นาย ประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี ประธานคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา เปิดเผยว่า ได้เข้ายื่นเรื่องต่อประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา เพื่อขอให้สอบสวนการดำเนินการของพ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อการอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT หรือ 3 G and Beyond เนื่องจากมีพฤติการณ์อันทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำผิดต่อหน้าที่
โดย ปรากฏข้อเท็จจริงกทช.ได้ร่างหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่น ความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT หรือ 3 G and Beyond กำหนดให้ใช้วิธีประมูลใบอนุญาตจำนวน 3 ใบ มีขนาดคลื่นความถี่ 2 คูณ 15 MKz ระยะเวลา 15 ปี มีราคาประมูลเริ่มต้นที่ 12 ,800 ล้านบาท ขณะที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศได้ประเมินราคาที่เหมาะสมคือ 330,000 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมาธิการฯเห็นว่าเป็นการตั้งราคาที่ต่ำเกินไป มีลักษณะเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการ ทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์ที่ควรจะได้
นาย ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละรายมีการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตาม สัมปทานให้แก่รัฐปีละประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อครบอายุสัญญารัฐจะมีรายได้ประมาณ 250,000 ล้านบาท พร้อมต้องโอนทรัพย์สินที่ลงทุนประมาณ 150,000 ล้านบาท ให้กับรัฐรวมทั้งสิ้นประมาณ 400,000 ล้านบาท ส่วนหลักเกณฑ์การประมูลใบอนุญาต 3 G ดังกล่าวกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าตอบแทนและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมแล้วเพียงปีละ 6 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งเมื่อสิ้นสุดอายุสัญญาผู้ลงทุนไม่ต้องโอนทรัพย์สินที่ลงทุนไปให้กับ รัฐ
"เห็นชัดว่าการกำหนดราคาประมูลขั้นต้นของกทช.ไม่สมเหตุสมผล มีลักษณะที่อาจเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเข้าแสวงหาประโยชน์ที่มิควร ได้โดยชอบกับทรัพยากรสื่อสารของชาติ ถือว่าขาดจิตสำนึกในหน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ" นายประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า การกำหนดหลักเกณฑ์โดยเฉพาะการชำระส่วนแบ่งรายได้จะส่งผลให้ผู้ประกอบการย่อม ต้องดำเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ในการย้ายลูกค้าจากระบบ 2 G ปัจจุบันไปยังระบบ 3 G เนื่องจากได้ประโยชน์และจ่ายค่าตอบแทนน้อยลง ขณะที่รัฐสูญเสียรายได้ ซึ่งกรณีนี้กทช.ไม่เคยชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ กทช.ในฐานะองค์กรกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของรัฐ มีอำนาจหน้าที่กำหนดทิศทางของกิจการโทรคมนาคมของประเทศ การกำหนดมาตรการใด ๆ ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประโยชน์สาธารณะ แต่การดำเนินการของ พ.อ.นที ใช้ข้อมูลด้านเดียว และไม่ชี้แจงหรือให้ความกระจ่างต่อคณะกรรมาธิการฯในประเด็นที่ได้สอบถามไป ตลอดจนมีพฤติการณ์อันควรสงสัยหลายประการ ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและทุจริตต่อหน้าที่ คณะกรรมาธิการฯจึงมีมติส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ได้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อ ไป
ที่มา : www.bangkokbiznews.com
.................................................................
โดย ปรากฏข้อเท็จจริงกทช.ได้ร่างหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่น ความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT หรือ 3 G and Beyond กำหนดให้ใช้วิธีประมูลใบอนุญาตจำนวน 3 ใบ มีขนาดคลื่นความถี่ 2 คูณ 15 MKz ระยะเวลา 15 ปี มีราคาประมูลเริ่มต้นที่ 12 ,800 ล้านบาท ขณะที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศได้ประเมินราคาที่เหมาะสมคือ 330,000 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมาธิการฯเห็นว่าเป็นการตั้งราคาที่ต่ำเกินไป มีลักษณะเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการ ทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์ที่ควรจะได้
นาย ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละรายมีการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตาม สัมปทานให้แก่รัฐปีละประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อครบอายุสัญญารัฐจะมีรายได้ประมาณ 250,000 ล้านบาท พร้อมต้องโอนทรัพย์สินที่ลงทุนประมาณ 150,000 ล้านบาท ให้กับรัฐรวมทั้งสิ้นประมาณ 400,000 ล้านบาท ส่วนหลักเกณฑ์การประมูลใบอนุญาต 3 G ดังกล่าวกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าตอบแทนและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมแล้วเพียงปีละ 6 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งเมื่อสิ้นสุดอายุสัญญาผู้ลงทุนไม่ต้องโอนทรัพย์สินที่ลงทุนไปให้กับ รัฐ
"เห็นชัดว่าการกำหนดราคาประมูลขั้นต้นของกทช.ไม่สมเหตุสมผล มีลักษณะที่อาจเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเข้าแสวงหาประโยชน์ที่มิควร ได้โดยชอบกับทรัพยากรสื่อสารของชาติ ถือว่าขาดจิตสำนึกในหน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ" นายประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า การกำหนดหลักเกณฑ์โดยเฉพาะการชำระส่วนแบ่งรายได้จะส่งผลให้ผู้ประกอบการย่อม ต้องดำเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ในการย้ายลูกค้าจากระบบ 2 G ปัจจุบันไปยังระบบ 3 G เนื่องจากได้ประโยชน์และจ่ายค่าตอบแทนน้อยลง ขณะที่รัฐสูญเสียรายได้ ซึ่งกรณีนี้กทช.ไม่เคยชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ กทช.ในฐานะองค์กรกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของรัฐ มีอำนาจหน้าที่กำหนดทิศทางของกิจการโทรคมนาคมของประเทศ การกำหนดมาตรการใด ๆ ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประโยชน์สาธารณะ แต่การดำเนินการของ พ.อ.นที ใช้ข้อมูลด้านเดียว และไม่ชี้แจงหรือให้ความกระจ่างต่อคณะกรรมาธิการฯในประเด็นที่ได้สอบถามไป ตลอดจนมีพฤติการณ์อันควรสงสัยหลายประการ ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและทุจริตต่อหน้าที่ คณะกรรมาธิการฯจึงมีมติส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ได้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อ ไป
ที่มา : www.bangkokbiznews.com
.................................................................

Comment