Announcement

Collapse
No announcement yet.

D.I.Y.ตอน ต่อแอมป์ 40+40 w. ราคาไม่ถึงพัน

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • Originally posted by fenderfree View Post
    หุ..หุ..ผมก็ไปฟังมาแล้วไม่รู้ว่าที่เค้าพูดมันจริงหรือเปล่าก็เลย มาถามเล่นๆเป็นการค้นหาคำตอบ หาหลักฐาน หาเหตุและผล ซึ่งไม่น่าจะใช่ไสยศาสต์ นะครับ การปลุกเสกไอซี คงไม่น่าจะทำให้เสียงดีขึ้นมั้ง...
    อธิบายเพิ่มเติมเอาพอเข้าใจนะครับ
    เรื่องของมิติของวัตถุ เราจะหาพิกัดของสิ่งนั้นได้จาก การหาพิกัดใน 3 มิติ
    ก็คือแกน X Y X แต่ในโลกของวิทยาศาสตร์ ไม่มีเครื่องมือใดในโลกที่สามรถตรวจสอบระบบโดยไม่รบกวนระบบนั้นๆ
    (ที่ขอบเถียงกันว่าเที่ยงตรง 100% นั่นละ) ดังนั้นจึงสัญลักษณ์สามเหลี่ยมนำหน้าเป็นค่าผลต่างระหว่างตำแหน่ง
    เดลต้า X = x1-x2 ซึ่ง Y Z ก็เช่นเดียวกัน ทำให้เราสามารถระบุตำแหน่งที่น่าจะเป็นของวัตถุนั้นได้
    จากนั้นจึงเกิดแนวคิดของแกนที่ 4 ซึ่งเป็นแกนของเวลา เพื่อให้รู้ว่า ณ เวลานั้น วัตถุนั้นอยู่ตรงไหนด้วย
    นั้นคือกฎข้อที่ 5 ครับ

    ส่วนที่นอกจากนั้นก็เป็นการเพ้อฝันว่าเราสารถย้อนแกนเวลาก็น่าจะสามารถย้อนอดีตได้
    ถ้ามันสามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงเราคงมีตำราได้นั่งเรียนวิชานี้กันไปแล้วล่ะครับ

    Comment


    • แสงเดินทางด้วยความเร็วระดับหนึ่ง...แล้วถ้าเราเดินทางได้เร็วกว่าแสงล่ะอะไรจะเกิดขึ้น?
      ถ้าเรานั่งมองโลกอยู่ที่ดวงจันท์ เวลานี้ เราจะเห็นโลกเมื่อ สองวินาทีที่แล้ว(เดามั่วๆแต่คือการมองอดีตแน่ๆ)
      แล้วถ้ามองจากดาวอังคาร อาจจะเป็น หนึงนาทีที่แล้ว แล้วถ้าไกลออกไปเรื่อยๆล่ะ เท่ากับว่า
      เรามองอดีตไกลขึ้นเรื่อยๆ ถ้าผมสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงมาก ผมจะไปอยู่ที่ดาวอังคารก่อนที่
      ภาพตัวผมที่กำลังพิมพ์คอมพ์อยู่ตอนนี้ จะไปถึงดาวอังคาร เท่ากับว่าผมจะได้มองเห็น
      ตัวผมเองในอดีต ใช่หรือไม่...
      "ก้าวข้ามมิติเวลา" ที่ผมพยายมจะถามคือแบบนี้ไม่ใช่แบบในหนังที่ย้อนเวลา นิยายเพ้อฝันแบบนั้น
      ผมรู้ว่าจริงๆแล้วมันทำไม่ได้หรอกแค่อยากรู้ว่า ในแนวคิดแบบนี้ มันผิดมั้ย ผิดตรงไหน แบบที่คุณ milestone
      พยายามจะอธิบายด้วยสมาการนั่นหล่ะครับ(ขอบคุณมาก) ^^

      Comment


      • tda1543 หาซื้อร้านไหนเหรอครับ หายากจัง

        Comment


        • Originally posted by siligon_gt View Post
          tda1543 หาซื้อร้านไหนเหรอครับ หายากจัง
          ลองดูทีmastercomponent
          http://www.mastercomponent.com/

          ___________

          ร้านใต้บันได เอา c silmic ขาทองมาขายน่ะครับ

          คู่ล่ะ20ได้ ไปตบแย่งกันเอาเอง

          หาลวดชุบทองไม่ได้ตัดขาcมาแทนก็ได้ silmic ขาทองแดงofc ด้วยน่ะ
          Last edited by ManiacMaew; 3 May 2011, 21:11:49.

          Comment


          • Originally posted by fenderfree View Post
            แสงเดินทางด้วยความเร็วระดับหนึ่ง...แล้วถ้าเราเดินทางได้เร็วกว่าแสงล่ะอะไรจะเกิดขึ้น?
            ถ้าเรานั่งมองโลกอยู่ที่ดวงจันท์ เวลานี้ เราจะเห็นโลกเมื่อ สองวินาทีที่แล้ว(เดามั่วๆแต่คือการมองอดีตแน่ๆ)
            แล้วถ้ามองจากดาวอังคาร อาจจะเป็น หนึงนาทีที่แล้ว แล้วถ้าไกลออกไปเรื่อยๆล่ะ เท่ากับว่า
            เรามองอดีตไกลขึ้นเรื่อยๆ ถ้าผมสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงมาก ผมจะไปอยู่ที่ดาวอังคารก่อนที่
            ภาพตัวผมที่กำลังพิมพ์คอมพ์อยู่ตอนนี้ จะไปถึงดาวอังคาร เท่ากับว่าผมจะได้มองเห็น
            ตัวผมเองในอดีต ใช่หรือไม่...
            "ก้าวข้ามมิติเวลา" ที่ผมพยายมจะถามคือแบบนี้ไม่ใช่แบบในหนังที่ย้อนเวลา นิยายเพ้อฝันแบบนั้น
            ผมรู้ว่าจริงๆแล้วมันทำไม่ได้หรอกแค่อยากรู้ว่า ในแนวคิดแบบนี้ มันผิดมั้ย ผิดตรงไหน แบบที่คุณ milestone
            พยายามจะอธิบายด้วยสมาการนั่นหล่ะครับ(ขอบคุณมาก) ^^
            ถ้ามองในแง่นี้ก็จริงครับ
            แต่แบบนี้ถือว่าเกิดใน 2 กรณี

            1.ตามทฤษฎี
            ทุกสิ่งเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าใครจะรับรู้อย่างไรก็ตาม

            2.ตามความรับรู้
            สิ่งที่เรามองเห็นจากดวงตา คือสิ่งที่แสงสะท้อนจากวัตถุแล้วกลับเข้ามาในดวงตาของเรา ดังนั้น
            ถ้าคนที่อยู่***งวัตถุ 1 เมตรจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วกว่าคนที่ยืนอยู่***งจากวัตถุ 3x10^8 เมตรเป็นเวลา 1 วินาที
            เพราะแสงใช้เวลา 1 วินาทีในการเดินทาง ถ้าเราเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงก็จะเห็นสิ่งที่สะท้อนก่อนหน้านั้นตามที่สมมุติไว้

            ที่มันประหลาดกว่านั้น ในทางวิทยาศาสตร์ ยอมรับข้อ 2 ตามคุณ fenderfree มากกว่าข้อ 1 เพราะกฎของการวัดมีข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า
            "ตราบใดที่ไม่เกิดการวัดเราถือว่าสิ่งนั้นไม่เคยมี" ซึ่งหมายความว่าการวัดคือการรับรู้นั่นเอง

            และคนที่ออกมาต่อต้านกฎข้อนี้ตัวตั้งตัวตีเลยคือไอน์สไตน์ มีประโยคที่ดังมากคือ
            "ถ้าเราไม่มองดวงจันทร์หมายความว่าดวงจันทร์ไม่มีอยู่หรือไง"

            ไอน์สไตน์เป็นคนที่ต่อต้านทฤษฎีควันตัม จวบจนวาระสุดท้าย
            แต่ทุกอย่างที่ท่านคิดมากลับถูกพิสูจน์จากทฤษฎีควันตัมหลังจากท่านเสียชีวิตไปแล้ว 25 ปี
            เราจึงถือว่าท่านคือบิดาคนนึงแห่งวิชาควันตัม (คิดก่อนพิสูจน์ได้ตั้ง 25 ปี o.O)

            ดึกๆเอาวิชาการมาช่วยกล่อมให้ง่วงนอนครับ ^^

            ขอชมนิดนึงครับ นี่เป็นคำถามที่ดีมาก คนที่จบสายนี้โดยตรงผมบอกได้เต็มปากเลยว่า มีน้อยคนที่สังเกตุคำถามนี้ขึ้นมาได้
            เป็นคนที่ที่มีระบบความคิดดีเยี่ยมเลยทีเดียว ^^
            Last edited by milestone; 3 May 2011, 22:30:31.

            Comment


            • ที่ผมเข้าไปอ่านในนี้ เค้าว่ามาว่า วัตถุที่เคลื่อนที่จะหดตัวเล็กลง ซึ่งตรงกับแหล่งความรู้อื่นๆที่เคยศึกษาเรียนรู้มา
              http://www.unigang.com/Article/189

              E = Energy พลังงานที่วัดขนาดเป็นปริมาตรไม่ได้ แต่สังเกตได้จากขนาดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากพลังงานในช่วงเวลาที่วัดเป็น มิติเวลาได้ และจากความเข้มของการเปลี่ยนแปลงในมวลสาร

              M = Mass มวลสารที่วัดขนาดเป็น 3 มิติแห่งเทศะได้อย่างเป็นอิสระจาก 1 มิติเวลา

              c = Constant ซึ่งมีค่าเท่ากับความเร็วของแสง คือ 3 แสนกิโลเมตรต่อวินาที อันเป็นความเร็วสูงสุดที่อาจจะปรากฏเป็นปรากฏการณ์ได้ หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ไม่มีอะไรจะมีความเร็วได้เกินความเร็วของแสง และเมื่ออะไรก็ตามที่เร็วโดยตัวเองจะกลายเป็นพลังแสง และถ้าเร็วถึงอัตราความเร็วของแสงจะกลายเป็นพลังงานหมด เพื่อรักษาความเร็วของแสง (ทฤษฎีนี้ของไอน์สไตน์เริ่มจะมีผู้กังขา)

              สมการ E = Mc2 หรือ E = หรือ พลังงาน = จึงมีแฟคเตอร์สัมพัทธ์กันอยู่ 3 ชนิด คือ พลังงานที่ผลักดันให้เกิดความเร็ว มวลสารที่มีขนาดวัดได้เป็น 3 มิติของเทศะ รวมเรียกว่าห้วงเทศะ และช่วงเวลาวัดได้เป็น 1 มิติ

              หากไม่ใส่พลังงานเข้าไป หรือพลังงานเป็น 0 ทั้ง 3 แฟคเตอร์ก็จะมีสภาพคงตัวนิรันดรตามข้างขวาของสมการ ครั้นพลังงานไม่เป็น 0 ไม่ว่าจะมากหรือน้อย แฟคเตอร์ทั้ง 3 จะทำปฏิกริยาต่อกันทันทีตามสมการ คือ พลังงานมากขึ้นจะทำให้ระยะทางมากขึ้นตามส่วน พลังงานที่เพิ่มขึ้นจาก 0 นั้นมาจากไหน ตามความคิดของไอน์สไตน์ พลังงานกับมวลสารเปลี่ยนแปลงไปมาหากันได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดระยะทาง (D) พลังงานมาจากไหนไม่สำคัญ แต่มวลสารที่เคลื่อนที่ได้ระยะทางก็ต้องแปรสภาพมาเป็นความเร็ว ก็หมายความว่าความเร็วยิ่งมาก มวลสารก็ต้องลดลง และจะได้ความเร็วเป็นปฏิภาคส่วนตรง ในขณะเดียวกันช่วงเวลาก็จะยืดออกเป็นปฏิภาคส่วนกลับ เพื่อได้จำนวน C ให้เป็น 300,000 กิโลเมตรต่อวินาทีไว้เสมอ และตรงข้ามเมื่อมวลสสารลดความเร็วลดลง พลังงานที่ใช้น้อยลงจะแปร สภาพเป็นมวลสาร ทำให้มวลสารมีขนาดใหญ่ขึ้น และช่วงเวลาก็จะหดลงตามส่วน

              สรุปได้ว่า หากเกิดการเคลื่อนที่ของมวลสารขึ้นเมื่อใด ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ มวลสารหรือขนาดของก้อนสสารที่เคลื่อนจะลดขนาดลงเป็นปฏิภาคส่วนกลับกับความ เร็ว และเวลาจะยืดมากขึ้นเป็นปฏิภาคส่วนตรงกับความเร็ว เช่นดินสอ ที่ถืออยู่ในมือ หากมีความเร็ว ขนาดจะ เล็กลง ยิ่งเร็วยิ่งเล็กลง แต่ในขณะเดียวกันช่วงเวลาจะยืดออก ยิ่งเร็วยิ่งยืด คือ อายุจะยาวมากกว่าอยู่นิ่ง ๆ ภาพยนตร์ เรื่องผจญพิภพวานร (The Space of the Apes) เป็นตัวอย่างการประยุกต์ทฤษฎีนี้กับชีวิตที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อมีการ ส่งยานอวกาศออกเดินทางในอวกาศเป็นเวลานาน

              มิติที่ 4 ของไอน์สไตน์ก็คือช่วงเวลานั่นเอง มวลสารหรือสสารก้อนใดก็ตาม ย่อมมีห้วงเทศะ 3 มิติ คือ กว้าง ยาว สูง รวมกับช่วงเวลาเป็นมวลสสาร 4 มิติ คือ กว้าง ยาว สูง และอายุ ตัวท่านผู้อ่านทุกท่านมี 4 มิติด้วยกันทุกคน คือ มีขนาดกว้าง ยาว สูง และอายุ หากท่านลดความกว้างของท่านไปเรื่อย ๆ อีก 3 มิติ คือ ยาว สูง และอายุยังคงมีอยู่ อาจจะเปลี่ยนตัวเลขเท่านั้น แต่ถ้าลดความกว้างเหลือ 0 เมื่อใด อีก 3 มิติก็จะเป็น 0 ตามไปด้วยทันทีโดยจำเป็น ลองทำดูกับมิติยาว และสูง ก็จะได้ผลเช่นเดียวกัน อายุก็เช่นกัน ท่านอาจจะลดอายุลงได้เรื่อย ๆ ไปโดยยังคงมีมิติกว้าง ยาว สูง อยู่ทุกอายุ ครั้นอายุถึง 0 คือยังไม่เกิด มิติกว้าง ยาว สูง ของท่านจะหายวับไปกับตาทันที

              อธิบายเป็นตัวหนังสือได้เพียงแค่นี้แหละครับ ถ้าต้องการความกระจ่างกว่านี้ก็ต้องมาเสวนากันแหละครับ สวนสุนันทาเปิดเสวนาปัญหาปรัชญาทุกวันอาทิตย์ ติดต่อ ศ.กีรติ บุญเจือ

              กีรติ บุญเจือ...ศาสตราจารย์ราชบัณฑิต

              Comment


              • Originally posted by fenderfree View Post
                ที่ผมเข้าไปอ่านในนี้ เค้าว่ามาว่า วัตถุที่เคลื่อนที่จะหดตัวเล็กลง ซึ่งตรงกับแหล่งความรู้อื่นๆที่เคยศึกษาเรียนรู้มา
                http://www.unigang.com/Article/189

                E = Energy พลังงานที่วัดขนาดเป็นปริมาตรไม่ได้ แต่สังเกตได้จากขนาดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากพลังงานในช่วงเวลาที่วัดเป็น มิติเวลาได้ และจากความเข้มของการเปลี่ยนแปลงในมวลสาร

                M = Mass มวลสารที่วัดขนาดเป็น 3 มิติแห่งเทศะได้อย่างเป็นอิสระจาก 1 มิติเวลา

                c = Constant ซึ่งมีค่าเท่ากับความเร็วของแสง คือ 3 แสนกิโลเมตรต่อวินาที อันเป็นความเร็วสูงสุดที่อาจจะปรากฏเป็นปรากฏการณ์ได้ หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ไม่มีอะไรจะมีความเร็วได้เกินความเร็วของแสง และเมื่ออะไรก็ตามที่เร็วโดยตัวเองจะกลายเป็นพลังแสง และถ้าเร็วถึงอัตราความเร็วของแสงจะกลายเป็นพลังงานหมด เพื่อรักษาความเร็วของแสง (ทฤษฎีนี้ของไอน์สไตน์เริ่มจะมีผู้กังขา)

                สมการ E = Mc2 หรือ E = หรือ พลังงาน = จึงมีแฟคเตอร์สัมพัทธ์กันอยู่ 3 ชนิด คือ พลังงานที่ผลักดันให้เกิดความเร็ว มวลสารที่มีขนาดวัดได้เป็น 3 มิติของเทศะ รวมเรียกว่าห้วงเทศะ และช่วงเวลาวัดได้เป็น 1 มิติ

                หากไม่ใส่พลังงานเข้าไป หรือพลังงานเป็น 0 ทั้ง 3 แฟคเตอร์ก็จะมีสภาพคงตัวนิรันดรตามข้างขวาของสมการ ครั้นพลังงานไม่เป็น 0 ไม่ว่าจะมากหรือน้อย แฟคเตอร์ทั้ง 3 จะทำปฏิกริยาต่อกันทันทีตามสมการ คือ พลังงานมากขึ้นจะทำให้ระยะทางมากขึ้นตามส่วน พลังงานที่เพิ่มขึ้นจาก 0 นั้นมาจากไหน ตามความคิดของไอน์สไตน์ พลังงานกับมวลสารเปลี่ยนแปลงไปมาหากันได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดระยะทาง (D) พลังงานมาจากไหนไม่สำคัญ แต่มวลสารที่เคลื่อนที่ได้ระยะทางก็ต้องแปรสภาพมาเป็นความเร็ว ก็หมายความว่าความเร็วยิ่งมาก มวลสารก็ต้องลดลง และจะได้ความเร็วเป็นปฏิภาคส่วนตรง ในขณะเดียวกันช่วงเวลาก็จะยืดออกเป็นปฏิภาคส่วนกลับ เพื่อได้จำนวน C ให้เป็น 300,000 กิโลเมตรต่อวินาทีไว้เสมอ และตรงข้ามเมื่อมวลสสารลดความเร็วลดลง พลังงานที่ใช้น้อยลงจะแปร สภาพเป็นมวลสาร ทำให้มวลสารมีขนาดใหญ่ขึ้น และช่วงเวลาก็จะหดลงตามส่วน

                สรุปได้ว่า หากเกิดการเคลื่อนที่ของมวลสารขึ้นเมื่อใด ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ มวลสารหรือขนาดของก้อนสสารที่เคลื่อนจะลดขนาดลงเป็นปฏิภาคส่วนกลับกับความ เร็ว และเวลาจะยืดมากขึ้นเป็นปฏิภาคส่วนตรงกับความเร็ว เช่นดินสอ ที่ถืออยู่ในมือ หากมีความเร็ว ขนาดจะ เล็กลง ยิ่งเร็วยิ่งเล็กลง แต่ในขณะเดียวกันช่วงเวลาจะยืดออก ยิ่งเร็วยิ่งยืด คือ อายุจะยาวมากกว่าอยู่นิ่ง ๆ ภาพยนตร์ เรื่องผจญพิภพวานร (The Space of the Apes) เป็นตัวอย่างการประยุกต์ทฤษฎีนี้กับชีวิตที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อมีการ ส่งยานอวกาศออกเดินทางในอวกาศเป็นเวลานาน

                มิติที่ 4 ของไอน์สไตน์ก็คือช่วงเวลานั่นเอง มวลสารหรือสสารก้อนใดก็ตาม ย่อมมีห้วงเทศะ 3 มิติ คือ กว้าง ยาว สูง รวมกับช่วงเวลาเป็นมวลสสาร 4 มิติ คือ กว้าง ยาว สูง และอายุ ตัวท่านผู้อ่านทุกท่านมี 4 มิติด้วยกันทุกคน คือ มีขนาดกว้าง ยาว สูง และอายุ หากท่านลดความกว้างของท่านไปเรื่อย ๆ อีก 3 มิติ คือ ยาว สูง และอายุยังคงมีอยู่ อาจจะเปลี่ยนตัวเลขเท่านั้น แต่ถ้าลดความกว้างเหลือ 0 เมื่อใด อีก 3 มิติก็จะเป็น 0 ตามไปด้วยทันทีโดยจำเป็น ลองทำดูกับมิติยาว และสูง ก็จะได้ผลเช่นเดียวกัน อายุก็เช่นกัน ท่านอาจจะลดอายุลงได้เรื่อย ๆ ไปโดยยังคงมีมิติกว้าง ยาว สูง อยู่ทุกอายุ ครั้นอายุถึง 0 คือยังไม่เกิด มิติกว้าง ยาว สูง ของท่านจะหายวับไปกับตาทันที

                อธิบายเป็นตัวหนังสือได้เพียงแค่นี้แหละครับ ถ้าต้องการความกระจ่างกว่านี้ก็ต้องมาเสวนากันแหละครับ สวนสุนันทาเปิดเสวนาปัญหาปรัชญาทุกวันอาทิตย์ ติดต่อ ศ.กีรติ บุญเจือ

                กีรติ บุญเจือ...ศาสตราจารย์ราชบัณฑิต
                กีรติ บุญเจือ
                ?M.A. in Philosophy from Universita Urbaniana, Rome.
                ?M.A. in Theology from Universita Urbaniana, Rome.
                ?M.A. in French Literature from Chulalongkorn University, Bangkok

                ถ้าเร็วถึงอัตราความเร็วของแสงจะกลายเป็นพลังงานหมด เพื่อรักษาความเร็วของแสง (ทฤษฎีนี้ของไอน์สไตน์เริ่มจะมีผู้กังขา) - ไม่เคยมี ผมขอยืนยัน
                ถ้าที่พิมพ์มาไม่ผิดเลย ผมมั่นใจว่า คุณกีรติ บุญเจือ ไม่เข้าใจในระบบสมการเลย
                M และ C ไม่ใช่ตัวแปรครับ เป็นค่าคงที่ ที่ถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์
                E และ V เป็นตัวแปรที่ถูกแทนที่ได้ ค่าจึงเปลี่ยนแปลงได้ครับ
                สังเกตุได้ง่ายๆตั้งแต่เล็กจนโตเรามักจะคำนวณหาว่ามวลนี้เท่าไหร่ แต่ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวว่ามวลเปลี่ยนเป็นเท่าไหร่ครับ

                มิติที่ 4 ของไอน์สไตน์ก็คือช่วงเวลานั่นเอง มวลสารหรือสสารก้อนใดก็ตาม ย่อมมีห้วงเทศะ 3 มิติ คือ กว้าง ยาว สูง รวมกับช่วงเวลาเป็นมวลสสาร 4 มิติ คือ กว้าง ยาว สูง และอายุ ตัวท่านผู้อ่านทุกท่านมี 4 มิติด้วยกันทุกคน คือ มีขนาดกว้าง ยาว สูง และอายุ หากท่านลดความกว้างของท่านไปเรื่อย ๆ อีก 3 มิติ คือ ยาว สูง และอายุยังคงมีอยู่ อาจจะเปลี่ยนตัวเลขเท่านั้น แต่ถ้าลดความกว้างเหลือ 0 เมื่อใด อีก 3 มิติก็จะเป็น 0 ตามไปด้วยทันทีโดยจำเป็น ลองทำดูกับมิติยาว และสูง ก็จะได้ผลเช่นเดียวกัน อายุก็เช่นกัน ท่านอาจจะลดอายุลงได้เรื่อย ๆ ไปโดยยังคงมีมิติกว้าง ยาว สูง อยู่ทุกอายุ ครั้นอายุถึง 0 คือยังไม่เกิด มิติกว้าง ยาว สูง ของท่านจะหายวับไปกับตาทันที

                นี่เป็นแนวคิดที่เกิดจากภาพยนต์ครับ ไม่เคยเกิดในวงการวิทยาศาสตร์ มิติ 1 2 3 4 เป็นดังที่ผมบอกไปแล้ว มีไว้เพื่อระบุพิกัดของวัตถุที่สังเกตุการ(อนุภาค)เท่านั้นครับ
                ส่วนข้างบนพบได้ในภาพยนต์ทั่วไปที่นำแนวคิดนี้ไปดัดแปลงเท่านั้นเอง

                ดูจากประวัติท่าน ท่านมักเขียนเกี่ยวกับปรัชญญากับศาสนา ผมว่างานนี้ฟังหูไว้หูก็ดีนะครับ
                Last edited by milestone; 3 May 2011, 23:07:39.

                Comment


                • ^
                  +
                  ครับ
                  ลูกมะม่วงยังไม่มี....แต่จะหาต้นมะม่วง

                  Comment


                  • ครับ..ขอบคุณครับ เพราะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถึงได้มาถามนี่หล่ะ ผมเข้าใจในแง่มุมมองของนักวิทยาศาสย์
                    ที่มักจะมีการโต้แย้งกันเสมอ ตราบใดที่การพิสูจไม่ได้เกิดขึ้น ต่างคนต่างมี แนวคิด ทฤษฏี ความเชื่อ แต่งต่างกันไป
                    จนกว่าจะได้มีการพิสูจแล้วนั่นหล่ะ(บางทีก็มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับวิธีพิสูจอีกทีนั่นหล่ะ)

                    Comment


                    • Originally posted by fenderfree View Post
                      ครับ..ขอบคุณครับ เพราะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถึงได้มาถามนี่หล่ะ ผมเข้าใจในแง่มุมมองของนักวิทยาศาสย์
                      ที่มักจะมีการโต้แย้งกันเสมอ ตราบใดที่การพิสูจไม่ได้เกิดขึ้น ต่างคนต่างมี แนวคิด ทฤษฏี ความเชื่อ แต่งต่างกันไป
                      จนกว่าจะได้มีการพิสูจแล้วนั่นหล่ะ(บางทีก็มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับวิธีพิสูจอีกทีนั่นหล่ะ)
                      สิ่งที่เกิดขึ้น ลูกมะม่วง
                      การพิสูจน์...หาต้นมะม่วง

                      ผมไม่ค่อยชอบ นักวิชาการ..ที่เอาศาสนามาเปรียบเทียบ
                      ส่วนตัวผมเอง..บอกว่าความรู้ทางพุทธศาสนาในระดับกลาง
                      ถ้าเปรียบพระพุทธศาสนาเป็นต้นไม้
                      ความรู้ทางพุทธศาสนาในระดับกลาง ก็แค่เปลือกไม้ชั้นนอก
                      ความรู้ทางพุทธศาสนาในระดับสูง ก็แค่เปลือกไม้ชั้นใน
                      หาคนที่จะรู้ถึงแก่นแทบจะไม่มี(ไม่ว่าเป็นบรรพชิต หรือคฤหัส)
                      แล้วคนส่วนใหญ่...แม้กระทั่งเปลือกไม้ก็ยังไม่เคยสัมผัส

                      Comment


                      • ครับ เข้าใจว่าทุกอย่างต้องมีเหตุถึงจะมีผล ยังไม่มีผลแต่จะหาเหตุ ผมก็เชื่อว่านักวิทยาศาสที่คิดค้นอะไรใหม่ๆได้
                        เค้าก็คงมีแนวคิดที่ว่าเอาเหตุหาผล ซึ่งผลในตอนนั้นก็ยังไม่เกิดผล เค้าจึงเริ่มจากเหตุก่อน ก็เหมือนกันล่ะครับ
                        ผมก็ต้องเริ่มจากการหาต้น ก่อน จึงจะเห็นผล ที่คิดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า ผมจะไปคิดค้นอะไรใหม่
                        หรือแสดงความอวดรู้แต่อย่างใด(ต้องขออภัยด้วยครับถ้าผมไม่ได้ตั้งใจ) เมื่อไม่มีลูกมะม่วง อยู่ในมือเราจึงต้องหา
                        ต้นมะม่วงให้เจอก่อน เมื่อเจอแล้วจะได้รู้ว่ามะม่วงหล่นไปที่ใด
                        จริงๆผมมีคำถามมากมายแต่ไม่อยากรบกวนพื้นที่ แค่นี้ก็พาออกทะเลไปไกลละ 555+
                        ท่าน milestone มีเว็บบอร์ดที่ไหน ให้ผมได้ไปเก็บเกี่ยวความรู้ได้บ้างครับ
                        Originally posted by tiger X-fi View Post
                        ^
                        +
                        ครับ
                        ลูกมะม่วงยังไม่มี....แต่จะหาต้นมะม่วง

                        Comment


                        • Originally posted by fenderfree View Post
                          ครับ เข้าใจว่าทุกอย่างต้องมีเหตุถึงจะมีผล ยังไม่มีผลแต่จะหาเหตุ ผมก็เชื่อว่านักวิทยาศาสที่คิดค้นอะไรใหม่ๆได้
                          เค้าก็คงมีแนวคิดที่ว่าเอาเหตุหาผล ซึ่งผลในตอนนั้นก็ยังไม่เกิดผล เค้าจึงเริ่มจากเหตุก่อน ก็เหมือนกันล่ะครับ
                          ผมก็ต้องเริ่มจากการหาต้น ก่อน จึงจะเห็นผล ที่คิดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า ผมจะไปคิดค้นอะไรใหม่
                          หรือแสดงความอวดรู้แต่อย่างใด(ต้องขออภัยด้วยครับถ้าผมไม่ได้ตั้งใจ) เมื่อไม่มีลูกมะม่วง อยู่ในมือเราจึงต้องหา
                          ต้นมะม่วงให้เจอก่อน เมื่อเจอแล้วจะได้รู้ว่ามะม่วงหล่นไปที่ใด
                          จริงๆผมมีคำถามมากมายแต่ไม่อยากรบกวนพื้นที่ แค่นี้ก็พาออกทะเลไปไกลละ 555+
                          ท่าน milestone มีเว็บบอร์ดที่ไหน ให้ผมได้ไปเก็บเกี่ยวความรู้ได้บ้างครับ
                          ผมมองกลับกัน ผมมองว่า มีผล ถึงจะเหตุได้
                          ไมเคิล ฟาราเดย์ เห็นฟ้าฝ่า ถึงได้ทดลองเรื่องไฟฟ้า เรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า
                          โทมัส อัลวา เอดิสัน เห็นฟ้าฝ่ามีแสงสว่าง จึงเชื่อว่าจะสร้างหลอดไฟได้
                          ถือว่าเป็นรากฐานเครื่องไฟฟ้า
                          เลโอนาร์โด ดา วินชี ได้เห็นนก ถึงเชื่อว่าคนเราต้องบิน
                          เพราะความเชื่อว่า บินได้
                          พี่น้องตระกูลไรท์ วิลเบอร์ - ออร์วิล ไรท์ (Writhe Brother) จึงได้สร้างเครื่องบินได้สำเร็จ
                          เพราะล้อและเพลา โทมัส นิวโคเมน (Thomas Newcomen) จึงได้สร้างเครื่องจรักไอน้า
                          ต่อมา เจมส์ วัตต์ ได้พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำขึ้น เป็นรากฐานเครื่องจักรอุตสาหกรรมและยานยนต์
                          ที่เหลือก็เป็นการต่อยอดเทคโนโลยี
                          ส่วนพวกหมอต่างๆเพราะมีโรคเกิดขึ้นจึงได้สร้างวัคซีนและยารักษา
                          -----------------
                          ส่วนเรื่องความเชื่อ ย้ายวัตถุในพริบตา หรือเดินทางข้ามเวลา
                          เพราะมีปรากฎการเรื่องกองทัพอะไรสักอย่างจำไม่ได้ โดนพายุสนามแม่เหล็ก
                          แล้วย้ายไปอีกที่ แค่เล่าขานเคยมีคนพยามหาหลักฐานแต่ก็ไม่มีอะไรยืนยัน
                          ก็เลยเป็นจินตนาการให้กับศิลปิน และเป็นแนวคิดให้กับนักวิทยาศาสตร์
                          ที่จะทำแนวคิดให้เป็นรูปธรรม
                          -----------------------------
                          ดังนั้นผมจึงว่า ลูกมะม่วงยังไม่มี....แต่จะหาต้นมะม่วง
                          ให้หาลูกมะม่วงซะก่อน ...แล้วค่อยไปหาต้นมะม่วง
                          อย่างเรื่องผี
                          ถ้าหลักการของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ว่า พลังงานจะไม่สูญสิ้นแต่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
                          ในทางการแพทย์บอก คนเรามีคลื่นไฟฟ้าในสมอง ในขณะคนที่เราตายลงไป
                          พลังงานในส่วนนี้...จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็นอะไร
                          หลายๆอย่างควรรู้....หลายๆอย่างก็ไม่ควรรู้ครับ

                          Comment


                          • ถ้าเป็นไปได้ คุณ tiger x-fi ช่วยชี้ทางให้ทีได้ไหมครับ ว่า มะม่วง คืออะไร
                            เพราะผมไม่สามารถตีความหมายเชิงเปรียบเทียบ ปรัชญา ของคุณได้
                            ผมเข้าใจว่า คุณเข้าใจว่าผม ยังไม่ได้เห็นสิ่งที่ผมพูดเป็นจริงเลย แล้วจะหา เหตุที่ไม่มีผลได้อย่างไร
                            แบบนี้ใช่หรือเปล่าครับ ใจเย็นๆผมก็แค่สงสัย ถ้าไม่ใช่ ไม่มี ไม่จริง ก็ตอบตามที่ท่านรู้ ก็ได้
                            ดีกว่าจะปล่อยให้ผมงมงายต่อไปดีกว่าครับ
                            แต่ผมไม่ได้ตีกรอบความคิดตัวเองเรื่อง เอาเหตุหาผลหรือเอาผลหาเหตุ นะครับ
                            ขอบคุณครับ ^^

                            Originally posted by tiger X-fi View Post
                            ผมมองกลับกัน ผมมองว่า มีผล ถึงจะเหตุได้
                            ไมเคิล ฟาราเดย์ เห็นฟ้าฝ่า ถึงได้ทดลองเรื่องไฟฟ้า เรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า
                            โทมัส อัลวา เอดิสัน เห็นฟ้าฝ่ามีแสงสว่าง จึงเชื่อว่าจะสร้างหลอดไฟได้
                            ถือว่าเป็นรากฐานเครื่องไฟฟ้า
                            เลโอนาร์โด ดา วินชี ได้เห็นนก ถึงเชื่อว่าคนเราต้องบิน
                            เพราะความเชื่อว่า บินได้
                            พี่น้องตระกูลไรท์ วิลเบอร์ - ออร์วิล ไรท์ (Writhe Brother) จึงได้สร้างเครื่องบินได้สำเร็จ
                            เพราะล้อและเพลา โทมัส นิวโคเมน (Thomas Newcomen) จึงได้สร้างเครื่องจรักไอน้า
                            ต่อมา เจมส์ วัตต์ ได้พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำขึ้น เป็นรากฐานเครื่องจักรอุตสาหกรรมและยานยนต์
                            ที่เหลือก็เป็นการต่อยอดเทคโนโลยี
                            ส่วนพวกหมอต่างๆเพราะมีโรคเกิดขึ้นจึงได้สร้างวัคซีนและยารักษา
                            -----------------
                            ส่วนเรื่องความเชื่อ ย้ายวัตถุในพริบตา หรือเดินทางข้ามเวลา
                            เพราะมีปรากฎการเรื่องกองทัพอะไรสักอย่างจำไม่ได้ โดนพายุสนามแม่เหล็ก
                            แล้วย้ายไปอีกที่ แค่เล่าขานเคยมีคนพยามหาหลักฐานแต่ก็ไม่มีอะไรยืนยัน
                            ก็เลยเป็นจินตนาการให้กับศิลปิน และเป็นแนวคิดให้กับนักวิทยาศาสตร์
                            ที่จะทำแนวคิดให้เป็นรูปธรรม
                            -----------------------------
                            ดังนั้นผมจึงว่า ลูกมะม่วงยังไม่มี....แต่จะหาต้นมะม่วง
                            ให้หาลูกมะม่วงซะก่อน ...แล้วค่อยไปหาต้นมะม่วง
                            อย่างเรื่องผี
                            ถ้าหลักการของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ว่า พลังงานจะไม่สูญสิ้นแต่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
                            ในทางการแพทย์บอก คนเรามีคลื่นไฟฟ้าในสมอง ในขณะคนที่เราตายลงไป
                            พลังงานในส่วนนี้...จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็นอะไร
                            หลายๆอย่างควรรู้....หลายๆอย่างก็ไม่ควรรู้ครับ

                            Comment


                            • มะม่วง=แนวคิด ความเชื่อ ปรากฎการ
                              นำทฤษฎีที่มี มาหาตัวแปร
                              ถ้าตัวแปรไม่ถูกต้องก็จะไม่มีผลลัพท์
                              (ทฤษฎี+ตัวแปร ได้ผลลัพท์ไม่ถูกต้อง...ทฤษฎีล้มหรือหาตัวแปรกันต่อไป
                              ทฤษฎี+ตัวแปร ได้ผลลัพท์ที่ถูกต้อง.....ประสบความสำเร็จ)

                              ต้นมะม่วง=ผลลัพท์ที่ถูกต้อง ครับ
                              ---------------
                              การหาลูกมะม่วง ท่านต้องเก็บข้อมูลเรื่อง แนวคิด ความเชื่อ ปรากฎการ
                              ให้ได้มากที่สุดครับ หาตัวแปรที่คล้ายกันในแต่ละข้อมูล เอามารวม
                              กับทฤษฎีหรือสูตรคำนวน แล้วหาผลลัพท์ ครับ
                              Last edited by tiger X-fi; 4 May 2011, 04:20:20.

                              Comment


                              • ผี มีจริงหรือเปล่าหว่า
                                ใช้สูตรไหนใช้สมการไหนหาผลลัพท์ของผีได้บ้าง

                                ไปละ แว๊บบบ

                                Comment

                                Working...
                                X