วันนี้ขอมาเล่าเกี่ยวกับ NFB-12 แบบคร่าวๆเบาๆสั้นๆละกันครับ
พอดีผมติดใจ DAC จากค่ายนี้มากๆครับ
แต่ก่อนไปอ่านเรื่องเสียงมาพบกับหน้าตาของเจ้า DAC-AMP ตัวนี้กันก่อนดีกว่าครับ

เจ้า NFB-12 เนี่ย เป็น DAC-AMP ที่มีลูกเล่นมากมายทีเดียวครับ
คือเป็น DACA-AMP แบบ 3-IN-1 คือเป็น Headphone-amp เป็น DAC-Pre-amp แล้วก็ยังเป็น Pure-DAC ได้อีกด้วย
นั่นหมายถึงว่าถ้าจะใช้ DAC-HP (Headphone-amp) ก็ให้กดสวิชที่ HP (อยู่ซ้ายสุด)
ถ้าจะใช้เป็น DAC-Pre-amp ให้กดสวิชไปที่ Variable นั่นหมายความว่า NFB-12 เนี่ยสามารถต่อกับ Power-AMP
หรือจะต่อกับลำโพงคอมหรือ Int-amp ก็ได้ แต่เราก็จะสามารถปรับ Volume จาก NFB-12 ได้เลยครับ
ส่วน Pure-DAC ก็ง่ายๆครับ กดไปที่ Fixed ก็เรียบร้อยครับ แค่นี้ Volume ที่ NFB-12 ก็จะไม่มีผลแล้วล่ะครับ
ส่วนของใครใช้ Fixed ไม่ได้ต้องไปขยับ Jumper ตามรูปก่อนนะคร๊าบ

ยังไงถ้า NFB-12 ของท่านๆ ใช้งานในส่วน Fixed ไม่ได้แล้วอยากใช้ก็ติดต่อพี่หมูหวานเพื่อทำการขยับ Jumper ได้เลยครับ
ที่มา http://www.audio-gd.com/Pro/Headphon...12/NFB12EN.htm
ส่วนเครื่องเครา DAC ของค่ายนี้คงไม่ต้องถ่ายนะครับ เพราะในเวบเค้าเปลือยให้เราดูก่อนเราซื้ออยู่แล้ว
ยังไงก็เข้าไปเยี่ยมชมได้เลยครับ http://www.audio-gd.com

ว่ากันต่อในเรื่อง ฟังก์ชั่นการใช้งาน จากรูปซ้ายมือสุดจะเป็นการเลือกรูปแบบ
การทำงานของ NFB-12 ถัดไปเป็น Gain (Hi-Lo) สำหรับภาค HP ต่อไปเป็นตัวปรับ Volume
ส่วนขวามือสุดจะเป็นตัวเลือก Input ก็จะมีสามแบบมาตรฐานให้เลือกใช้
USB / Coax / Optic
แน่นอนว่าส่วนใหญ่คงใช่ Coax กับ USB กัน

ด้านหลังก็ไม่มีอะไรมากมายครับ เรียบๆง่ายๆ
มีแต่สิ่งที่จำเป็นจะต้องใช้ คือ RCA Output / Input ทั้งสามแบบ / แล้วก็ที่เสียบสายไฟ AC และสวิช เปิด/ปิด
ทีนี้มาถึงเรื่องเสียงกันบ้าง หลายคนคงค้างคาใจว่า มันมีดีอะไรกับเค้า DAC ค่ายนี้
DAC ของค่ายนี้ขึ้นชื่อลือชาเรื่อง Ambient มากๆครับ คือมันจะให้บรรรยากาศที่ดี
ให้ตัวโน๊ตที่เป็นตัวเป็นตนมากๆ จริงๆกับศัพท์คำนี้ผมยังเข้าใจมันได้ไม่ดีซักเท่าไหร่น่ะครับ
เลยขอไม่อธิบายเรื่องนี้มากไปกว่านี้ละกันครับ
เจ้า NFB-12 เนี่ยนอกจากมันมีดีที่เรื่องการใช้งานที่หลากหลายแล้ว ยังหน้าตาดูดีอีกด้วย
เพราะตัวกล่องทำจากอะลูมิเนียมทั้งตัว สวยๆเงาๆดำๆกันไป เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบค่ายนี้
---------------------------------------------------------------------
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เรื่องเสียง พูดกันตามเนื้อผ้านะครับ ไม่มีใส่ไข่ หรือเชียร์อะไรครับ
อันนี้เทสกันที่ฟังก์ชั่น Pure-DAC นะครับ
มันให้น้ำหนักเสียงที่ดีเอามากๆ เน้นหัวเสียงได้ดี แต่กระแทก แต่ก็ไม่เบาบาง ทิ้งน้ำหนักลงตัวโน๊ตแต่ละตัวได้กำลังดี
มีน้ำหนักแต่ไม่มีอาการลักลั่นออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย น้ำเสียงก็สไตล์ GD เป็นปกติครับ มีเนื้อมีหนัง ออกอวบอิ่ม
รายละเอียดของเสียงทำได้ดีครับ แต่มีข้อด้อยตรงปลายแหลมนี่แหละครับ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีหรือมันกุด
เพียงแต่มันมาน้อยๆ แต่น่าแปลกตรงที่ว่าเวลาฟังจะไม่รู้สึกขัดใจ เพียงแต่มันจะผ่านๆไปแบบไม่ค่อยรู้ตัว
แต่ถ้าลองฟังดีดีจะรู้ว่ามันขาดเรื่องเสียงสูงที่ยังไม่ค่อยกรุ๊งกริ๊งซักเท่าไหร่
พื้นหลังเงียบสงัด แต่ไม่ถึงกับมืดมิด เพราะ GD จะมีความเป็นอนาลอคในตัวค่อนข้างมาก
เวทีเสียงกว้างขวางพอสมควร แต่ก็สู้รุ่นพี่ๆอย่างพวก DAC19 ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา
คงต้องแก้ปัญหากันด้วยการเปลี่ยนสายไฟเพื่อเติมส่วนที่ขาดหายไป
หรือสายสัญญาณดีดีที่เข้าคู่กัน คงทำให้น่าฟังขึ้นอีก
เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้รุ่นพี่ อย่าง DAC19 หรือ NFB2 เป็นที่นิยม เพราะความคุ้มค่าตัวของมัน
การวางตำแหน่งชิ้นดนตรีทำได้ดีครับ กะระยะต่างได้ดีพอสมควร แต่ยังชิดๆกันอยู่บ้าง
ถ้าเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ไกล บางทีอาจจะมีการซ้อนๆกันบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรนะครับ
เพราะดูราคาค่าตัวซะก่อนครับ ได้ทั้ง DAC ได้ทั้ง Pre-amp ได้ทั้ง Headphone-amp
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันขายดี เพราะมันทำได้หลายอย่างนั่นเอง
เรื่องโฟกัสเรื่องอื่นๆก็ทำได้ดีแบบไม่มีปัญหาครับ เรียกว่าสอบผ่านกันแบบไม่ต้องเช็คอะไรมาก
ประมาณว่าฟังปุ๊บ ผ่านปั๊บ อะไรทำนองนั้นครับ
สำหรับผมแล้ว NFB-12 ตัวนี้ ถ้าวัดกันที่เรื่องน้ำเสียง ในภาค DAC ผมถือว่าโอเคนะครับ
แต่ถ้าใช้ภาค Headphone ด้วยล่ะก็ต้องบอกว่าคุ้มมากๆ
หรือถ้าจะพูดง่ายๆคือ NFB-12 มันมีความคุ้มค่าในเรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานครับ
ก่อนจากกัน ผมก็ได้เทสเรื่อง DAC-Pre-amp ด้วยครับ
ถือว่าแรงน้อยไปซักนิดนึง คงเหมาะกับพวก Active Speaker น่ะครับ
เพราะเท่าที่ลองกับชุดทดสอบของผมก็คือ Moon i.5 + Usher s520 Signature แล้ว
ก็ต้องบอกว่าเร่งเอาเยอะเหมือนกัน เร่งไปประมาณ 11-12 นาฬิกา แต่พอเร่งถึง 11นาฬิกาปุ๊บ
เสียงนั้นก็พรั่งพรูออกมาทีเดียวครับ มันจะไม่อั้นๆเหมือนตอนเปิด 8-9นาฬิกาครับ
ผมเลยเดาว่าถ้าใช้กับพวก Active Speaker นี่ผ่านสบายๆแบบไม่ต้องห่วงกันเลยทีเดียวครับ
วันนี้ลากันไปก่อนจ้า ไว้พบกันใหม่คราวหน้าครับ ^^
พอดีผมติดใจ DAC จากค่ายนี้มากๆครับ
แต่ก่อนไปอ่านเรื่องเสียงมาพบกับหน้าตาของเจ้า DAC-AMP ตัวนี้กันก่อนดีกว่าครับ

เจ้า NFB-12 เนี่ย เป็น DAC-AMP ที่มีลูกเล่นมากมายทีเดียวครับ
คือเป็น DACA-AMP แบบ 3-IN-1 คือเป็น Headphone-amp เป็น DAC-Pre-amp แล้วก็ยังเป็น Pure-DAC ได้อีกด้วย
นั่นหมายถึงว่าถ้าจะใช้ DAC-HP (Headphone-amp) ก็ให้กดสวิชที่ HP (อยู่ซ้ายสุด)
ถ้าจะใช้เป็น DAC-Pre-amp ให้กดสวิชไปที่ Variable นั่นหมายความว่า NFB-12 เนี่ยสามารถต่อกับ Power-AMP
หรือจะต่อกับลำโพงคอมหรือ Int-amp ก็ได้ แต่เราก็จะสามารถปรับ Volume จาก NFB-12 ได้เลยครับ
ส่วน Pure-DAC ก็ง่ายๆครับ กดไปที่ Fixed ก็เรียบร้อยครับ แค่นี้ Volume ที่ NFB-12 ก็จะไม่มีผลแล้วล่ะครับ
ส่วนของใครใช้ Fixed ไม่ได้ต้องไปขยับ Jumper ตามรูปก่อนนะคร๊าบ

ยังไงถ้า NFB-12 ของท่านๆ ใช้งานในส่วน Fixed ไม่ได้แล้วอยากใช้ก็ติดต่อพี่หมูหวานเพื่อทำการขยับ Jumper ได้เลยครับ
ที่มา http://www.audio-gd.com/Pro/Headphon...12/NFB12EN.htm
ส่วนเครื่องเครา DAC ของค่ายนี้คงไม่ต้องถ่ายนะครับ เพราะในเวบเค้าเปลือยให้เราดูก่อนเราซื้ออยู่แล้ว
ยังไงก็เข้าไปเยี่ยมชมได้เลยครับ http://www.audio-gd.com

ว่ากันต่อในเรื่อง ฟังก์ชั่นการใช้งาน จากรูปซ้ายมือสุดจะเป็นการเลือกรูปแบบ
การทำงานของ NFB-12 ถัดไปเป็น Gain (Hi-Lo) สำหรับภาค HP ต่อไปเป็นตัวปรับ Volume
ส่วนขวามือสุดจะเป็นตัวเลือก Input ก็จะมีสามแบบมาตรฐานให้เลือกใช้
USB / Coax / Optic
แน่นอนว่าส่วนใหญ่คงใช่ Coax กับ USB กัน

ด้านหลังก็ไม่มีอะไรมากมายครับ เรียบๆง่ายๆ
มีแต่สิ่งที่จำเป็นจะต้องใช้ คือ RCA Output / Input ทั้งสามแบบ / แล้วก็ที่เสียบสายไฟ AC และสวิช เปิด/ปิด
ทีนี้มาถึงเรื่องเสียงกันบ้าง หลายคนคงค้างคาใจว่า มันมีดีอะไรกับเค้า DAC ค่ายนี้
DAC ของค่ายนี้ขึ้นชื่อลือชาเรื่อง Ambient มากๆครับ คือมันจะให้บรรรยากาศที่ดี
ให้ตัวโน๊ตที่เป็นตัวเป็นตนมากๆ จริงๆกับศัพท์คำนี้ผมยังเข้าใจมันได้ไม่ดีซักเท่าไหร่น่ะครับ
เลยขอไม่อธิบายเรื่องนี้มากไปกว่านี้ละกันครับ
เจ้า NFB-12 เนี่ยนอกจากมันมีดีที่เรื่องการใช้งานที่หลากหลายแล้ว ยังหน้าตาดูดีอีกด้วย
เพราะตัวกล่องทำจากอะลูมิเนียมทั้งตัว สวยๆเงาๆดำๆกันไป เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบค่ายนี้
---------------------------------------------------------------------
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เรื่องเสียง พูดกันตามเนื้อผ้านะครับ ไม่มีใส่ไข่ หรือเชียร์อะไรครับ
อันนี้เทสกันที่ฟังก์ชั่น Pure-DAC นะครับ
มันให้น้ำหนักเสียงที่ดีเอามากๆ เน้นหัวเสียงได้ดี แต่กระแทก แต่ก็ไม่เบาบาง ทิ้งน้ำหนักลงตัวโน๊ตแต่ละตัวได้กำลังดี
มีน้ำหนักแต่ไม่มีอาการลักลั่นออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย น้ำเสียงก็สไตล์ GD เป็นปกติครับ มีเนื้อมีหนัง ออกอวบอิ่ม
รายละเอียดของเสียงทำได้ดีครับ แต่มีข้อด้อยตรงปลายแหลมนี่แหละครับ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีหรือมันกุด
เพียงแต่มันมาน้อยๆ แต่น่าแปลกตรงที่ว่าเวลาฟังจะไม่รู้สึกขัดใจ เพียงแต่มันจะผ่านๆไปแบบไม่ค่อยรู้ตัว
แต่ถ้าลองฟังดีดีจะรู้ว่ามันขาดเรื่องเสียงสูงที่ยังไม่ค่อยกรุ๊งกริ๊งซักเท่าไหร่
พื้นหลังเงียบสงัด แต่ไม่ถึงกับมืดมิด เพราะ GD จะมีความเป็นอนาลอคในตัวค่อนข้างมาก
เวทีเสียงกว้างขวางพอสมควร แต่ก็สู้รุ่นพี่ๆอย่างพวก DAC19 ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา
คงต้องแก้ปัญหากันด้วยการเปลี่ยนสายไฟเพื่อเติมส่วนที่ขาดหายไป
หรือสายสัญญาณดีดีที่เข้าคู่กัน คงทำให้น่าฟังขึ้นอีก
เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้รุ่นพี่ อย่าง DAC19 หรือ NFB2 เป็นที่นิยม เพราะความคุ้มค่าตัวของมัน
การวางตำแหน่งชิ้นดนตรีทำได้ดีครับ กะระยะต่างได้ดีพอสมควร แต่ยังชิดๆกันอยู่บ้าง
ถ้าเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ไกล บางทีอาจจะมีการซ้อนๆกันบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรนะครับ
เพราะดูราคาค่าตัวซะก่อนครับ ได้ทั้ง DAC ได้ทั้ง Pre-amp ได้ทั้ง Headphone-amp
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันขายดี เพราะมันทำได้หลายอย่างนั่นเอง
เรื่องโฟกัสเรื่องอื่นๆก็ทำได้ดีแบบไม่มีปัญหาครับ เรียกว่าสอบผ่านกันแบบไม่ต้องเช็คอะไรมาก
ประมาณว่าฟังปุ๊บ ผ่านปั๊บ อะไรทำนองนั้นครับ
สำหรับผมแล้ว NFB-12 ตัวนี้ ถ้าวัดกันที่เรื่องน้ำเสียง ในภาค DAC ผมถือว่าโอเคนะครับ
แต่ถ้าใช้ภาค Headphone ด้วยล่ะก็ต้องบอกว่าคุ้มมากๆ
หรือถ้าจะพูดง่ายๆคือ NFB-12 มันมีความคุ้มค่าในเรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานครับ
ก่อนจากกัน ผมก็ได้เทสเรื่อง DAC-Pre-amp ด้วยครับ
ถือว่าแรงน้อยไปซักนิดนึง คงเหมาะกับพวก Active Speaker น่ะครับ
เพราะเท่าที่ลองกับชุดทดสอบของผมก็คือ Moon i.5 + Usher s520 Signature แล้ว
ก็ต้องบอกว่าเร่งเอาเยอะเหมือนกัน เร่งไปประมาณ 11-12 นาฬิกา แต่พอเร่งถึง 11นาฬิกาปุ๊บ
เสียงนั้นก็พรั่งพรูออกมาทีเดียวครับ มันจะไม่อั้นๆเหมือนตอนเปิด 8-9นาฬิกาครับ
ผมเลยเดาว่าถ้าใช้กับพวก Active Speaker นี่ผ่านสบายๆแบบไม่ต้องห่วงกันเลยทีเดียวครับ
วันนี้ลากันไปก่อนจ้า ไว้พบกันใหม่คราวหน้าครับ ^^
Comment