Announcement

Collapse
No announcement yet.

AMD ขาดทุน อีกแล้วครับ

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • AMD ขาดทุน อีกแล้วครับ

    เอเอ็มดีจบธุรกิจแฮนด์เฮลด์-DTV ขาดทุนสุทธิ1.2พันล้านดอลล์

    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 กรกฎาคม 2551 09:23 น.


    คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

    แฟ้มภาพแผ่นเวเฟอร์สำหรับผลิตชิปของเอเอ็มดี ล่าสุดเอเอ็มดีตัดสินใจยุติธุรกิจแฮนด์เฮลด์และ DTV เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เอเอ็มดีขาดทุนถึง 920 ล้านดอลลาร์

    "เอเอ็มดี"เผยผลประกอบการไตรมาส 2 มีรายได้ทังหมด 1.34 พันล้านเหรียญ ลดลง 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว คาดไตรมาส 3 รายได้จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี

    แม้เอเอ็มดีจะรายงานรายได้ประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2008 ไว้ที่ 1.349 พันล้านดอลลาร์ แต่กลับประกาศตัวเลขขาดทุนสุทธิถึง 1.189 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.96 ดอลลาร์ต่อหุ้น เนื่องจากเอเอ็มดีตัดสินใจยุติธุรกิจแฮนด์เฮลด์และ DTV และจัดให้อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ยุติสายพานผลิต (Discontinued Operations) ในรายงานทางบัญชี ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้เอเอ็มดีขาดทุนถึง 920 ล้านดอลาร์หรือ 1.52 ดอลลาร์ต่อหุ้น

    รายได้ 1.349 พันล้านดอลลาร์ที่เอเอ็มดีทำได้ในไตรมาส 2 ปี 2008 ถือว่าลดลงจากไตรมาสแรกของปีที่สามารถทำรายได้จากการดำเนินงาน 1.456 พันล้านดอลลาร์ แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2007 ที่ทำรายได้จากการดำเนินงาน 1.309 พันล้านดอลลาร์

    โรเบิร์ต เจ ริเว็ต ประธานฝ่ายการเงิน บริษัทเอเอ็มดี กล่าวว่า แม้จะไม่สามารถบรรลุเป้าที่ตั้งไว้ในไตรมาสนี้ได้ แต่การเปิดรับของลูกค้ากลับมีมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งไมโครโปรเซสเซอร์ กราฟิก และแพลตฟอร์ม

    "สิ่งที่เห็นคือกระแสความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในระดับมหาภาค เชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าที่ตั้งไว้สำหรับครึ่งหลังของปี 2008 ได้ โดยประเมินจากปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ ความแตกต่างของโซลูชัน และการออกแบบที่มุ่งลดระดับจุดคุ้มทุน"

    ตลอดเดือนเมษายนถึงมิถุนายน สัดส่วนกำไรของเอเอ็มดีอยู่ที่ 52% แต่หากไม่รวมมูลค่าที่ได้จากการขายอุปกรณ์การผลิตบนเทคโนโลยี 200 มิลลิเมตร กำไรของเอเอ็มดีจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 37% ถือว่าเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 41% และในไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 34%

    สำหรับไตรมาส 3 (กรกฎาคมถึงกันยายน) นั้นเอเอ็มดีไม่เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ที่แน่นอน ระบุเพียงว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นตามปัจจัยด้านฤดูกาล ซึ่งผลประกอบการในไตรมาส 3 ของทุกปีมักจะดีกว่าไตรมาส 2 อยู่แล้ว

  • #2
    ขายการ์ดกินอย่างเดียวก็กำไรอื้อแล้วมั้ง

    Comment


    • #3
      หึหึหึ

      Comment


      • #4
        ถ้ามีเงินนี้หุ้นAMDน่าซื้อมากเพราะช่วงที่พีคๆราคาหุ้นมันขึ้นนรกมากเลย แล้วยิ่งเวลานี้การ์ดจอซีรีย์4xxx
        มันขายได้ ถ้าเกิดรุ่นต่อไปของCPUจับผลัดจับผูลขายดีขึ้นมาซะงั้นนี้ตอนเทขายนี้รวยเละเทะเลยนะ
        ปล.หุ้นอินเทลจริงๆก็น่าซื้อแต่ว่าราคามันแพงและบางทีแค่บางรุ่นแป๊คขึ้นมาขาดทุนเละเทะทันที
        แต่AMDราคาต่อหน่วยมันน้อยอยู่แล้วถึงหุ้นตกก็ยังไม่แย่เท่าไรแต่ถ้าขึ้นๆมากำไรแบบไม่ต้องคิด

        Comment


        • #5
          เห็นขาดทุนต่อเนื่องมาพักใหญ่ๆแหละ

          Comment


          • #6
            เยี่ยม...ดีมาก รู้จัก Cut & stop Lose ในตัวที่เป็นปัญหาและทำให้สูญเสียรายได้

            นี่มองในแง่ดีเลยนะ อิอิ ยอดหนี้จากไอ้โครงการนี้ ก็สามารถหักกลบไปได้ด้วยยอดขายของไตรมาส 2 ของปีนี้

            เพียงไตรมาสเดียว และยุติโครงการไปเลย แสดงว่าไม่ต้องคอยสนับสนุนเงินวิจัยเข้าไปอีก เพราะอาจจะไปสมทบและทำให้ขาดทุนเพิ่ม

            แล้วถ้าไอ้ที่ว่า ไตรมาส 3 ของทุกปีรายได้มักเพิ่มมากกว่า 2 ของทุกปี ก็แสดงว่ารับเต็มๆ

            ไม่ต้องห่วงตัวแดงของโครงการนี้ไปโผล่ในรายงานทางบัญชีอีก

            แล้วไตรมาส 2 ของปีนี้ก็มียอดเพิ่มจาก ไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว

            แสดงว่ายอดไตรมาส 3 ปีนี้ก็ต้องดีกว่าปีที่แล้ว เพราะปีนี้มีทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่แพตฟอร์มใหม่ออกขาย

            ไตรมาสที่แล้วไม่มีอะไร เลยนั่งหั่นราคาอย่างเดียว

            งั้นฟันธงเลย ถยอยเก็บหุ้นได้แล้วจ้าา

            เล่นหุ้นแบบฝ่ามืออรหันต์

            ซื้อหุ้นตกที่ปลายนิ้วก้อย ทยอยขายที่ปลายนิ้วนาง

            เมื่อขึ้นสูงถึงนิ้วกลาง ให้เทขายแล้ววางมือ

            ซื้อกลับเมื่อหุ้นตกที่นิ้วชี้ เห็นว่าดีถือเก็บที่หัวแม่มือ

            ถือต่อเพื่อรอบใหม่ จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ อิอิ

            Comment


            • #7
              รับทราบ

              Comment


              • #8
                น่าสนใจ

                Comment


                • #9
                  วู้ววววววววววววววววว มีแต่คนวิเคราะห์ดีๆ ครับ น่าสนๆ

                  Comment


                  • #10
                    Originally posted by pann View Post
                    เล่นหุ้นแบบฝ่ามืออรหันต์

                    ซื้อหุ้นตกที่ปลายนิ้วก้อย ทยอยขายที่ปลายนิ้วนาง

                    เมื่อขึ้นสูงถึงนิ้วกลาง ให้เทขายแล้ววางมือ

                    ซื้อกลับเมื่อหุ้นตกที่นิ้วชี้ เห็นว่าดีถือเก็บที่หัวแม่มือ

                    ถือต่อเพื่อรอบใหม่ จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ อิอิ

                    แหล่มครับ อิอิ

                    Comment


                    • #11
                      นี่เอามาจากเว็บ JIB ครับ แต่ JIB ไม่ได้แจ้งที่มาของข่าวหรือให้เครดิตกับผู้เสนอข่าวเลย ไม่น่าทำเลย

                      ว่ามาว่า AMD เปลี่ยน ผู้บริหารใหม่แล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นลูกหม้อ AMD แล้วแบบนี้แนวโน้มการทำตลาดจะเป็นอย่างไรต้องมาติดตามดูกันต่อไป เพราะคนใหม่นี้เป็นถึง วิศวกรผู้ออกแบบชิปเลยทีเดียว น่าจะมีความเฉลียวในการทำตลาดด้านพัฒนาเทคโนโลยีดีกว่าคนเก่าอยู่หรอกนะ แต่ก็ต้องตามดูกัน เพราะนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของค่ายเขียวก็ได้



                      หลังจากประสบภาวะขาดทุนมาถึง 7 ไตรมาสติดต่อกัน ค่ายผู้ผลิตชิปประมวลผลเบอร์สองของโลกอย่างแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (เอเอ็มดี) ก็มีอันต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ที่ว่าใหญ่ในคราวนี้ ก็หมายถึงการเปลี่ยนตัวผู้บริหารโดยปรับนายเฮกเตอร์ รูอิซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้นายเดิร์ก เมเยอร์ ดาวรุ่งในองค์กรคนใหม่เข้ามากุมบังเหียนแทน


                      โดยนายเมเยอร์ ซึ่งต้องถือเป็นลูกหม้อเดิมของเอเอ็มดีที่ร่วมงานมาตั้งแต่ปี 2538 ในฐานะวิศวกรผู้ออกแบบชิป ผลงานที่โดดเด่นคือ รับผิดชอบการออกแบบชิปในตระกูลแอธลอน และมาในปี 2549 จนถึงล่าสุดเข้ามาช่วยนายรูอิซในการบริหารบริษัทในฐานะประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของเอเอ็มดี


                      แม้นายเมเยอร์จะได้รับการวางตัวให้เป็นทายาทรับไม้ต่อในการกุมบังเหียนของเอเอ็มดีต่อจากนายรูอิซก็ตาม แต่การปรับเปลี่ยนผู้บริหารแบบฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี (17 กรกฎาคม) ที่ผ่านมาก็สร้างประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์และคนในอุตสาหกรรมไอทีไม่น้อย


                      ในด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ทำให้เอเอ็มดีต้องเร่งเปลี่ยนตัวผู้บริหาร ด้วยมีสถานะทางการเงินของบริษัทเป็นเดิมพัน เพราะแม้ว่าตั้งแต่ที่นายรูอิซเข้ามาบริหารในเอเอ็มดี และส่งให้บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญกับยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมอย่างอินเทลและดึงส่วนแบ่งตลาดมาได้นับตั้งแต่ปี 2546 โดยเฉพาะการทำตลาดชิปออพเตอรอนที่มีจุดเด่นด้านกำลังในการประมวลผลที่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์เพนเที่ยมของอินเทล กระทั่งทำให้เอเอ็มดีแทรกตัวเข้าไปถึงลูกค้าเดิมของอินเทลได้ ทั้งฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) และเดลล์ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่อินเทลประสบปัญหาการออกแบบชิปและเลื่อนทำตลาดชิปรุ่นต่อมาออกไป


                      กระนั้น แต้มต่อของเอเอ็มดีก็อยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น นายรูอิซต้องพบกับปัญหาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดไม่ตรงตามเป้าที่วางไว้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของเอเอ็มดีหายไป เช่น ปี 2550 ที่ผ่านมา ชิปโค้ดเนมบาร์เซโลนาสำหรับเครื่องแม่ข่าย ซึ่งระบุว่ามีหน่วยประมวลผลอยู่ในแผ่นซิลิคอนเดียวกัน 4 ตัว หรือควอดคอร์ เหนือกว่าชิปของอินเทลทั้งด้านประสิทธิภาพการทำงานและราคา ต้องทำตลาดล่าช้าออกไปเพราะพบช่วงโหว่ด้านการออกแบบชิป


                      แม้ในปีนี้บริษัทจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังถือว่าไม่พ้นภาวะขาดทุนอยู่ดี จากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 เมื่อวันพฤหัสบดี (17 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา เอเอ็มดีมียอดขาดทุนถึง 1,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่ายอดขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยอดขาดทุน ในที่นี้รวมถึงยอดขาดทุนราว 920 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับบริษัทเอทีไอ เทคโนโลยีส์ฯ ผู้ผลิตชิปกราฟิก ที่เอเอ็มดีซื้อธุรกิจมาเพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายและดิจิตอล ทีวี ในปี 2549


                      หากแต่เอเอ็มดีมีรายได้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1,310 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็ยังน้อยกว่าที่นักลงทุนในวอลล์ สตรีตคาดไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ 1,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


                      เอเอ็มดีภายใต้การบริหารของนายเมเยอร์ จึงยังมีภารกิจท้าทายอีกมาก โดยเฉพาะการกู้คืนส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมาพร้อมกับการเร่งออกผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นธงนำสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ และเครื่องแม่ข่ายทั้งที่มีหนึ่ง และสองหน่วยประมวลผลในซิลิคอนเดียว เพื่อให้สามารถดึงเอเอ็มดีกลับมาทำกำไร แข่งกับอินเทลได้อีกครั้งหนึ่ง


                      ส่วนนายรูอิซ จะปรับบทบาทเป็นประธานกรรมการบริษัท มีหน้าที่สำคัญคือ วางยุทธศาสตร์ให้กับเอเอ็มดีในการปรับลดค่าใช้จ่ายให้กับฝ่ายผลิตเสริมความคล่องตัวในการแข่งขัน และอีกบทบาทหนึ่งคือ สานต่อการยื่นฟ้องอินเทลในข้อหาผูกขาดตลาดทั้งในสหรัฐฯ และในต่างประเทศต่อไป โดยเอเอ็มดีเริ่มยื่นฟ้องอินเทลเมื่อปี 2549 ด้วยข้อหาว่า ผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกใช้ความได้เปรียบในฐานะผู้นำตลาดเสนอส่วนลดให้กับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และเครื่องแม่ข่ายอย่างไม่เป็นธรรม ปิดทางการทำตลาดของคู่แข่งซึ่งหมายถึงเอเอ็มดีโดยตรง
                      Last edited by oil_metal; 25 Jul 2008, 15:58:13.

                      Comment


                      • #12
                        ถ้าฟ้องสำเร็จ ราคาหุ่นAMD คงสูงแบบ ฟ้ากับเหว

                        Comment


                        • #13
                          อยากซื้อหุ้น AMD จังเลย ตอนนี้หุ้นกำลังตก อิอิอิ

                          Comment


                          • #14
                            Originally posted by oil_metal View Post
                            นี่เอามาจากเว็บ JIB ครับ แต่ JIB ไม่ได้แจ้งที่มาของข่าวหรือให้เครดิตกับผู้เสนอข่าวเลย ไม่น่าทำเลย

                            ว่ามาว่า AMD เปลี่ยน ผู้บริหารใหม่แล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นลูกหม้อ AMD แล้วแบบนี้แนวโน้มการทำตลาดจะเป็นอย่างไรต้องมาติดตามดูกันต่อไป เพราะคนใหม่นี้เป็นถึง วิศวกรผู้ออกแบบชิปเลยทีเดียว น่าจะมีความเฉลียวในการทำตลาดด้านพัฒนาเทคโนโลยีดีกว่าคนเก่าอยู่หรอกนะ แต่ก็ต้องตามดูกัน เพราะนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของค่ายเขียวก็ได้



                            หลังจากประสบภาวะขาดทุนมาถึง 7 ไตรมาสติดต่อกัน ค่ายผู้ผลิตชิปประมวลผลเบอร์สองของโลกอย่างแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (เอเอ็มดี) ก็มีอันต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ที่ว่าใหญ่ในคราวนี้ ก็หมายถึงการเปลี่ยนตัวผู้บริหารโดยปรับนายเฮกเตอร์ รูอิซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้นายเดิร์ก เมเยอร์ ดาวรุ่งในองค์กรคนใหม่เข้ามากุมบังเหียนแทน


                            โดยนายเมเยอร์ ซึ่งต้องถือเป็นลูกหม้อเดิมของเอเอ็มดีที่ร่วมงานมาตั้งแต่ปี 2538 ในฐานะวิศวกรผู้ออกแบบชิป ผลงานที่โดดเด่นคือ รับผิดชอบการออกแบบชิปในตระกูลแอธลอน และมาในปี 2549 จนถึงล่าสุดเข้ามาช่วยนายรูอิซในการบริหารบริษัทในฐานะประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของเอเอ็มดี


                            แม้นายเมเยอร์จะได้รับการวางตัวให้เป็นทายาทรับไม้ต่อในการกุมบังเหียนของเอเอ็มดีต่อจากนายรูอิซก็ตาม แต่การปรับเปลี่ยนผู้บริหารแบบฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี (17 กรกฎาคม) ที่ผ่านมาก็สร้างประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์และคนในอุตสาหกรรมไอทีไม่น้อย


                            ในด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ทำให้เอเอ็มดีต้องเร่งเปลี่ยนตัวผู้บริหาร ด้วยมีสถานะทางการเงินของบริษัทเป็นเดิมพัน เพราะแม้ว่าตั้งแต่ที่นายรูอิซเข้ามาบริหารในเอเอ็มดี และส่งให้บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญกับยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมอย่างอินเทลและดึงส่วนแบ่งตลาดมาได้นับตั้งแต่ปี 2546 โดยเฉพาะการทำตลาดชิปออพเตอรอนที่มีจุดเด่นด้านกำลังในการประมวลผลที่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์เพนเที่ยมของอินเทล กระทั่งทำให้เอเอ็มดีแทรกตัวเข้าไปถึงลูกค้าเดิมของอินเทลได้ ทั้งฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) และเดลล์ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่อินเทลประสบปัญหาการออกแบบชิปและเลื่อนทำตลาดชิปรุ่นต่อมาออกไป


                            กระนั้น แต้มต่อของเอเอ็มดีก็อยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น นายรูอิซต้องพบกับปัญหาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดไม่ตรงตามเป้าที่วางไว้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของเอเอ็มดีหายไป เช่น ปี 2550 ที่ผ่านมา ชิปโค้ดเนมบาร์เซโลนาสำหรับเครื่องแม่ข่าย ซึ่งระบุว่ามีหน่วยประมวลผลอยู่ในแผ่นซิลิคอนเดียวกัน 4 ตัว หรือควอดคอร์ เหนือกว่าชิปของอินเทลทั้งด้านประสิทธิภาพการทำงานและราคา ต้องทำตลาดล่าช้าออกไปเพราะพบช่วงโหว่ด้านการออกแบบชิป


                            แม้ในปีนี้บริษัทจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังถือว่าไม่พ้นภาวะขาดทุนอยู่ดี จากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 เมื่อวันพฤหัสบดี (17 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา เอเอ็มดีมียอดขาดทุนถึง 1,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่ายอดขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยอดขาดทุน ในที่นี้รวมถึงยอดขาดทุนราว 920 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับบริษัทเอทีไอ เทคโนโลยีส์ฯ ผู้ผลิตชิปกราฟิก ที่เอเอ็มดีซื้อธุรกิจมาเพื่อพัฒนาชิปสำหรับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายและดิจิตอล ทีวี ในปี 2549


                            หากแต่เอเอ็มดีมีรายได้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1,310 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็ยังน้อยกว่าที่นักลงทุนในวอลล์ สตรีตคาดไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ 1,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


                            เอเอ็มดีภายใต้การบริหารของนายเมเยอร์ จึงยังมีภารกิจท้าทายอีกมาก โดยเฉพาะการกู้คืนส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมาพร้อมกับการเร่งออกผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นธงนำสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ และเครื่องแม่ข่ายทั้งที่มีหนึ่ง และสองหน่วยประมวลผลในซิลิคอนเดียว เพื่อให้สามารถดึงเอเอ็มดีกลับมาทำกำไร แข่งกับอินเทลได้อีกครั้งหนึ่ง


                            ส่วนนายรูอิซ จะปรับบทบาทเป็นประธานกรรมการบริษัท มีหน้าที่สำคัญคือ วางยุทธศาสตร์ให้กับเอเอ็มดีในการปรับลดค่าใช้จ่ายให้กับฝ่ายผลิตเสริมความคล่องตัวในการแข่งขัน และอีกบทบาทหนึ่งคือ สานต่อการยื่นฟ้องอินเทลในข้อหาผูกขาดตลาดทั้งในสหรัฐฯ และในต่างประเทศต่อไป โดยเอเอ็มดีเริ่มยื่นฟ้องอินเทลเมื่อปี 2549 ด้วยข้อหาว่า ผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกใช้ความได้เปรียบในฐานะผู้นำตลาดเสนอส่วนลดให้กับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และเครื่องแม่ข่ายอย่างไม่เป็นธรรม ปิดทางการทำตลาดของคู่แข่งซึ่งหมายถึงเอเอ็มดีโดยตรง

                            เดี๋ยว AMD ก็โดน Nvidia ฟ้องบ้างว่า ATI เสนอส่วนลดให้กับผู้ผลิตไม่เป็นธรรม ปิดทางการทำตลาดของคู่แข่ง เพราะลดราคา GPU อย่างไม่เป็นธรรมกับ NVIDIA

                            Comment


                            • #15
                              nVidia ไม่น่าฟ้องหรอก คงไม่กล้าแน่ๆ

                              Comment

                              Working...
                              X