ในที่สุดทาง CD Projekt RED ก็ออกมาชี้แจงกันเสียทีถึงสาเหตุที่เกม The Witcher 3 ดูกราฟิกถูกดาวน์เกรดแบบผิดหูผิดตาเมื่อเทียบกับตอนเปิดตัวครั้งแรกๆ ถึงแม้ตัวเกมจะออกมายอดเยี่ยมแต่ประเด็นดาวน์เกรดหลายคนก็คงอยากรู้ นี่คือส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ของ Marcin Iwinski ,CD Projekt RED co-founder ที่ชี้แจงกับ Eurogamer (ใครที่ไม่ทันข่าวนี้ลองเข้าไปอ่านข่าวเก่าที่เคยมีคนตั้งประเด็นเรื่องการดาวน์เกรดดูก่อน click)
สรุปได้ว่าหากเกมลงเฉพาะ PC การจะทำให้กราฟิกสวยงามหงดย้อยมันเป็นไปได้อยู่แล้ว แต่ที่ให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เพราะการลงแค่ PC หมายความว่าส่วนแบ่งฝั่งคอนโซลก็จะหายไป คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนักกับเกมที่ลงทุนมหาศาลแต่ขายได้แค่แพลตฟอร์มเดียว
ส่วนวีดิโอก่อนหน้าที่เกมปล่อยอย่างช่วงงาน VGX ทั้ง Adam Badowski และ Marcin Iwinski ยอมรับว่าเกมที่โชว์ในวีดิโอมันไม่ได้ถูกรันในโลกที่เป็น open-world ซึ่งทีม CD Projekt RED ได้เจอปัญหาที่ยากเข็ญมากมายในการทำให้เกมรันบนโลก open-world ได้อย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็แล้วแต่ทีมงานก็ทำจุดนี้ไม่ได้
....
?บางทีมันอาจเป็นความผิดของเราที่ตัดสินใจเปลี่ยนระบบการเรนเดอร์ เพราะระบบการเรนเดอร์หลังจากงาน VGX ได้ถูกเปลี่ยนไป มันมีสองความเป็นไปได้ในระบบเรนเดอร์ แต่หนึ่งในนั้นก็ต้องชนะไปเพราะว่ามันดูดีกว่าหากมองโลกทั้งหมดในเกมทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ส่วนอื่นๆมันต้องการระบบแสงแบบไดนามิกเยอะเอามากๆ และนั่นทำให้มันไม่เวิร์คในโลกอันแสนกว้างใหญ่?
ในเรื่องของเอฟเฟคควันและไฟที่ถูกสังเกตว่าได้ถูกดาวน์เกรดไปอย่างเห็นได้ชัด นาย Adam ได้อธิบายว่าถ้าหากมันเป็นแบบที่เราเห็นตอนแรก มันจะกลายเป็นว่าเกมได้ฆ่าชาว PC เกือบทั้งหมด ?ก็คือเล่นไม่ได้นั่นแหละ. นอกจากนั้นแล้ว Adam ยังกล่าวอีกว่า การที่ไม่มี DirectX 12 เอฟเฟคเหล่านี้มันทำงานได้ไม่ค่อยดีในทุกๆเกม จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่าทาง CD Projekt RED จะออกแพทเพื่อรองรับ DX12 หรือไม่? Marcin ได้ให้ข้อสรุปว่า
Comment