ต่อเวลากันไปอีก 15 วัน จากที่คาดการณ์กันว่า 1 ก.พ. 2554 ที่ผ่านมา กรณีเช็กบิลสัมปทานมือถือที่รัฐบาลโดยกระทรวงไอซีทีตั้งธงแข็งขันว่าจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดเพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ชาติ ประชาชน โดยเฉพาะการทวงคืนความเสียหายจากการแก้สัญญาในอดีต ซึ่งมีการกะเก็งกันว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่ข้อสรุป และแนวทางในการดำเนินการกับค่ายสื่อสารทุกเจ้าที่ส่งไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะดุเดือดถึง ขั้นเสนอให้เพิกถอนสัญญาสัมปทานบางฉบับกันเลยทีเดียว
เป้าใหญ่คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก "เอไอเอส" ด้วยเป็นรายเดียวที่มีคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอดีตนายกรัฐมนตรี "ทักษิณ ชินวัตร" ค้ำคอรอดำเนินการอยู่
ปรากฏว่า ผิดฟอร์ม กระชากอารมณ์กันสุด ๆ จากที่โหมโรงกันเต็มพิกัด แต่ถึงคิวแสดงจริง ตอนจบไม่จบขอมีต่อภาค 2 ซะงั้น
โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการเจรจากับเอกชนทุกราย ทั้ง เอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ และดีพีซี เพื่อให้ได้ข้อยุติภายใน 15 วัน
"ให้กระทรวงไอซีที ดำเนินการเจรจาตามแนวทางคำวินิจฉัยศาลฎีกา เพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐแล้วกลับมารายงาน ครม.ใน 15 วัน จากนั้นให้ดำเนินการตามกระบวนกฎหมายของมาตรา 13 หรือ 22 ของ พ.ร.บ.ร่วมทุน ถ้าการเจรจาไม่เป็นผล คงต้องมีการพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งการฟ้องร้องก็อาจเป็นอีกทางออกหนึ่ง" นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้สัมภาษณ์หลังประชุม ครม.
โดยการเจรจาของคณะทำงานกับเอกชน มีกรอบชัดเจน คือต้องการให้ทุกรายกลับมาจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามหลักเกณฑ์ของสัญญาหลักเดิม เช่น เอไอเอสในบริการพรีเพดให้กลับไปใช้อัตรา 30%
เรื่องกลับไปใช้หลักเกณฑ์ตามสัญญาหลักเดิม ไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่กับการเรียกร้องค่าเสียหายจากการแก้สัญญาในอดีต เฉพาะกรณี "เอไอเอส" มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เวลาแค่ 15 วัน คงจบไม่ลงอย่างแน่นอน
ผู้สันทัดกรณีในแวดวงธุรกิจการเมืองมองว่า เป็นแค่เกมการเมืองเพื่อการเมืองมากกว่า
ฟาก "ครม." ก็ว่ากันไป ในเวลาเดียวกัน เจ้ากระทรวงไอซีที"จุติ ไกรฤกษ์" ไฟเขียวให้ "ทีโอที" เดินหน้าฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอกชนจากการแก้ไขสัญญาได้ตามสิทธิ์ของ ทีโอทีโดยไม่ต้องรอผลสรุปของคณะกรรมการเจรจาโดย ครม.แต่อย่างใด
2 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้รับสัมปทานของ ทีโอที ไม่ว่าจะเป็นทรูคอร์ป, ทีทีแอนด์ที และเอไอเอส ต่างได้รับหนังสือแจ้งเตือนขอให้ชำระหนี้ภายในวันที่ 15 ก.พ.
"ทรูและทีทีแอนด์ที" เป็นการแจ้งให้ชำระเงินในกรณีที่ "ทีโอที" จ่ายภาษีสรรพสามิตแทน ระหว่าง ม.ค. 2546-ธ.ค. 2549 พร้อมดอกเบี้ย 7.5% และภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย 1,400 ล้านบาท และ 700 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับ "เอไอเอส" นอกจากจะเรียกคืนภาษีสรรพสามิต มูลค่า 36,000 ล้านบาทแล้ว "ทีโอที" ยังอ้างถึงคำพิพากษาคดียึดทรัพย์อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เพื่อเรียกให้ชำระส่วนแบ่งรายได้เพิ่มเติม กรณีการปรับลดส่วนแบ่งบริการบัตรเติมเงิน และการหักค่าใช้จ่ายการใช้เครือข่ายร่วม (roaming) 37,000 ล้านบาท
ที่สำคัญคือ โนติสทุกฉบับ ระบุว่า หากพ้น 15 ก.พ. หากบริษัทเพิกเฉย "ทีโอที" มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมายทางศาลต่อไป
โดยคณะทำงานทางกฎหมายของ "ทีโอที" เตรียมเสนอให้ที่ประชุมบอร์ด ทีโอที ฟ้องเรียกค่าเสียหายทั้งหมดคืนจากเอกชน โดยยกมาตรา 406 และมาตรา 412 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาใช้ต่อสู้ว่า เป็น "ลาภมิควรได้" แม้ก่อนหน้านี้ในกรณีภาษีสรรพสามิตจะยื่นข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาไปแล้วตั้งแต่ 22 ม.ค. 2551 ดังนั้น การฟ้องศาลแพ่งอีกจึงอาจเป็นการฟ้องซ้ำได้
"กรณีพิพาทกับเอไอเอสเรื่องภาษีสรรพสามิตมีการสืบจนปิดสำนวนแล้ว คาดว่าจะมีอ่านคำวินิจฉัยในเดือน มี.ค.หรือ เม.ย.นี้" แหล่งข่าวระบุ
สำหรับ "ทรูและทีทีแอนด์ที" กระบวนการอนุญาโตระงับชั่วคราว เนื่องจากทรูยื่นคัดค้านองค์คณะอนุญาโตตุลาการ และศาลปกครองกำลังวินิจฉัยคำร้อง ขณะที่ "ทีทีแอนด์ที" กำลังฟื้นฟูกิจการ คดีพิพาทฟ้องร้องต่าง ๆ จึงต้องระงับไว้ก่อน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง หากมีการฟ้องศาลแพ่ง โดยระบุว่าเป็น "ลาภมิควร" ได้ โดยอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คืออายุความ เพราะนับตั้งแต่วันที่มี คำพิพากษา คือ 26 ก.พ. 2553
หมายความว่า "ทีโอที" ต้องดำเนินการฟ้องร้องก่อน 26 ก.พ. 2554 เท่ากับมีเวลาไม่ถึงเดือน
ผู้ที่มีอำนาจเซ็นให้ "ทีโอที" ยื่นฟ้องศาลได้ คือ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ "ทีโอที-นพณัฏฐ์ หุตะเจริญ"
ขณะที่บอร์ด "ทีโอที" ลอยลำ ไม่รัดคอตัวเองด้วยการมีมติรับรองการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับคู่สัญญาแต่อย่างใด โดยออกตัวว่ามีหน้าที่เพียงรับทราบรายงานของฝ่ายบริหาร
ไม่ว่าจะเป็นีภาษีสรรพสามิต หรือการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกรณีแก้ไขสัญญาคงไม่ต่างกัน
ไม่ว่างานนี้จะมี "ใบสั่ง" ให้เช็กบิลใครหรือไม่ก็ตาม แต่บทหนักตกอยู่กับรักษาการ "ซีอีโอ-ทีโอที"
ที่แปลกแต่เป็นไปแล้วก็คือในระหว่าง "ทีโอที" ยื่นจดหมายขู่ฟ้องเอกชน หากไม่ชำระเงินตามเส้นตาย 15 ก.พ. ฟากกระทรวงไอซีทีได้ไฟเขียวจาก ครม.ตั้งทีมเจรจากับเอกชนเพื่อให้ได้ข้อยุติ
คู่ขนานแบบคนละทิศละทางเอกชนคงมึน แต่เจ้ากระทรวงไอซีทีสรุปเองว่า "เป็นเรื่องของเอกชนที่ต้องประเมินเอง อย่าไปคิดแทน"
ปฏิบัติการเช็กบิลสัมปทานจะเรียกว่าเป็น "มวยล้มต้มคนดู" คงไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่าเป็น "หนังขายยา" เข้าเค้ากว่า ที่"โฆษณาสรรพคุณเกินจริง"
นึกถึงคำพูดของบิ๊ก "เอไอเอส" ที่บอกว่า เชื่อมั่นว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่แน่นอนว่ากระแสข่าวเขย่าขวัญที่มีออกมาไม่เว้นวายย่อมไม่เป็นผลดี
ที่มา http://www.prachachat.net/view_news....day=2011-02-07
เป้าใหญ่คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก "เอไอเอส" ด้วยเป็นรายเดียวที่มีคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอดีตนายกรัฐมนตรี "ทักษิณ ชินวัตร" ค้ำคอรอดำเนินการอยู่
ปรากฏว่า ผิดฟอร์ม กระชากอารมณ์กันสุด ๆ จากที่โหมโรงกันเต็มพิกัด แต่ถึงคิวแสดงจริง ตอนจบไม่จบขอมีต่อภาค 2 ซะงั้น
โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการเจรจากับเอกชนทุกราย ทั้ง เอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ และดีพีซี เพื่อให้ได้ข้อยุติภายใน 15 วัน
"ให้กระทรวงไอซีที ดำเนินการเจรจาตามแนวทางคำวินิจฉัยศาลฎีกา เพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐแล้วกลับมารายงาน ครม.ใน 15 วัน จากนั้นให้ดำเนินการตามกระบวนกฎหมายของมาตรา 13 หรือ 22 ของ พ.ร.บ.ร่วมทุน ถ้าการเจรจาไม่เป็นผล คงต้องมีการพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งการฟ้องร้องก็อาจเป็นอีกทางออกหนึ่ง" นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้สัมภาษณ์หลังประชุม ครม.
โดยการเจรจาของคณะทำงานกับเอกชน มีกรอบชัดเจน คือต้องการให้ทุกรายกลับมาจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามหลักเกณฑ์ของสัญญาหลักเดิม เช่น เอไอเอสในบริการพรีเพดให้กลับไปใช้อัตรา 30%
เรื่องกลับไปใช้หลักเกณฑ์ตามสัญญาหลักเดิม ไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่กับการเรียกร้องค่าเสียหายจากการแก้สัญญาในอดีต เฉพาะกรณี "เอไอเอส" มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เวลาแค่ 15 วัน คงจบไม่ลงอย่างแน่นอน
ผู้สันทัดกรณีในแวดวงธุรกิจการเมืองมองว่า เป็นแค่เกมการเมืองเพื่อการเมืองมากกว่า
ฟาก "ครม." ก็ว่ากันไป ในเวลาเดียวกัน เจ้ากระทรวงไอซีที"จุติ ไกรฤกษ์" ไฟเขียวให้ "ทีโอที" เดินหน้าฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอกชนจากการแก้ไขสัญญาได้ตามสิทธิ์ของ ทีโอทีโดยไม่ต้องรอผลสรุปของคณะกรรมการเจรจาโดย ครม.แต่อย่างใด
2 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้รับสัมปทานของ ทีโอที ไม่ว่าจะเป็นทรูคอร์ป, ทีทีแอนด์ที และเอไอเอส ต่างได้รับหนังสือแจ้งเตือนขอให้ชำระหนี้ภายในวันที่ 15 ก.พ.
"ทรูและทีทีแอนด์ที" เป็นการแจ้งให้ชำระเงินในกรณีที่ "ทีโอที" จ่ายภาษีสรรพสามิตแทน ระหว่าง ม.ค. 2546-ธ.ค. 2549 พร้อมดอกเบี้ย 7.5% และภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย 1,400 ล้านบาท และ 700 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับ "เอไอเอส" นอกจากจะเรียกคืนภาษีสรรพสามิต มูลค่า 36,000 ล้านบาทแล้ว "ทีโอที" ยังอ้างถึงคำพิพากษาคดียึดทรัพย์อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เพื่อเรียกให้ชำระส่วนแบ่งรายได้เพิ่มเติม กรณีการปรับลดส่วนแบ่งบริการบัตรเติมเงิน และการหักค่าใช้จ่ายการใช้เครือข่ายร่วม (roaming) 37,000 ล้านบาท
ที่สำคัญคือ โนติสทุกฉบับ ระบุว่า หากพ้น 15 ก.พ. หากบริษัทเพิกเฉย "ทีโอที" มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมายทางศาลต่อไป
โดยคณะทำงานทางกฎหมายของ "ทีโอที" เตรียมเสนอให้ที่ประชุมบอร์ด ทีโอที ฟ้องเรียกค่าเสียหายทั้งหมดคืนจากเอกชน โดยยกมาตรา 406 และมาตรา 412 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาใช้ต่อสู้ว่า เป็น "ลาภมิควรได้" แม้ก่อนหน้านี้ในกรณีภาษีสรรพสามิตจะยื่นข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาไปแล้วตั้งแต่ 22 ม.ค. 2551 ดังนั้น การฟ้องศาลแพ่งอีกจึงอาจเป็นการฟ้องซ้ำได้
"กรณีพิพาทกับเอไอเอสเรื่องภาษีสรรพสามิตมีการสืบจนปิดสำนวนแล้ว คาดว่าจะมีอ่านคำวินิจฉัยในเดือน มี.ค.หรือ เม.ย.นี้" แหล่งข่าวระบุ
สำหรับ "ทรูและทีทีแอนด์ที" กระบวนการอนุญาโตระงับชั่วคราว เนื่องจากทรูยื่นคัดค้านองค์คณะอนุญาโตตุลาการ และศาลปกครองกำลังวินิจฉัยคำร้อง ขณะที่ "ทีทีแอนด์ที" กำลังฟื้นฟูกิจการ คดีพิพาทฟ้องร้องต่าง ๆ จึงต้องระงับไว้ก่อน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง หากมีการฟ้องศาลแพ่ง โดยระบุว่าเป็น "ลาภมิควร" ได้ โดยอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คืออายุความ เพราะนับตั้งแต่วันที่มี คำพิพากษา คือ 26 ก.พ. 2553
หมายความว่า "ทีโอที" ต้องดำเนินการฟ้องร้องก่อน 26 ก.พ. 2554 เท่ากับมีเวลาไม่ถึงเดือน
ผู้ที่มีอำนาจเซ็นให้ "ทีโอที" ยื่นฟ้องศาลได้ คือ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ "ทีโอที-นพณัฏฐ์ หุตะเจริญ"
ขณะที่บอร์ด "ทีโอที" ลอยลำ ไม่รัดคอตัวเองด้วยการมีมติรับรองการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับคู่สัญญาแต่อย่างใด โดยออกตัวว่ามีหน้าที่เพียงรับทราบรายงานของฝ่ายบริหาร
ไม่ว่าจะเป็นีภาษีสรรพสามิต หรือการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกรณีแก้ไขสัญญาคงไม่ต่างกัน
ไม่ว่างานนี้จะมี "ใบสั่ง" ให้เช็กบิลใครหรือไม่ก็ตาม แต่บทหนักตกอยู่กับรักษาการ "ซีอีโอ-ทีโอที"
ที่แปลกแต่เป็นไปแล้วก็คือในระหว่าง "ทีโอที" ยื่นจดหมายขู่ฟ้องเอกชน หากไม่ชำระเงินตามเส้นตาย 15 ก.พ. ฟากกระทรวงไอซีทีได้ไฟเขียวจาก ครม.ตั้งทีมเจรจากับเอกชนเพื่อให้ได้ข้อยุติ
คู่ขนานแบบคนละทิศละทางเอกชนคงมึน แต่เจ้ากระทรวงไอซีทีสรุปเองว่า "เป็นเรื่องของเอกชนที่ต้องประเมินเอง อย่าไปคิดแทน"
ปฏิบัติการเช็กบิลสัมปทานจะเรียกว่าเป็น "มวยล้มต้มคนดู" คงไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่าเป็น "หนังขายยา" เข้าเค้ากว่า ที่"โฆษณาสรรพคุณเกินจริง"
นึกถึงคำพูดของบิ๊ก "เอไอเอส" ที่บอกว่า เชื่อมั่นว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่แน่นอนว่ากระแสข่าวเขย่าขวัญที่มีออกมาไม่เว้นวายย่อมไม่เป็นผลดี
ที่มา http://www.prachachat.net/view_news....day=2011-02-07
Comment