Announcement

Collapse
No announcement yet.

6 โอห์ม และ 8 โอห์ม คืออะไรครับ

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • 6 โอห์ม และ 8 โอห์ม คืออะไรครับ

    6 โอห์ม และ 8 โอห์ม คืออะไรครับ และ แบบไหนดีกว่ากัน

  • #2
    คือค่าความต้านทานครับ

    8 โอห์ม ขับง่ายกว่า 6 โอห์ม

    Comment


    • #3
      ค่าอิมพิแดนซ์ลำโพงครับ เป็นความต้านทานในกระแสสลับครับ ไม่มีตัวไหนดีกว่ากันครับ อยู่ที่เครื่องเสียงท่านครับ ให้ค่าลำโพงกับแอมป์ของท่านตรงกันดีที่สุดครับ

      Comment


      • #4
        Originally posted by jang_2324 View Post
        ค่าอิมพิแดนซ์ลำโพงครับ เป็นความต้านทานในกระแสสลับครับ ไม่มีตัวไหนดีกว่ากันครับ อยู่ที่เครื่องเสียงท่านครับ ให้ค่าลำโพงกับแอมป์ของท่านตรงกันดีที่สุดครับ
        ตามนี้เลยครับ

        Comment


        • #5
          Originally posted by jang_2324 View Post
          ค่าอิมพิแดนซ์ลำโพงครับ เป็นความต้านทานในกระแสสลับครับ ไม่มีตัวไหนดีกว่ากันครับ อยู่ที่เครื่องเสียงท่านครับ ให้ค่าลำโพงกับแอมป์ของท่านตรงกันดีที่สุดครับ
          ค่าน้อยยิ่งดังครับเเต่เครื่องขับจะร้อน แต่มากไปก็ดังไม่ดี ทางที่ดี เท่ากับกำลังเครื่องชับของท่านอ่ะครับ

          Comment


          • #6
            Originally posted by cynical View Post
            คือค่าความต้านทานครับ

            8 โอห์ม ขับง่ายกว่า 6 โอห์ม
            Originally posted by TEEHUNTER View Post
            ค่าน้อยยิ่งดังครับเเต่เครื่องขับจะร้อน แต่มากไปก็ดังไม่ดี ทางที่ดี เท่ากับกำลังเครื่องชับของท่านอ่ะครับ
            ถ้ายิ่งน้อยยิ่งดัง ทำไม 6 ถึงขับยากกว่า 8 ครับ

            อันนี้ไม่รู้จริงๆ ผมก็โง่เรื่องเครื่องเสียงเหมือนกัน

            Comment


            • #7
              ลำโพงที่มีค่า Impedance(ค่าความต้านทานในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ) น้อยจะเหมาะกับแอมป์ที่ความสามารถในการจ่ายกระแสได้มากๆ ครับ ดูง่ายๆเลย ลำโพงรถยนต์ 99% จะมีอิมพิแดนซ์ = 4 ohm
              ส่วนลำโพงบ้านโดยทั่วไปจะเป็น 8 ohm ครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น แอมป์บ้านก็จะออกแบบมาให้รองรับลำโพงที่มี Impedance ตั้งแต่ 4-8 ohm ซึ่งแล้วแต่สเปคของแต่ละยี่ห้อ,แต่ละรุ่น
              เรื่องขับง่ายขับยากนี่ต้องไปดูเรื่องของความไว (sensitivity) ของลำโพงเอาครับ แต่จะยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับมีลำโพงอยู่ 2 คู่ มีค่าความไวเท่ากันคือ 88dB แต่มีอิมพิแดนซ์ไม่เท่ากันคือ 4 และ 8 ohm
              ขับโดยแอมป์ NAD (สมมุติ) ลูกบิด Volume เร่งความดังเสียงอยู่ที่ 10 นาฬิกา
              เสียงของลำโพงทั้ง 2 คู่ จะมีความดังเท่ากันครับ แต่คู่ที่เป็น 4 ohm จะทำให้แอมป์เกิดความร้อนมากกว่าคู่ที่เป็น 8 ohm ครับ

              Comment


              • #8
                อ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี (อย่าว่ากันนะถ้าโง่นิดนึง)

                คือว่า ถ้า 4ohm มันก็หมายถึง ความต้านทานน้อยกว่า แล้วทำไมถึงทำให้ amp ร้อนกว่า 8ohm ได้หล่ะครับ
                มันไม่เหมือนตัวต้านทาน (r) หรือ

                Comment


                • #9
                  Originally posted by tassapon View Post
                  อ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี (อย่าว่ากันนะถ้าโง่นิดนึง)

                  คือว่า ถ้า 4ohm มันก็หมายถึง ความต้านทานน้อยกว่า แล้วทำไมถึงทำให้ amp ร้อนกว่า 8ohm ได้หล่ะครับ
                  มันไม่เหมือนตัวต้านทาน (r) หรือ
                  เหมือนกันครับแต่ R คือค่าความต้านทานในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง(DC) ครับ
                  เมื่อเป็นวงจรไฟฟ้ากระแสสลับจะเรียนค่า R นี้ว่า Impedance ครับ โดยสูตรการคำนวณจะเหมือนกันกับในวงจรกระแสตรงเพียงแต่จะมีเรื่อง power factor เข้ามาเกี่ยวข้องครับ
                  (ถ้าได้เรียนเรื่องวงจรไฟฟ้ามาจะเข้าใจมากขึ้นครับ)

                  ขอยกสูตรคำนวณกำลังไฟฟ้ามาให้เข้าใจมากขึ้นนะครับ
                  P = I ยกกำลัง 2 * R



                  P = กำลังไฟฟ้า หน่วยเป็น วัตต์
                  I = กระแสไฟฟ้า หน่วยเป็น แอมป์
                  R = ค่าความต้านทาน หน่วยเป็น โอห์ม

                  ถ้าต้องการกำลังไฟฟ้า 50 วัตต์ โดยมีค่าความต้านทาน = 8 โอห์ม
                  แทนค่าลงในสูตรแล้วจะได้ I = 2.5 A

                  แต่ถ้าเปลี่ยนค่าความต้านทานลดลงเป็น 4 ohm
                  จะได้ I = 3.54 A

                  จะสังเกตุได้ว่า เมื่อค่าความต้านทานลดลง จะต้องใช้กระแสไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อให้ได้กำลังไฟฟ้าเท่าเดิม

                  เหมือนกันกับลำโพง ถ้ามีอิมพีแดนซ์ลดลง ลำโพงจะต้องการกระแสไฟฟ้าจากแอมป์มากขึ้นครับ
                  แอมป์ก็จะทำงานหนักขึ้นจึงเกิดความร้อนมากกว่าเดิมครับ

                  creditรูป : http://www.pwtk.ac.th

                  Comment


                  • #10
                    กระจ่างเลยครับ ขอบคุณมากครับ

                    มัวแต่ไปคิดตื้นๆว่า ohm น้อย ก็ใช้แรงน้อยอยู่นาน

                    Comment


                    • #11
                      Originally posted by CtMonz View Post
                      เหมือนกันครับแต่ R คือค่าความต้านทานในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง(DC) ครับ
                      เมื่อเป็นวงจรไฟฟ้ากระแสสลับจะเรียนค่า R นี้ว่า Impedance ครับ โดยสูตรการคำนวณจะเหมือนกันกับในวงจรกระแสตรงเพียงแต่จะมีเรื่อง power factor เข้ามาเกี่ยวข้องครับ
                      (ถ้าได้เรียนเรื่องวงจรไฟฟ้ามาจะเข้าใจมากขึ้นครับ)

                      ขอยกสูตรคำนวณกำลังไฟฟ้ามาให้เข้าใจมากขึ้นนะครับ
                      P = I ยกกำลัง 2 * R



                      P = กำลังไฟฟ้า หน่วยเป็น วัตต์
                      I = กระแสไฟฟ้า หน่วยเป็น แอมป์
                      R = ค่าความต้านทาน หน่วยเป็น โอห์ม

                      ถ้าต้องการกำลังไฟฟ้า 50 วัตต์ โดยมีค่าความต้านทาน = 8 โอห์ม
                      แทนค่าลงในสูตรแล้วจะได้ I = 2.5 A

                      แต่ถ้าเปลี่ยนค่าความต้านทานลดลงเป็น 4 ohm
                      จะได้ I = 3.54 A

                      จะสังเกตุได้ว่า เมื่อค่าความต้านทานลดลง จะต้องใช้กระแสไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อให้ได้กำลังไฟฟ้าเท่าเดิม

                      เหมือนกันกับลำโพง ถ้ามีอิมพีแดนซ์ลดลง ลำโพงจะต้องการกระแสไฟฟ้าจากแอมป์มากขึ้นครับ
                      แอมป์ก็จะทำงานหนักขึ้นจึงเกิดความร้อนมากกว่าเดิมครับ

                      creditรูป : http://www.pwtk.ac.th
                      ขอบคุณครับ

                      Comment


                      • #12
                        โอ้โฮ เอา วิชาการ พื้นฐานวิศวะ มาใช้ เลยนะนี้

                        Comment


                        • #13
                          ขอขุดกระทู้เก่ามาตอบนิดนึงนะครับ
                          จริง ๆ แล้วคำว่า Ohm ไม่น่าจะใช้คำว่า
                          ความต้านทาน เพราะอาจจะทำให้เกิดความ
                          เข้าใจผิดระหว่างแปลไทยเป็น Eng จริง ๆ ถ้าใช้
                          คำว่า ความทนทาน อะไรประมาณนี้จะสื่อสารกันได้ OK กว่าครับ

                          Comment


                          • #14
                            Originally posted by tugy View Post
                            ขอขุดกระทู้เก่ามาตอบนิดนึงนะครับ
                            จริง ๆ แล้วคำว่า Ohm ไม่น่าจะใช้คำว่า
                            ความต้านทาน เพราะอาจจะทำให้เกิดความ
                            เข้าใจผิดระหว่างแปลไทยเป็น Eng จริง ๆ ถ้าใช้
                            คำว่า ความทนทาน อะไรประมาณนี้จะสื่อสารกันได้ OK กว่าครับ
                            มุขหรือเปล่าครับ http://dict.longdo.com/search/Ohm

                            ในที่นี้ จขกท. พูดถึง 6 โอห์ม และ 8 โอห์ม เป็นที่เข้าใจกันว่าพูดถึงความต้านทานของลำโพง(เป็นโอห์มเหมือนตัวต้านทาน)
                            จะเห็นว่าในลำโพงถูกๆที่ใช้ประกอปสำเร็จรูปมาเช่นtv/minicompo./ลำโพง+แอมป์ในตัว
                            บางทีใช้4โอห์ม ด้วยซ้ำไปเหตุผลคือยิ่งความต้านทานต่ำยิ่งขับง่ายสามารถใช้ชิปแอมป์วัตต์ต่ำๆก็ขับเสียงได้ดังกว่าโอห์มสูงๆลดต้นทุนได้บาน

                            ส่วนลำโพงแพงๆไม่ต้องพูดถึงหรอกครับว่าโอห์มมาก โอห์มน้อย ขับยากขับง่าย(แอมป์ขับลำโพง)

                            มันขึ้นอยู่กับการออกแบบลำโพงบางทีแอมป์วัตต์สูงๆยี่ห้อดีๆใช่ว่าจะขับลำโพงไม่ว่าโอห์มมาก โอห์มน้อยได้เสียงดีทุกตัว ต้องดูว่ามันไปด้วยกันได้ดีหรือเปล่าอีกที หรือพูดกันว่าแมทไรเนี๊ย

                            Comment


                            • #15
                              ผมก็ความรู้น้อยนิดนะ
                              เท่าที่รู้มาการบอกวัตต์ก็เป็นการตลาดเหมือนกัน
                              ตัวแรกแอมป์ญี่ปุ่นบอกว่า 300 วัตต์ กับ อีกตัวนึง แค่ 100 วัตต์ แต่หนัก40-50กิโล และยี่ห้อ mark levinson เราจะเลือกอะไร
                              อย่างที่ผมใช้เขาบอกแค่50 ที่8โอห์ม 100 ที่4โอห์ม เขาบอกวัดจริงได้ 80/140
                              ผมถามคนขายว่าอยากจะซื้อรุ่นที่ใหญ่ขึ้นที่เขียนว่า 100 ที่8โอห์ม 200 ที่4โอห์ม นึกว่าจะได้กำลังเพิ่มขึ้น
                              คนขายห้าม เขาบอกว่าที่พี่ใช้อยู่น่ะดีแล้ว รุ่นที่ใหญ่ขึ้นมามันแค่เพิ่มความละเอียดเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น กำลังก็พอๆกัน
                              ถ้าฟังดูรุ่นใหญ่อาจฟังแล้วเบสต้นน้อยลงด้วย เพราะไปเพิ่มความละเมียดนั่นเอง

                              Comment

                              Working...
                              X