Logo.jpg
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จับมือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ออกโรงเตือนผู้บริโภคเลี่ยงใช้โปรแกรมเถื่อน หลังพบเครื่องคอมพิวเตอร์กว่า 8 ใน 10 ถูกโจมตีด้วยไวรัสและมัลแวร์ ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงในการใช้บริการธนาคารออนไลน์ และการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เตรียมขอความร่วมมือผู้ผลิตและจำหน่ายเครืองคอมพิวเตอร์เร่งติดตั้งซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะวางตลาดในสัดส่วนที่มากขึ้น
ในปัจจุบัน บริการธนาคารออนไลน์ได้เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศไทยและในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ลูกค้าพบว่าบริการดังกล่าวมี ความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดกรณีการฉ้อโกงผ่านระบบออนไลน์ และที่มากไปกว่านั้น การใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ละเมิดลิขสิทธิ์ก็ทำให้ความปลอดภัยของผู้ใช้งานลดลง ผู้กระทำความผิดได้พัฒนาวิธีการที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเพื่อที่จะมีอำนาจควบคุมเหนือคอมพิวเตอร์และอาจเจาะเข้าระบบเพื่อถอนเงินหรือทำธุรกรรมออนไลน์จากบัญชีผู้ใช้
จากผลการศึกษาของไมโครซอฟท์พบว่า ประมาณ 70 % ของดีวีดีละเมิดลิขสิทธิ์ และ 84 % ของฮาร์ดไดรฟ์ที่ตรวจสอบในประเทศไทย ติดมัลแวร์ที่เป็นอันตราย ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าอัตราการติดมัลแวร์โดยเฉลี่ยของ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ที่ 69% การศึกษาดังกล่าวดำเนินการโดยทีมตรวจสอบความปลอดภัยของไมโครซอฟท์ โดยได้ตรวจสอบคอมพิวเตอร์และดีวีดีทั้งสิ้น 282 รายการ ในระหว่างเดือนธันวาคม 2555 ถึง กุมภาพันธ์ 2556
โดยปรากฏว่ามีมัลแวร์และการติดไวรัสที่แตกต่างกันถึง 1,131 สายพันธุ์ ในกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงโทรจันที่ขโมยรหัสผ่านอย่างโทรจัน "ซุส" (Zeus) หรือโทรจันที่ขโมยรหัสผ่านที่อาศัยการดักจับและบันทึกการพิมพ์ หรือที่เรียกว่า "Keylogging" และกลไกอื่นๆ เพื่อติดตามกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ โดยจะทำการบันทึกทุกจังหวะการพิมพ์ของผู้ใช้งานเพื่อทำการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงชื่อบัญชีผู้ใช้งานและรหัสผ่าน ซึ่งผู้กระทำความผิดจะนำข้อมูลดังกล่าวไปประกอบอาชญากรรมโดยการขโมยความเป็นตัวตนของเหยื่อ และเข้าไปใช้งานบัญชีส่วนบุคคล เป็นต้น
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จับมือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ออกโรงเตือนผู้บริโภคเลี่ยงใช้โปรแกรมเถื่อน หลังพบเครื่องคอมพิวเตอร์กว่า 8 ใน 10 ถูกโจมตีด้วยไวรัสและมัลแวร์ ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงในการใช้บริการธนาคารออนไลน์ และการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เตรียมขอความร่วมมือผู้ผลิตและจำหน่ายเครืองคอมพิวเตอร์เร่งติดตั้งซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะวางตลาดในสัดส่วนที่มากขึ้น
ในปัจจุบัน บริการธนาคารออนไลน์ได้เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศไทยและในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ลูกค้าพบว่าบริการดังกล่าวมี ความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดกรณีการฉ้อโกงผ่านระบบออนไลน์ และที่มากไปกว่านั้น การใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ละเมิดลิขสิทธิ์ก็ทำให้ความปลอดภัยของผู้ใช้งานลดลง ผู้กระทำความผิดได้พัฒนาวิธีการที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเพื่อที่จะมีอำนาจควบคุมเหนือคอมพิวเตอร์และอาจเจาะเข้าระบบเพื่อถอนเงินหรือทำธุรกรรมออนไลน์จากบัญชีผู้ใช้
จากผลการศึกษาของไมโครซอฟท์พบว่า ประมาณ 70 % ของดีวีดีละเมิดลิขสิทธิ์ และ 84 % ของฮาร์ดไดรฟ์ที่ตรวจสอบในประเทศไทย ติดมัลแวร์ที่เป็นอันตราย ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าอัตราการติดมัลแวร์โดยเฉลี่ยของ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ที่ 69% การศึกษาดังกล่าวดำเนินการโดยทีมตรวจสอบความปลอดภัยของไมโครซอฟท์ โดยได้ตรวจสอบคอมพิวเตอร์และดีวีดีทั้งสิ้น 282 รายการ ในระหว่างเดือนธันวาคม 2555 ถึง กุมภาพันธ์ 2556
โดยปรากฏว่ามีมัลแวร์และการติดไวรัสที่แตกต่างกันถึง 1,131 สายพันธุ์ ในกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงโทรจันที่ขโมยรหัสผ่านอย่างโทรจัน "ซุส" (Zeus) หรือโทรจันที่ขโมยรหัสผ่านที่อาศัยการดักจับและบันทึกการพิมพ์ หรือที่เรียกว่า "Keylogging" และกลไกอื่นๆ เพื่อติดตามกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ โดยจะทำการบันทึกทุกจังหวะการพิมพ์ของผู้ใช้งานเพื่อทำการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงชื่อบัญชีผู้ใช้งานและรหัสผ่าน ซึ่งผู้กระทำความผิดจะนำข้อมูลดังกล่าวไปประกอบอาชญากรรมโดยการขโมยความเป็นตัวตนของเหยื่อ และเข้าไปใช้งานบัญชีส่วนบุคคล เป็นต้น
Comment