนมาไหน ก็จะชอบมีคนมาบอกว่า เห้ย เมิงเล่นกล้องเหรอวะ
                      ผมก็ตอบไปว่าผมไม่ได้เล่นกล้องครับ ผมถ่ายรูป
                      เพราะว่าการเล่นกล้องมีเงินก็เล่นได้แล้วครับ แต่การถ่ายรูปมันอยู่ที่ใจครับ

                      Comment


                      • #41
                        Originally posted by ลุงอ๊อด
                        แล้วชีวิตที่ปราศจากเงื่อนไข ก็ไม่เป็นจำเป็นต้องมีคะแนนนิครับ
                        เด็ด..
                        ก็แล้วแต่ใครจะคิด ไม่จำเป็นต้องคนที่มีเฟอร์รารี่หรอกแค่คนที่ฝันจะมีก็พอ ก็คิดจะมีชีวิตที่ปราศจากเงื่อนไข และไม่แคร์ที่จะต้องให้ใครมานั่งให้คะแนนชีวิตเราอยู่ เรียนรู้ชีวิตให้มากขึ้นเรื่อยๆแล้ววันนึงเราอาจจะเจอมิติที่ 4 หรือ 5 ที่อยู่ตรงกันข้ามกับความคิดที่แล้วมาของเราก็เป็นได้
                        แต่สำหรับผมขอก๊อปวาทะลุงอ๊อดอีกครั้ง
                        ข้อสำมะคัญ...อย่าซีเรียสกับชีวิตมากนัก
                        ไปกินเหล้ากับผมดีกั่ว อิอิอิอิ
                        แค่ขอเปลี่ยนเป็นโค้ก + กับแกล้ม ก็แล้วกัน

                        Comment


                        • #42
                          และแล้ววันเวลาของคนแก่ๆก็กลับคืนมาทีละนิดๆ ผมไม่เล่าเรื่องเก่านะเพราะผมยังไม่แก่ 555+ ใครจะว่ากูบ้า ไม่ว่าเรื่องอะไร เงินที่เสียไปมันก็เงินกูหามาเอง แล้วในเมื่อไม่มีใครมาเดือดร้อนกับเรื่องที่กูทำ คำพูดของใครกูก็ไม่ฟัง เพราะกูชอบของกู ผมคิดงี้นะ หาเงินตอบสนองความอยากของตัวเอง ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ดูแลความรู้สึกของคนที่เรารัก รีบๆทำ ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร (บ่นไรวะเนี่ย)

                          Comment

                          Working...
                          X