Announcement

Collapse
No announcement yet.

เปิดกระทู้ ตอบปัญหา สำหรับผุ้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ ORICO

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • #61
    ตอนนี้ได้ผลการทดสอบระหว่าง สาย SATA2 VS SATA3 มาแล้วครับ
    แต่ทาง Orico ส่งมาเป็น pdf ขอเวลาหาวิธีมาลงให้ดูสักแป๊บน๊ะครับ

    Comment


    • #62
      ผลการทดสอบมาแล้วครับ ซึ่้งทางผู้ผลิด ORICO ไำด้ส่งมาให้ แต่ผมเองรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
      จากการเปรียบเทีี่ยบ ได้แบ่งออกเป็น ทั้งหมด 9 หัวข้อดังข้างล่างนี้
      ผู้ที่สนใจสามารถ ดูได้จาก link ที่ผมทำไว้ให้ครับ

      1.SATA Attenuation

      2.SATA NEXT

      3.SATA Differential Mode Impedance

      4.SATA Common Mode Impedance

      5.SATA Pair Match Impedance

      6.SATA Mated Connector Impedance

      7.SATA Differential Mode Delay

      8.SATA Intra Pair Skew

      9.SATA Differential Mode Risetime

      ผลการทดสอบ สาย SATAII
      file 1. https://docs.google.com/viewer?a=v&p...kM2Rj&hl=en_US
      file 2. https://docs.google.com/viewer?a=v&p...4ODk5&hl=en_US

      ผลการทดสอบ สาย SATAIII
      file 1. https://docs.google.com/viewer?a=v&p...kM2Rj&hl=en_US
      file 2. https://docs.google.com/viewer?a=v&p...1NTQz&hl=en_US
      Last edited by piyaphi; 4 Aug 2011, 01:54:43.

      Comment


      • #63
        มาสรุปผลจากตารางการทดสอบข้างต้นน๊ะครับ

        คือสาย SATAIII ไม่ได้ทำให้ความเร็ว จาก 3 Gbps เป็น 6 Gbps
        แต่ทาง orico บอกว่าสาย SATAIII นั้นจะมี core ที่ใหญ่ ทำให้สัญญาณที่ส่งนั้นมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิด error น้อยมาก
        เค้าเรียนกว่าสาย Hi Performance เหมาะกันการ tranfer ความเร็วสูง อย่าง SATAIII ที่เริ่มมีใช้กัน

        ดังนั้น ถ้าสายมี error น้อยก็จะทำให้การส่งข้อมูลได้ดีและเร็วขึ้น

        Comment


        • #64
          ความรู้เพิ่มเติมสำหรับ เรื่อง SATAIII ที่หลายคนยังสับสน..

          ตอนนี้ port มาตรฐานหลักๆที่ใช้กันมี 2 แบบคือ USB และ SATA ข้อเหมือนและแตกต่าง
          1. Raw bandwidth (Mbit/s) คือความกว้างของช่องสัญญาณ หน่วงเป็น M bit ต่อวินาที
          USB 2.0 = 480 Mbit/s
          USB 3.0 = 5000 Mbit/s
          SATAII = 3000 Mbit/s
          SATAIII = 6000 Mbit/s
          eSATA, eSATAp = 3000 Mbit/s

          2.Transfer speed (MB/s) คือการส่งผ่านข้อมูล หน่วยเป็น จำนวน M ต่อวินาที
          USB 2.0 = 60 MB/s
          USB 3.0 = 400 MB/s
          SATAII = 300 MB/s
          SATAIII = 600 MB/s
          eSATA, eSATAp = 300 MB/s

          3.Max. cable length (m) คือความยาวขอสายที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างกันไม่ควรเกิน หน่วยเป็น เมตร
          USB 2.0 <= 5 เมตร
          USB 3.0 <= 3 เมตร
          SATAII <= 1 เมตร
          SATAIII <= 1 เมตร
          eSATA, eSATAp <= 2 เมตร แต่ต้องมี adapter ช่วยจ่ายไฟ

          4.Power provided คือมีไฟเลี้ยงที่อยู่ใน port หรือไม่ เท่าไร หน่วยเป็น W ,V
          USB 2.0 = 2.5W , 5V
          USB 3.0 = 4.5W , 5V
          SATAII = ไม่มีไฟ
          SATAIII = ไม่มีไฟ
          eSATA, eSATAp = 5V หรือ 12V

          5.Devices per channel คือ จำนวนอุปกรณ์ที่จะนำมาต่อพ่วงได้สูงสุดผ่าน 1 ช่อง
          USB 2.0 และ 3.0 = 127 (with hub) คือต่อผ่าน hub ถ้าจำนวนเยอะ อาจจะต้องมี adapter เพื่อจ่ายไฟด้วย
          SATAII และ SATAIII และ eSATAp = 1 (15 with port multiplier) คือปกติแล้วจะมองเเห็นได้เพียบ 1 device เท่านั้นยกเว้นว่า port SATA นั้นจะเป็น PM (port multipiler) ถึงจะสามารถเห็นอุปกรณ์ได้หลายชิ้นพร้อมกัน ซึ่งไม่เกิน 15 device
          (ส่วนขยาย PM หรือ port Multipiler จะยกตัวอย่างการใช้งาน อย่างเช่น docking ทีมี 2 bay ขึ้นไป คือเสียบ HDD ได้ 2 ลูกขึ้นไป ถ้าเสียบใช้งานผ่านสาย esata จะสามารถใช้งานได้เพียบลูกเดียว เท่านั้น ซึ่งเป็นข้อจำกัดของตัว port esata ดังนั้นถ้าอยากจะให้เห็นได้ทีเดียว 2 ขึ้นไป ก็ต้องหา card ที่มี PM มาต่อ)

          เอาซะเหนื่อยเลย พักแป๊บ....

          ตอนนี้port ส่วนใหญ่ที่เพื่อนๆได้ใช้กัน ก็จะมี USB2.0 USB3.0 และ SATAII ซึ่งหลายคนเริ่มมาใช้ HDD SATAIII กันบ้างแล้ว
          แล้วถามว่าท่านได้ใช้งานตามความสามารถของ SATAIII หรือยัง

          ซึ่งการที่จะใช้งาน SATAIII ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น(600 MB/s) สิ่งที่จะต้องมีคือ
          1.device ต้องเป็น SATAIII เช่น HDD SATAIII
          2.ports ที่ใช้ต่อ ก็ต้องเป็น SATAIII
          3.สายSATA ที่มีคุณภาพที่ดี
          4.ถ้าใช้ HDD ต่อผ่านอุปกรณ์ เช่น Docking ,Enclosure,hot swap หรือ Mobile RACK ตัวอุปกรณ์เหล่านั้นต้องเป็น SATAIII ด้วยครับ

          จบเสียที เหนื่อยจัง

          Comment


          • #65
            มีคำถามบ้างไหมครับ

            Comment


            • #66
              ตอนนี้ทางเราได้พบปัญหาบางประการกับ orico docking รุ่น 8628susc(usb2.0+eSATA)
              คือฝากหักง่าย ขณะนี้เราได้ทำการแก้ไขตัวสปริงที่ทำให้เกิดปัญหาทั้งหมดแล้ว(สปริงที่แข็งเกินไป) แต่อาจจะมีบางตัวที่ออกไปสู่ผู้ใช้บางคนแล้ว
              ถ้าใครฝาหักส่งเคลมได้ทันทีครับ แล้วจะรีบแก้ไข้ให้อย่างด่วนสุดๆ

              ต้องของอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยสำหรับความผิดพลาดครั้งนี้

              Comment


              • #67
                อันนี้ได้มาจากหน้า webboard ของ Oricothailand ครับ

                ขอแจ้งแนวนทางในการแก้ปัญหา ของ Docking 8628susc และ 8628 susc Pro

                1.สินค้าที่จะออกจากบริษัท Back N และ Oricothailand ทุกตัวจะได้รับการแก้ไข และทดสอบเบื้องต้นทุกตัว

                2.สินค้าที่มีวางจำหน่ายอยู่ที่ทางตัวแทนจำหน่าย ทางบริษัทฯ จะนำสินค้าที่ได้รับการแก้ไขแล้วไปสลับให้กับทางตัวแทนครับ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น น่าจะใช้เวลา 2-3 อาทิตย์ น่าจะเปลี่ยนได้ครับทั้งหมด

                3.สินค้าที่ได้ซื้อไปแล้วจากทางตัวแทนของบริษัท Back N แล้วเกิดปัญหาขึ้น สามารถนำส่งผ่านตัวแทนจำหน่าย (7-10 วัน) หรือ ส่งมาที่บริษัทฯ เพื่อที่จะนำมาแก้ไขให้ครับ

                4.ถ้าสินค้าที่ท่านซื้อไปแล้ว ท่านกลัวว่าจะเกิดปัญหา ท่านสามารถนำมาตรวจสอบและเปลี่ยน part ที่คาดว่าจะเกิดปัญหาได้ครับ

                ** คุณสามารถตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่หน้า webboard ของ oricothailand ครับ
                Last edited by piyaphi; 6 Aug 2011, 20:40:54.

                Comment


                • #68
                  ฺBoard เงียบสงบ สงสัยเพื่อนๆที่ใช้ของ ORICO ใช้งานดีไม่มีปัญหา

                  Comment


                  • #69
                    ORICO PNU3539-U3E เป็นการ์ด PCI-Express USB3.0+eSATA
                    มีคนถามว่าสามารถเสียบใช้งานพร้อมกันทั้ง 2่ ช่องได้เลยหรือไม่

                    ตอบคือ ได้ครับ แต่ต้องเสียบ device ละช่องน๊ะครับ คือ 1 อุปกรณ์ต่อ 1 ช่อง
                    ก็จะสามารถใช้งาน Usb3.0 และ eSATA

                    Comment


                    • #70
                      วันนี้เรามารู้เรื่อง RAID กันครับ เพราะผลิตภัณฑ์ของ ORICO หลายตัวมีการทำงานแบบ Raid วันนี้เลยเอามาเล่าสู่กันฟังครับ

                      RAID คืออะไร ?

                      RAID (Redundant Array of Inexpensive Disk) คือการนำเอา Harddisk ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมาทำงานร่วมกันเสมือนเป็น harddisk ตัวเดียวที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือมีโอกาสที่จะสูญเสียข้อมูลน้อยลงในกรณีที่เกิดความผิดพลาดของ hardware (fault tolerance) กลุ่มของ harddisk ที่เอามาทำงานร่วมกันในเทคโนโลยี RAID จะถูกเรียกว่า disk array โดยระบบปฏิบัติการและ software จะเห็น harddisk ทั้งหมดเป็นตัวเดียว ซึ่งการทำ RAID นี้นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการเก็บรักษาข้อมูลแล้ว ยังเป็นการประหยัดอีกด้วย เพราะว่ายิ่ง harddisk มีความจุมากเท่าไหร่ ราคาของมันก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ดังนั้น สำหรับงาน ที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลมากๆ อย่าง Database Server ถ้าเราเลือกใช้ harddisk ความจุมากๆ เพียงตัวเดียว ในการเก็บข้อมูลหรือที่เรียกกันว่าเป็นการใช้ harddisk แบบ SLED หรือ Single Large Expensive Disk ราคาที่เราเสียไปกับ harddisk ตัวเดียวนั้น อาจจะไม่คุ้มค่าเท่ากับการใช้ harddisk ที่มีความจุต่ำกว่า (ซึ่งแน่นอนว่าราคาต้องถูกกว่าหลายเท่าด้วย) นำมาต่อเพื่อให้ทำงานร่วมกันหรือที่เรียกกันว่าเป็นการใช้ harddisk แบบ RAID

                      เทคโนโลยี RAID

                      ความเป็นมา ของ RAID Stripping และ Parity ระดับของ RAID RAID 1, RAID 3 , RAID 5 ส่วนประกอบของ RAID การจัดการ RAID ความเป็นมา

                      คำว่า RAID อ่านออกเสียงว่า "เหรด" ในลักษณะเดียวกันกับ พาเหรด ในปี 1987 Patterson, Gibson และ Katz ซึ่งทำงานที่ University of California Berkeley ได้พิมพ์บทความเกี่ยวกับ A Case for Redundant Arrays of Inexpensive Disks (RAID) โดยเอกสารนี้ได้บรรยายถึงชนิดของดิสก์อะเรย์ประเภทต่างๆ โดยเรียกชื่อย่อๆว่า RAID หลักการพื้นฐานของ RAID มาจากแนวคิดที่ว่า เมื่อเอาดิสก์ที่มีความจุน้อยหลายๆตัวมารวมกัน ประสิทธิภาพที่ได้จากการใช้งานจะมากกว่าใช้ดิสก์ขนาดใหญ่เพียงตัวเดียว โดยเมื่อเอาดิสก์มารวมกันแล้วคอมพิวเตอร์จะต้องเห็นว่าเป็นดิสก์ขนาดใหญ่ตัวเดียว (เป็น Logical Drive)

                      ครั้นต่อมา RAID ก็เปลี่ยนคำจำกัดความเป็น Redundant Array of independent disks แปลไทยได้อย่างไม่สละสลวยว่า ระบบเผื่อไว้แบบอะเรย์ของดิสก์ที่เป็นอิสระต่อกัน ฟังแล้วงงมั้ย? งงมากครับ RAID ก็คือ RAID ฟังแล้วง่าย แต่ไม่เข้าใจไปใหญ่ ลองนึกง่ายๆ ครับ ถ้าเรามีฮาร์ดดิสก์เพียงตัวเดียว วันหนึ่งถ้าพังก็พังไปเลย ข้อมูลหายหมด แต่ถ้านำฮาร์ดดิสก์หลายๆ ตัวมาต่อกัน เช่น 5 ตัว ข้อดีคือ ได้ความจุเพิ่มขึ้น แต่ถ้าตัวใดตัวหนึ่งพังก็จะเสียข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ตัวนั้นไป แต่จะป้องกันได้มากกว่า ถ้าหากเพิ่มฮาร์ดดิสก์เข้าไป 3 ตัว แล้วใช้ระบบการจัดแบ่งเก็บข้อมูลในแต่ละตัว พร้อมกัน แต่ในแต่ละตัวก็มีข้อมูลที่ซ้ำกัน หรือมีการเก็บ Parity ของอีกตัวไว้ ถ้าเกิดวันใดที่ตัวหนึ่งเกิดพังไป ข้อมูลในตัวที่พังก็ยังคงมีเก็บ "สำรองเผื่อเสีย" ไว้ การแก้ไข ก็เพียงเอาฮาร์ดดิสก์ใหม่มาเปลี่ยน แล้วค่อยๆ ผ่องถ่ายข้อมูลที่ฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าที่พังไปเคยฝากไว้กับฮาร์ดดิสก์ตัวอื่นลงมาใหม่ๆ ทำให้สมบูรณ์แบบ ทั้งหมดนั้นเรียกว่าระบบ Fault Tolerance แปลเป็นไทยก็คือ "ระบบที่คงทนต่อความเสียหาย"

                      คือ แทนที่ว่าฮาร์ดดิสก์พังไปตัวหนึ่งก็ต้อง "Down" เซิร์ฟเวอร์ ทำให้ระบบต้องหยุดชะงัก เพื่อป้องกันความเสียหายดังกล่าว จะต้องสร้างระบบให้คงทนต่อความเสียหาย ฮาร์ดดิสก์พังไปแล้วหนึ่งตัว ระบบยังทำงานต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยวิธีการนี้ จะต้องใช้ RAID ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้าง "ดิสก์ที่คงทนต่อความเสียหาย"

                      คำจำกัดความของ RAID คือ

                      เทคโนโลยีของหน่วยเก็บข้อมูลที่ใช้เพื่อปรับปรุงระบบให้มีความสามารถในการประมวลผลเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล เทคโนโลยีดังกล่าวจะออกแบบเพื่อให้ระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบอะเรย์มีความเชื่อถือได้ และเพื่อใช้ข้อดีของการนำประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มฮาร์ดดิสก์เข้าไปในระบบหลายๆ ตัวเข้ามาใช้งาน นี่เขียนแบบวิชาการต้องแบบนั้น แต่อ่านไม่รู้เรื่องเลย แปลง่ายๆ คือ ฮาร์ดดิสก์ที่ต่อกันเป็นสมาชิกของอะเรย์ (แบบเดียวกับทางคณิตศาสตร์ เรื่องของ อะเรย์) แล้วทำอย่างไรให้ทำงานได้น่าเชื่อถือ แล้วการมีฮาร์ดดิสก์หลายๆ ตัว และให้เขียนและอ่านหลายๆ ตัว พร้อมๆ กัน จะได้ประสิทธิภาพดีกว่าเขียนและอ่านตัวเดียว ซึ่งต้อง "รอ" ให้การเขียนเสร็จสิ้นเป็นคราวๆ ถึงจะเริ่มเขียนใหม่ได้ ประโยชน์อีกประการของ RAID คือ "เผื่อเสีย" คือ ถ้าตัวหนึ่งเสีย อีกสลับตัวที่สำรองไว้ขึ้นมาทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบนั้นจะคงทนต่อความเสียหาย ระบบดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องถูกขัดจังหวะจากการเสียเวลาซ่อมแซม พูดง่ายๆ ฝรั่งเขาว่า disk access will still continue normally with the failure transparent to the host system คือ การใช้งานดิสก์ยังคงเกิดขึ้นอย่างปกติ ตัวที่เสีย ระบบคอมพิวเตอร์ก็จะมองผ่านไป ปัจจุบันการนำ RAID มาใช้งานนั้น เกี่ยวกับเซิร์ฟเวอร์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อระบบเครือข่ายถูกพัฒนาขึ้นใช้ ความสำคัญของหน่วยเก็บข้อมูล (Storage System) ก็ทวีความสำคัญขึ้น เพราะในเซิร์ฟเวอร์นั้น ถ้าหากว่าฮาร์ดดิสก์ชำรุด ใช้งานไม่ได้ นอกจากจะสูญเสียข้อมูลที่เก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ไปทั้งหมดแล้วยังจะต้องเสียเวลาเพื่อรอให้การซ่อมแซมแล้วเสร็จ ซึ่งหมายถึงการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ

                      ประโยชน์จาก RAID

                      1.เอื้อประโยชน์ในการรวมเอาพื้นที่จากฮาร์ดดิสก์หลายๆ ตัวเข้ารวมกันเป็น "ก้อน" ก้อนเดียว

                      2.ใช้ประโยชน์จากการ "เข้าถึง" ของฮาร์ดดิสก์แต่ละตัว ซึ่งหมายถึง จะแบ่งข้อมูลออกเป็นบล๊อคย่อยๆ แล้วแยกกันไปเขียน (อ่าน) ลงบนฮาร์ดดิสก์แต่ละตัว ทำให้ย่นระยะเวลาทำงาน และลดระยะเวลาคอย (Wait State)

                      3. มีระบบ "เผื่อเสีย" โดยการทำ "Mirroring" หรือ Parity การกระจายการเขียน-อ่านข้อมูล (Stripping) และพาริตี้ (Parity)

                      การกระจายการเขียน-อ่านข้อมูล (Stripping) และพาริตี้ (Parity) 2 กลไก หัวใจของ RAID

                      การนำเอาดิสก์หลายๆ ตัวมารวมกันเป็นดิสก์อะเรย์ แล้วกำหนดให้เป็น Logical Drive เพียงหนึ่งตัว นั้นมี "Stripping" เป็นหัวใจในการทำงาน กล่าวได้ว่า Stripping เป็นหลักการพื้นฐานของ RAID คือ เมื่อมีฮาร์ดดิสก์หลายๆ ตัวมารวมกัน การเขียนข้อมูลชุดหนึ่งๆ ลงดิสก์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด ต้องมีการ "กระจาย" ข้อมูลลงไปในดิสก์ทุกตัวในอะเรย์ เรียกการกระจายเขียน-อ่านข้อมูลเหล่านี้ว่า Stripping

                      กระบวนการ Stripping นั้นสิ่งที่สำคัญคือ I/O เพราะต้องมีการเข้าถึงฮาร์ดดิสก์ในอะเรย์ ต้องจัดการให้ดิสก์ทุกตัวบรรจุข้อมูลที่ถูกเขียน-อ่าน (Access) ในสภาวะที่สมดุลกัน ยิ่ง RAID Controller ออกแบบเท่าไร ก็จะได้ประสิทธิภาพจาก I/O มากขึ้น สำหรับตัวควบคุมอะเรย์แบบฮาร์ดแวร์ (RAID Controller) การวัดประสิทธิภาพในการทำงาน สิ่งที่นำมาวัดประสิทธิภาพก็คือ I/O Performance

                      บันทึกเทคนิค

                      ทำไมถึงว่า I/O สำคัญ กรณีนี้ จะชี้ให้เห็นว่าถ้าหากเป็น file server นั้น I/O ยังมีความสำคัญไม่มากนัก เพราะ user จะไม่ค่อยเปิด/ปิด file เท่าไหร่ (เว้นแต่มีกรณีที่มีการนำเอา network drive เป็น swap space แต่นั่นไม่ใช่ file request แล้ว เพราะการเปิดแต่ละครั้ง จะเป็นการเปิดเพื่อนำมาแก้ไข ซึ่งกว่าจะ save บางทีใช้เวลานานกว่า 10-15 นาที สมมุติว่ามีผู้ใช้ 20 คน เฉลี่ยเวลาที่จะต้องทำ I/O ก็ยังนานระดับเป็นนาที ซึ่งถือว่าไม่มากนัก แต่ถ้าเป็น database ที่ต้องทำงานระดับ record locking นั้น การเปิดข้อมูลมาแก้ไข 1 record จะมี I/O อย่างน้อย 3-4 ครั้ง (database open, record open, index open, lock open) และเฉลี่ย ไม่เกิน 30 วินาทีก็ต้องมี I/O อีกรอบ เพื่อ write ซึ่งแพงกว่า read มากเนื่องจากต้องมี concurrency control, journalizing, log ยิ่งพวก 2-phase commitment (เขียน changed image ก่อน -> ลบ record เดิม -> เปลี่ยน changed image เป็น record ใหม่) จะใช้ I/O ถึง 2 เท่า เฉลี่ย 30 วินาที มี I/O ไม่น้อยกว่า 15 ครั้ง ยิ่งพวก banking หรือ online service เวลาการจัดการ record จะน้อยกว่า 10 วินาทีอีก

                      ถ้าประมาณว่าเฉลี่ย 15 วินาที มี I/O 15 หน 1 หน/วินาที ถ้ามีเครื่องแค่ 1,000 เครื่อง ที่เข้าจัดการ database อันนั้น ลองจินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะจากตัวอย่างนั้นแค่ 1 database, 1 job (ที่ซ้ำซาก เหมือนกัน) เท่านั้น และยังไม่นับ overhead ที่เกิดจากการ verify parity ของตัว RAID controller เองด้วย cache จะมีความสำคัญตรงนี้ คือ ถ้าสามารถ hold ข้อมูลไว้ได้ ทำ block I/O ได้, queuing I/O ดีๆ ให้อ่านเขียนโดยมี HDD head movement น้อยที่สุด เปิดยาวทีเดียวเพื่ออ่าน/เขียนจาก track 1 -> last track แบบ one-way โดยไม่ต้องกระโดดไปๆ กลับๆ ประสิทธิภาพจะสูงอีกมาก

                      จะเห็นได้ว่า data transfer rate แทบไม่มีบทบาทเลย SCSI/2 สามารถส่งผ่านข้อมูลได้ 40 MB/sec แต่ฐานข้อมูลส่วนใหญ่ จะอ่านเขียน data ขนาด ไม่เกิน 2k กันแทบทั้งนั้น (ข้อมูล 1 record ไหน ขนาดที่ใหญ่ๆ จะไม่เกิน 2 กิโลไบต์ ถ้าไม่ใช่ image) พันเครื่องอ่าน-เขียนพร้อมๆกัน data stream ก็แค่ 2-3 MB เท่านั้นการวัดประสิทธิภาพ I/O วัดว่ารองรับได้กี่ I/O per sec โดย RAID Controller ที่ดีนั้น ได้ถึง 6,000 I/O per sec และปัจจุบัน RAID Controller รุ่นประสิทธิภาพสูง ทำได้ถึง 10 KBPSec แต่มีราคาแพงมากกรณีที่ ค่า I/O ต่ำ ความเร็วในการทำงานของ RAID จะแปรผันตาม cache

                      สำหรับ Parity ของข้อมูลนั้น ไม่ได้ถูกระบุสำหรับ RAID ทุกระดับ แต่จะมีเฉพาะบางระดับเท่านั้น Parity จะช่วยในเรื่องของการ "เผื่อเสีย" คือ ถ้าหากข้อมูลในดิสก์เสียหาย หรือเกิดทำลาย จะใช้ Parity ช่วยให้กู้ข้อมูลกลับมาได้

                      การสร้าง parity อาศัยความสามารถของโปรเซสเซอร์ ซึ่งจะเป็น โปรเซสเซอร์บน RAID Controller หรือโปรเซสเซอร์บนเซิร์ฟเวอร์ก็ตาม การทำงานของโปรเซสเซอร์ดังกล่าวจะได้ค่า ยิ่งถ้า parity นั้นเป็น CRC ยิ่งต้องการ CPU power มากขึ้น โดยการคำนวณกัน byte per byte ไม่ได้เอามาทั้ง file แล้ว generate 4 bytes และกรณีที่เป็น RAID-5 ยังต้องคอยหมุนให้ parity bit กระจายไปอยู่ตาม HDD ลูกต่างๆ ในอะเรย์อีก

                      ถ้าหากต้องการทราบว่า RAID-5 ใช้พลังงานงานจาก CPU มากขนาดไหน ลองหา HDD SCSI มาสามตัว ลง Windows NT แล้วทำ software RAID ดูสิครับ


                      ก่อนที่เราจะไปรู้จัก RAID แบบต่างๆ เรามารู้จักคำว่า Data Striping กันก่อนครับ

                      Data Striping คือการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆ แล้วนำแต่ละส่วนไปเก็บใน harddisk แต่ละตัว การทำ striping นี้จะช่วยให้การอ่าน หรือเขียนข้อมูลใน disk array มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะแต่ละไฟล์จะถูกแบ่งเป็นส่วนๆ กระจายไปเก็บในส่วนที่ต่างกันของ harddisk หลายตัว โดย harddisk เหล่านั้นทำงานไปด้วยกันแบบขนาน (parallel) จึงทำให้การเข้าถึงข้อมูลนั้นเร็วกว่า harddisk แบบตัวเดียวอย่างแน่นอนและนี่คือ RAID แบบต่างๆ ที่มีความสามารถต่างกัน และถูกเอามาใช้ในงานที่แตกต่างกัน แล้วแต่ผู้ใช้ครับ

                      RAID 0

                      คือการเอา harddisk มากกว่า 1 ตัวมาต่อร่วมกันในลักษณะ non-redundant ซึ่ง RAID 0 นี้มีจุดประสงค์ เพื่อที่จะเพิ่มความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูล harddisk โดยตรง ไม่มีการเก็บข้อมูลสำรอง ดังนั้นถ้าฮาร์ดดิสก์ตัวใดตัวหนึ่งเกิดเสียหาย ก็จะส่งผลให้ข้อมูลทั้งหมดไม่สามารถใช้งานได้ทันที จากรูป จะเห็นว่าข้อมูลจะถูกแบ่งไปเก็บที่ harddisk ทั้ง 3 ตัว (กรณีที่เราใช้ harddisk 3 ตัวมาต่อ RAID 0 กัน) และถ้าเพิ่มจำนวน harddisk ใน array ให้มากขึ้น เวลาที่ใช้อ่านหรือเขียนข้อมูลก็จะลดลงไปตามสัดส่วน ตามทฤษฎีแล้ว ถ้า disk array มี harddisk จำนวน N ตัว ก็จะทำให้อ่านหรือแขียนข้อมูลได้เร็วขึ้นเป็น N เท่าตัว แต่ด้วยเหตุผลและปัจจัยหลายประการ เช่น RAID controller, ความคลาดเคลื่อนของความเร็ว harddisk ทำให้ในความเป็นจริงอาจเร็วไม่ถึงตามทฤษฎี


                      RAID 1

                      RAID 1 มีอีกชื่อหนึ่งว่า disk mirroring จะประกอบไปด้วย harddisk 2 ตัวที่เก็บข้อมูลเหมือนกันทุกประการ เสมือนการสำรองข้อมูล หาก harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเกิดเสียหาย ระบบก็ยังสามารถดึงข้อมูลจาก harddisk อีกตัวหนึ่งมาใช้งานได้ตามปกติ สำหรับ RAID controller ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้ว การเขียนข้อมูลลง harddisk 2 ตัวในเวลาเดียวกัน จะใช้เวลาพอๆ กับการเขียนข้อมูลลง harddisk ตัวเดียว ในขณะที่เวลาในการอ่านก็จะน้อยลง เพราะ RAID controller จะเลือกอ่านข้อมูลจาก harddisk ตัวไหนก็ได้ โดยหากมีคำสั่งให้อ่านข้อมูล 2 ชุดในเวลาเดียวกัน ตัว RAID controller ก็สามารถประมวลผลคำสั่งเพื่ออ่านข้อมูลจาก harddisk ตัวหนึ่ง และคำสั่งอีกชุดนึงจาก harddisk อีกตัวนึงก็ได้
                      จุดเด่นของ RAID 1 คือความปลอดภัยของข้อมูล ไม่เน้นเรื่องประสิทธิภาพและความเร็วเหมือนอย่าง RAID 0 แม้ว่าประสิทธิภาพในการอ่านข้อมูลของ RAID 1 จะสูงขึ้นก็ตาม



                      RAID 3

                      RAID 3 มีลักษณะที่คล้ายกับ RAID 2 แต่แทนที่จะตัดแบ่งข้อมูลในระดับ bit เหมือน RAID 2 ก็จะตัดเก็บข้อมูลในระดับ byte แทนและการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูล จะใช้ parity แทนที่จะเป็น ECC ทำให้ RAID 3 มีความสามารถในการอ่านและเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีการต่อ harddisk แต่ละตัวแบบ stripe และใช้ harddisk ที่เก็บ parity เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น แต่ถ้านำ RAID 3 ไปใช้ในงานที่มีการส่งผ่านข้อมูลในจำนวนที่น้อยๆ ซึ่ง RAID 3 ต้องกระจายข้อมูลไปทั่วทั้ง harddisk จะทำให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า คอขวด ขึ้นกับ harddisk ที่เก็บ parity เพราะไม่ว่าข้อมูลจะมีขนาดใหญ่ขนาดไหน RAID 3 ต้องเสียเวลาไปสร้างส่วน parity ทั้งสิ้น ยิ่งข้อมูลมีขนาดเล็กๆ แต่ parity ต้องสร้างขึ้นตลอด ทำให้ข้อมูลถูกจัดเก็บเสร็จก่อนการสร้าง parity ทั้งระบบต้องมารอให้สร้าง parity เสร็จก่อน จึงจะทำงานต่อไปได้นั่นเอง RAID 3 เหมาะสำหรับใช้ในงานที่มีการส่งข้อมูลจำนวนมากๆ เช่นงานตัดต่อ Video เป็นต้น


                      RAID 5

                      มีการตัดแบ่งข้อมูลในระดับ block เช่นเดียวกับ RAID 4 แต่จะไม่ทำการแยก harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเพื่อเก็บ parity ในการเก็บ parity ของ RAID 5 นั้น จะกระจาย parity ไปยัง harddisk ทุกตัว โดยปะปนไปกับข้อมูลปกติ จึงช่วยลดปัญหาคอขวด ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญใน RAID 3 และ RAID 4 คุสมบัติอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจของ RAID 5 คือ เทคโนโลยี Hot Swap คือเราสามารถทำการเปลี่ยน harddisk ในกรณีที่เกิดปัญหาได้ในขณะที่ระบบยังทำงานอยู่ เหมาะสำหรับงาน Server ต่างๆ ที่ต้องทำงานต่อเนื่อง



                      RAID 6

                      RAID 6 อาศัยพื้นฐานการทำงานของ RAID 5 เกือบทุกประการ แต่มีการเพิ่ม parity block เข้าไปอีก 1 ชุด เพื่อยอมให้เราทำการ Hot Swap ได้พร้อมกัน 2 ตัว (RAID 5 ทำการ Hot Swap ได้ทีละ 1 ตัวเท่านั้น หาก harddisk มีปัญหาพร้อมกัน 2 ตัว จะทำให้เสียทั้งระบบ) เรียกว่าเป็นการเพิ่ม Fault Tolerance ให้กับระบบ โดย RAID 6 เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยและเสถียรภาพของข้อมูลที่สูงมากๆ



                      RAID 0+1

                      เป็นการผสมผสานระหว่าง RAID 1 และ RAID 0 เข้าด้วยกัน โดยใช้ Harddisk 4 ตัวขึ้นไปครับ และมีการทำ mirror ข้อมูล (backup ข้อมูล) ไปด้วย ข้อเสียของ 0+1 คือการเพิ่มจำนวน harddisk ในอนาคตเป็นไปได้ยาก เพราะ harddisk แต่ละตัวมี mirror เป็นของตัวเอง ยิ่งเพิ่ม harddisk เพื่อใช้งานก็ต้องเพิ่ม harddisk เพื่อ backup ไปด้วย ตามรูปครับ



                      RAID 10 (1+0)

                      RAID 10 หรือ RAID 1+0 เป็นการผสมผสานระหว่าง RAID 1 และ RAID 0 เข้าด้วยกัน การทำงานจะสกับกันทีละตัว พร้อมทั้งทำ Mirror ทำให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับ Server ที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างมาก และมีประสิทธิภาพสูงครับ



                      RAID Controller

                      ตัวควบคุมระบบ RAID นั้นใช้ได้ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ หรือใช้รวมกันก็ได้ ซอฟต์แวร์เช่น Windows NT 4.0 สนับสนุน RAID ระดับ 0 ,1 (Striping , Mirroring) และฮาร์ดแวร์จากผู้ผลิตรายต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากหลากหลาย เช่น Asustek , Adaptec , DCT ,MTI ซึ่งฮาร์ดแวร์เหล่านั้นมีราคาอยู่ในระหว่างสองหมื่นถึงเป็นล้านบาท

                      กรณีใช้ซอฟต์แวร์เป็น RAID Controller จะมีข้อจำกัดคือ ระดับที่สนับสนุน คือ 0, 1 (Striping , Mirroring) นั้นยังไม่ครอบคลุมระดับ Data Protection ในเรื่องของพาริตี้ ซึ่งมีใน RAID ระดับ 3,5 และใช้กำลังจากโปรเซสเซอร์ ทำให้โปรเซสเซอร์มีเวลาจะไปประมวลผลงานอื่นๆ น้อยลง การใช้ซอฟต์แวร์ควบคุม มีข้อดีคือ ราคาถูกกว่า ไม่ต้องการอุปกรณ์เพิ่มเติมมากนัก

                      ส่วนฮาร์ดแวร์ โดยมากจะได้รับการออกแบบที่ดี แต่ฮาร์ดแวร์ก็มีข้อแตกต่างระหว่างยี่ห้อต่างๆ คือ ประสิทธิภาพในการทำงานแตกต่างกันออกไป การติดตั้งยากกว่าซอฟต์แวร์ควบคุม และราคาการลงทุนค่อนข้างสูงกว่า เพราะต้องการอุปกรณ์เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์ เคสสำหรับฮาร์ดดิสก์ โดยเฉพาะระบบ "Hot Swap" แต่ผลของการลงทุนก็คุ้มค่า (เกี่ยวกับ Hardware RAID Controller ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก รู้จักกับ Raid Controller)


                      ขอขอบคุณบทความจาก มหาวิทยาลัยมหานคร
                      Last edited by piyaphi; 21 Aug 2011, 22:14:59.

                      Comment


                      • #71
                        กลับมาอีกครั้งแล้วครับ กับความรู้ใหม่ๆ สำหรับชาว ocz และเหล่าสาวกของ ORICO
                        คราวนี้เราจะมาถึงการทำ HOT Swap ให้กับ E-SATA ซึ่งปกติแล้วถ้าใช้งานผ่าน USB เราสามารถที่จะถอด HDD แล้วเสียบกลับไป
                        ก็จะสามารถเห็น HDD ลูกนั้นได้เลย อันนี้ทุกคนคงจะเคยชิ้นกันอยู่แล้ว
                        แต่สำหรับบางคนที่ใช้ port ของ E-SATA อาจจะทำไม่ได้ แล้วบางคนต้องปิดเปิด(restart) คอมฯใหม่ถึงกลับมามองเห็น HDD ได้

                        วันนี้เรามีวิธีที่อาจจะช่วยท่านได้

                        AHCI คืออะไร

                        AHCI (Advanced Host Controller Interface) เป็นวงจรควบคุม Serial ATA ทางฮาร์ดแวร์ เพื่อให้ทำงานได้ตามมาตรฐาน SATA เช่น Hot Plug หรือโหมด NCQ


                        NCQ (Native Command Queuing) ง่ายๆ ก็ช่วยให้ฮาร์ดดิสก์อ่านข้อมูลแบบไม่ต้องเรียงลำดับ 1 2 3 อันไหนใกล้หัวอ่านก็อ่านมาก่อนได้เลย


                        ข้างบนคือการอธิบายแบบง่าย ๆ คร่าว ๆ หากท่านใดต้องการทราบรายละเอียดแบบเชิงลึกขอเชิญถามน้ากูเกิ้ลได้เลยครับ

                        มา เริ่มกันเลยดีกว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่เราลงวินโดวส์ไปแล้ว แต่ก่อนลงไม่ได้ enable AHCI เอาไว้ สังเกตุลงเสร็จเรามาเปิด AHCI นี้มันจะบู๊ตไม่ได้ จอฟ้าทันที แต่ถ้าทำตามนี้ มันจะใช้งาน AHCI ได้ครับ ผมลองมาแล้วเวิร์คครับ

                        1. เข้า regedit เเล้วไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\System\CurrentControlSet\Services\Msahci จากนั้นด้านขวามือ มองหาค่าที่ชื่อว่า Start แล้วเปลี่ยนค่า REG_DWORD เป็น 0 (Click ขวาที่ Start เลือก Modify เเล้วเปลี่ยนค่าเป็น0)
                        2. รีสตาร์ทเครื่อง
                        3. ไปปรับ sata mode จาก ide เป็น AHCI แล้ว save > restart
                        4. ใช้งานได้แล้วครับ


                        จากนั้นท่านจะสามารถถอด ๆ เสียบ ๆ HDD ของท่านได้โดยไม่ต้องปิดเครื่องก่อน หรือที่เรียกว่า hot plug, hot swap นั่นแหละครับ แต่ก่อนถอดอย่าลืม save ก่อนนะครับ ทำเหมือนกับเราจะดึง flashdrive ออกอ่ะแหละครับ

                        ใครมีวิสต้าก็เอาไปใช้ได้นะครับ แต่ xp ไม่ได้นะ xp ถ้าจะใช้ต้องหาไดรเวอร์มาลงตอนเรา install เลย แต่วิสต้ากับวินฯ 7 มันมีไดรเวอร์มาให้แล้วในตัว

                        บอร์ดใครที่เป็นชิบ ICH7, ICH8 มันจะใช้งานได้ไม่สมบูรณ์นะครับ (ความผิดอินเทล)

                        เพิ่มเติม จาก thaihardware : Gigabyte P965-DS3 ใช้ชิปเซต Intel P965 กับ ICH8 ซึ่งไม่รองรับ AHCI แต่ไบออสดันมีให้ปรับซะงั้น !!!
                        อันนี้เป็นเรื่องจริงครับ เครื่องที่บริษัทใช้ Asus P5B ก็ชิปเซตเดียวกัน ปกติไบออสจะตั้งไว้โหมด IDE ซึ่งจะทำงานเหมือนฮาร์ดดิสก์ IDE ธรรมดาๆ
                        ไม่รองรับ Hot Plug หรือ NCQ ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเราเข้าไปตั้งค่าใหม่ในเป็น AHCI วินโดวส์ XP จะมองไม่เห็นฮาร์ดดิสก์ทันที เลวไหมหละ !!!
                        งานนี้โทษใครไม่ได้ครับ Gigabyte ไม่ผิด Asus ไม่ผิด ผู้ผลิตเมนบอร์ดไม่มีความผิดอะไร เพราะต้นเหตุมันมาจาก Intel คนเดียว
                        ที่ออกแบบวงจรของ ICH7, ICH8 ไม่ได้ตามมาตรฐาน SATA ที่ควรจะเป็น หากใครใช้ชิปเซต nForce 4 เป็นต้นมาจะพบว่าไม่มีปัญหาแบบนี้เลย
                        เพราะ nForce ทำงานตามมาตรฐาน SATA ครบถ้วน

                        AHCI is built into chipsets with the following controller hubs:

                        Intel? 82801IR/IO Controller Hub (ICH9R) - RAID and AHCI
                        Intel? 82801HEM I/O Controller Hub (ICH8M-E) - RAID and AHCI
                        Intel? 82801HBM I/O Controller Hub (ICH8M) - AHCI only
                        Intel? 82801HR/HH/HO I/O Controller Hub (ICH8R) - RAID and AHCI
                        Intel? 631xESB/632xESB I/O Controller Hub - RAID and AHCI
                        Intel? 82801GHM I/O Controller Hub (ICH7MDH) - RAID only
                        Intel? 82801GBM I/O Controller Hub (ICH7M) - AHCI only
                        Intel? 82801GR I/O Controller Hub (ICH7R) - RAID and AHCI
                        Intel? 82801GH I/O Controller Hub (ICH7DH) - RAID and AHCI
                        Intel? 82801FR I/O Controller Hub (ICH6R) - RAID and AHCI
                        Intel? 82801FBM I/O Controller Hub (ICH6M) - AHCI only
                        ICH9, ICH8, ICH7 and ICH6-based chipsets, as well as ICH5 and ICH5R-based chipsets, do not use AHCI.

                        ขอบคุณข้อมูล
                        kessopha ใน ocz
                        thaihardware
                        อ่านข้อมูลอื่นๆและreview เพิ่มได้ที่ oricothailand

                        Comment


                        • #72
                          สาระดีครับ
                          น่าอุดหนุนมาก

                          Comment


                          • #73
                            Originally posted by Alpha1 View Post
                            สาระดีครับ
                            น่าอุดหนุนมาก
                            ขอบคุณ คุณAlpha1 ครับ

                            ขอเชิญชวนทุกท่าน ร่วมแบ่งปันความรู้ หากใครมีความรู้ดีๆก็ช่วยกันมา post ได้น๊ะครับ ยินดีเสมอ

                            Comment


                            • #74
                              คำถามจากการใช้ Encloser ของ orico ที่เป็น Box 2.5" มี port USB3.0+eSATA
                              คือมีคนถามว่าถ้าใช้งานผ่าน usb สามารถใช้งานได้ แต่พอเสียบใช้งาน eSATA แล้วใช้งานไม่ได้

                              คำตอบ ถ้าใช้งานผ่านช่อง eSATA จะต้องต่อสาย USB ที่หัวเป็นสีขาวเข้ากับคอม ไม่ใช่หัวสีฟ้าน๊ะครับ เท่านี้ก็สามารถใช้งานผ่าน eSATA ได้แล้วครับ เหมือนกับว่า eSATA คือช่องของ DATA แต่ usb หัวสีขาวคอยจ่ายไฟให้

                              Comment


                              • #75
                                8628SUSC ร้อนมาก ขณะ clone

                                ผมมี ORICO 8628SUSC และได้ลอง clone ฮาร์ดดิส SATAII 1TB 2 ตัว แต่เป็นคนละยี่ห้อกัน เมื่อเริ่ม clone สังเกตว่าไฟ clone กระพริบสม่ำเสมอดูเป็นปกติดี แต่พอทิ้งไว้สัก 30 นาที ไฟ clone กระพริบไม่สม่ำเสมอ มีทั้งติดค้างเป็นจังหวะยาว และจังหวะกระพริบเร็ว เมื่อใช้มือแตะฮาร์ดิสดู ปรากฎว่าฮาร์ดิสทั้งสองตัว ร้อนมาก แตะแทบไม่ได้ ผมจึงปิดสวิตซ์ power เพราะกลัวว่า จะทำให้ ฮาร์ดดิสผมเสีย เมื่อลองเช็คฮาร์ดดิสที่เป็น target ใน PC ก็ปรากฎว่า copy ได้เพียงบางส่วน แต่ก็ยังใช้งานได้เป็นปกติ

                                คำถามผมคือว่า อาการร้อนจนแตะไม่ได้ ถือว่าปกติไหมครับ ผมคิดดูเองว่า แค่ครึ่ง ช.ม. ยังร้อนขนาดนี้ แล้วถ้าต้องใช้เวลาประมาณ 4 ช.ม. ในการ clone ทั้งหมด ฮาร์ดดิสจะไม่เสียหรือ

                                Comment

                                Working...
                                X