อ่าาาาวันนี้น้ำกะทิทุเรียนอีกแล้วววว อิ่มจุง กินแบบนี้ทุกวัน เบาหวานเรียกหาแล้วครับโผมมมมมมม
Announcement
Collapse
No announcement yet.
AMD & Manga & Anime Society ท่านที่รักชื่นชอบในการ์ตูนเชิญด้านนี่เลยครับ
Collapse
X
-
มั่วอีกละ เพตตี้เอ้ย ยังมีคนเชื่อเหมือนคิตตี้อยู่อีกเหรอ???? ไปอยู่ใน หลุม ของ หลุม ของ หลุม อีกทีรึไงนะ ห๊ะ ? น้ำตาล กะ คาร์โบไฮเดรตนะอันเดียวกัน
อะ อ่านนี้ เดี๋ยวเรื่อง คาโบร์จะตามมาทีหลัง บอกว่าอย่าไปเชื่อคิตตี้ มานมั่ว โว๊ะ ง
ปล. ถ้าเองไม่อ่านให้เข้าใจนะ โดนเชือดทิ้งแน่ๆ
เรื่องของเบาหวานที่ไม่หวานอย่างที่คิด...สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระบุถึงสถิติผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยว่ามียอดเพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านคน และประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่เป็นไม่เคยรู้ตัวมาก่อน ดังนั้นเพื่อคนที่เป็นเบาหวานและคนที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวานได้รู้เท่าทันโรคเบาหวาน ได้รวบรวมข้อสงสัยและสารพัดคำถามเกี่ยวกับเบาหวานไว้เป็นข้อมูลเพื่อรับมือและป้องกัน
สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน และการฉีดอินซูลินเป็นเสมือนยารักษาโรคเบาหวาน ?
อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้นจากตับอ่อนทำหน้าที่ช่วยในการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสที่ย่อยจากอาหาร ที่เรากินเพื่อส่งเป็นพลังงานให้อวัยวะในร่างกาย แต่เมื่อตับอ่อนมีความผิดปกติ และไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ น้ำตาลในเลือดก็ไม่ได้รับการดูดซึม ทำให้ระดับน้ำตาลเพิ่มสูงกว่าปกติ และเมื่อไตขับของเสียออกมาเป็นปัสสาวะ ก็จะมีน้ำตาลปนออกมาด้วย จึงเป็นที่มาของคำว่า "เบาหวาน" นั่นเอง (ถ่าย"เบา"แต่มีน้ำตาลปน..แต่จะหวานจริงหรือไม่ อย่าชิม! ให้สังเกตุว่ามีมดตอมปัสสาวะหรือไม่ก็พอ) สำหรับคนเป็นโรคเบาหวานชนิดที่หนึ่ง ส่วนใหญ่มาจากพันธุ์กรรม และมักเป็นตั้งแต่กำเนิด เนื่องจากร่างกายสร้างอินซูลินไม่ได้เลยจึงจำป็นต้องฉีดอินซูลินเข้าที่ ต้นแขน หน้าท้อง หน้าสะโพกหรือหน้าขา เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ยาฉีดนี้จึงถือว่าเป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ยารักษาโรคเบาหวานที่ช่วยให้หายขาด หรือสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆ อย่างโรคไตวายได้
โรคเบาหวานมีสาเหตุมาจากการกินน้ำตาลมากเกินไป ?
การกินน้ำตาลมากๆ ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานโดยตรง โรคเบาหวานเกิดจากความบกพร่องของอินซูลินที่ไม่สามารถดึงพลังงานไปใช้ได้หมด ดังนั้นคนกินหวานหรือไม่กินหวาน ก็มีสิทธิ์เป็นเบาหวานได้หากร่างกายผลิตอินซูลินไม่ได้ ทั้งนี้คนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่หนึ่งจึงไม่เกี่ยวข้องกับการกิน หรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสม แต่เกิดจากพันธุกรรมหรือการติดเชื้อไวรัสบางชนิดที่ทำลายต่อมไร้ท่อ อันมีผลต่อการสร้างอินซูลินในตับอ่อน เป็นต้น ส่วนคนที่ชอบกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลเกินมักเสี่ยงเป็นเบาหวานชนิดที่สอง มากกว่า ซึ่งมักมีปัจจัยจากโรคอ้วนเป็นสาเหตุร่วมด้วย อยางไรก็ตามเพื่อสุขภาพที่ดี พยายามกินอาหารให้หลากหลายและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ลดขนมหวานและขนมขบเคี้ยวเพลิน
การตรวจน้ำตาลในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวานต้องตรวจ 2 ครั้งถึงแน่ใจว่าเป็นจริง ?
การตรวจน้ำตาลในเลือด คุณต้องอดอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง และจำเป็นต้องตรวจอย่างน้อยสองครั้ง สองวาระ เนื่อจากบางครั้งน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงก็มีสาเหตุมาจากการกินยาตัวอื่นที่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด หรือเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอมีอาการติดเชื้อ หรือมีความผิดปกติจากเนื้องอกของต่อมหมวกไต เนื้องอกต่อมใต้สมองซึ่งผลิตฮอร์โมนบางชนิดเพิ่มขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ อย่างไรก็ตามเพื่อความไม่ประมาทคุณต้องหมั่นสังเกตุอาการผิดปกติของตนเองว่ามีอาการเริ่มต้นของโรคเบาหวานหรือไม่ เช่น พบน้ำตาลในปัสสาวะ(มีมดตอม) ปัสสาวะบ่อย รู้สึกหิวน้ำบ่อย วิงเวียนศรีษะ ฯลฯ และสำหรับคนที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีน้ำหนักเกิน มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนปกติ ยิ่งต้องระวังสุขภาพตนเองให้ดี หากมีอาการผิดปกติดังกล่าวต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
ถ้าเป็นโรคเบาหวานและเกิดแผล แผลจะหายช้า ดีไม่ดีอาจเสี่ยงต่อการตัดอวัยวะ เช่นนิ้วมือ หรือขาทิ้ง ?
คนเป็นโรคเบาหวานอาจไม่เจอปัญหาแผลหายช้า หรือเสี่ยงต่อการตัดอวัยวะอย่างนิ้วเท้าหรือขา ตราบใดที่ยังควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี เพราะถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะส่งผลให้หลอดเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อที่ขาหรือเท้าตีบตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะนั้นๆไม่ดีพอ และหากเกิดแผล แผลก็จะหายช้าหรือไม่หายเลยจนเนื้อบริเวณนั้นตาย และถ้าไม่รีบรักษาแผล อาจเกิดการติดเชื้อและลุกลาม ทำให้ต้องทำการผ่าตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้งไปในที่สุด ดังนั้นเพื่อป้องกันการสูญเสียอวัยวะ คุณต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติ หมั่นสังเกตุตนเองและทำความสะอาดเท้าทุกวัน อย่าตัดเล็บจนสั้นทำให้เลือดออกหรือเล็บขบ อย่าเดินเท้าเปล่าในพื้นที่สาธารณะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เป็นต้น
แม้โรคเบาหวานจะรักษาไม่หายขาดแต่สามารถควบคุมและเอาชนะได้อย่างไม่ยากเย็น...
ตราบใดที่เอ็งร่างกายยังไม่ผิดปรกติ มันก็ไม่เป็นหรอกไอ่เบาหวานนะ อย่ามั่ว !
Last edited by KelThuzad; 10 Jul 2015, 19:21:51.
Comment
-
ชนิดของคาร์โบไฮเดรต
เพราะงั้นเลิกมั่วซะที !!
ชนิดของคาร์โบไฮเดรต
คาร์โบไฮเดรตแบ่งตามโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ออกได้เป็น 3กลุ่ม คือ
1. น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว หรือเรียกว่าโมโนแชคคาไรด์(monosaccharide) หรือน้ำตาลชั้นเดียว(simple sugar) เป็นน้ำตาลที่เกิดจากการรวมตัวของคาร์บอนตั้งแต่ 3 ตัวถึง 6ตัว น้ำตาลกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มของคาร์โบไฮเดรตที่ให้รสหวาน สูตรโมเลกุลคือ CnH2nOnเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด เมื่อรับประทานเข้าไปสามารถ ร่างกายสามารถดูดซึมแล้วนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องย่อยอีก สำหรับน้ำตาลที่ประกอบด้วยคาร์บอน5 ตัว เรียกว่า เพนโทส (pentose) ส่วนน้ำตาลเฮกโซส (hexose) มีจำนวนคาร์บอน 6 อะตอม เป็นน้ำตาลที่พบมากที่สุด มี 3 ชนิด คือ
น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลฟรุกโทส และน้ำตาลกาแลกโตส น้ำตาลพวกนี้จะละลายน้ำได้ดี เป็นผลึกสีขาว มีรสหวาน พบได้ใน ผัก ผลไม้ น้ำนม และน้ำผึ้ง โดยทั่วไปจะมีจำนวนคาร์บอนอะตอมตั้งแต่ 3 ถึง 8
ก. น้ำตาลกลูโคส (glucose) มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป ในพืช ผัก ผลไม้ องุ่น ข้าวโพด น้ำผึ้ง เป็นน้ำตาลที่สลายให้พลังงานมากที่สุดในสิ่งมีชีวิต มีความหวานเป็นที่สองรองจากน้ำตาลฟรักโทส ทางการแพทย์ใช้กลูโคสเป็นแหล่งพลังงานที่ต้องการใช้อย่างรวดเร็ว เช่น ในคนป่วยที่อ่อนแอ น้ำตาลกลูโคสเป็นน้ำตาลชนิดเดียวในกระแสเลือดของมนุษย์ที่ได้จากการย่อยคาร์โบไฮเดรตจึงเรียกว่า น้ำตาลในเลือด (blood sugar) เซลล์จำนวนมากใช้ไขมันและโปรตีน ในการสร้างพลังงานได้ อย่างไรก็ดี เนื้อเยื่อประสาทใช้กลูโคสอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนในสัตว์มักพบน้ำตาลกลูโคสมีอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเป็นสารที่จำเป็นต้องใช้ในการเปลี่ยนโมเลกุลของไขมันและโปรตีนเป็นคาร์โบไฮเดรต
ข. น้ำตาลฟรักโทส (fructose) เป็นน้ำตาลที่มีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น พบมากในน้ำผึ้ง โดยในน้ำผึ้งมีน้ำตาลฟรักโทสเป็นองค์ประกอบถึง 40 % นอกจากนี้ยังพบในเกสรดอกไม้ ผัก ผลไม้ กากน้ำตาล ที่มีรสหวาน เช่น มะม่วงสุก เป็นต้น
ค. น้ำตาลกาแล็กโตส (galactose)เป็นน้ำตาลที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายน้ำตาลกลูโคสมากที่สุด น้ำตาลชนิดนี้เราไม่พบในธรรมชาติ เพราะปกติจะรวมอยู่กับน้ำตาลกลูโคสเป็นไดแชคคาไรด์ชื่อแล็กโตสที่มีอยู่เฉพาะในอาหารพวกนม และผลิตผลของนมทั่วๆไป
2. น้ำตาลโมเลกุลคู่ หรือเรียกว่าไดแชคคาไรด์(disaccharide) หรือน้ำตาลสองชั้น (double sugar) จัดอยู่ในกลุ่มของคาร์โบไฮเดรตที่ให้รสหวาน เป็นคาร์โบไฮเดรตที่เกิดโมโนแชคคาไรด์ 2 โมเลกุล มารวมตัวกัน เมื่อเรารับประทานน้ำตาลโมเลกุลคู่เข้าไป จะมีการย่อยโดยเอนไซม์ในระบบย่อยอาหารได้น้ำตาลชั้นเดียวก่อนจึงจะดูดซึมต่อไปได้ คาร์โบไฮเดรตประเภทนี้ที่สำคัญคือ น้ำตาลซูโครสหรือน้ำตาลทราย น้ำตาลมอลโทส และน้ำตาลแล็กโทส มีความสามารถในการละลายน้ำต่างกันไป คือ น้ำตาลซูโครสละลายน้ำได้ดี น้ำตาลมอลโทสละลายน้ำได้ค่อนข้างดี ส่วนน้ำตาลแล็กโทสละลายน้ำได้เล็กน้อย
ก. น้ำตาลซูโครส(sucrose) หรือน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลอ้อย เป็นน้ำตาลที่เรารับประทานกันมากกว่าคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ พบว่าเมื่อน้ำตาลซูโครสแตกตัวหรือถูกย่อยจะให้น้ำตาลกลูโคสกับน้ำตาลฟรักโทสอย่างละ 1 โมเลกุล คนไทยบริโภคน้ำตาลประมาณคนละ10 กิโลกรัม/ ปี เพื่อนำมาใช้ประกอบอาหารเกือบทุกชนิด น้ำตาลชนิดนี้พบมากในอ้อย หัวบีต และผลไม้ที่มีรสหวานเกือบทุกชนิด
ข. น้ำตาลมอลโทส (moltose) เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ที่เกิดจาการรวมตัวของกลูโคส 2 โมเลกุล ไม่เกิดในรูปอิสระในธรรมชาติ แต่จะพบมากในเมล็ดข้าวที่กำลังงอกหรือน้ำที่สกัดจากข้าวงอก (malt-liquors)
ค.น้ำตาลแล็กโทส (lactose) เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ที่เกิดจาการรวมตัวของกลูโคส กับกาแลกโตส อย่างละ 1 โมเลกุล ไม่พบในพืช มักพบอยู่ในน้ำนม เราจึงรู้จักในชื่อ น้ำตาลนม และพบในปัสสาวะหญิงมีครรภ์ น้ำตาลแลกโทสนี้แตกต่างกับน้ำตาลสองชั้นตัวอื่น คือ จะมีความหวานน้อยกว่า ละลายน้ำได้น้อยกว่า ย่อยได้ช้ากว่าและบูด (ferment) ได้ยากกว่าซูโครส และมอลโทส
3. น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ หรือเรียกว่าพอลิแชคคาไรด์ (polysaccharide) หรือน้ำตาลหลายชั้น จัดอยู่ในกลุ่มของคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีรสหวาน เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลใหญ่และซับซ้อน จำพวกพอลิเมอร์ที่เกิดจากโมเลกุลโมโนแชคคาไรด์ (กลูโคส) จำนวนมากมายต่อรวมกัน เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีมากที่สุด พบในธรรมชาติ เช่น แป้ง ไกลโคเจน เซลลูโลส ซึ่งน้ำตาลโมเลกุลใหญ่นี้จะไม่ละลายน้ำ
ก. แป้ง (starch) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่พบในพืช สะสมอยู่ในเมล็ด ราก หัว ลำต้น และใบของพืช เช่น ข้าว มัน เผือก กลอย โมเลกุลของแป้งเกิดจากน้ำตาลกลูโคสต่อกันเป็นจำนวนมากในรูปที่เป็นเส้นตรงอะมิโลส (amylose) และกิ่งก้านอะมิโลเพกทิน (amylopectin) เมื่อแป้งถูกย่อยถึงขั้นสุดท้ายจะได้น้ำตาลกลูโคส
ข.ไกลโคเจน (glycogen) เป็นน้ำตาลหลายชั้น พบในตับ และกล้ามเนื้อสัตว์ บางทีเรียกว่า แป้งสัตว์ มีส่วนประกอบคล้ายแป้ง แต่มีกิ่งก้านมากกว่า เมื่อแตกตัวออกจะได้กลูโคส ไม่พบในพืช ไม่มีรสหวาน ไม่ละลายน้ำ
ค. เซลลูโลส (cellulose) เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ ประกอบด้วยโมเลกุลที่ต่อกันเป็นโซ่ยาวของกลูโคส พบมากในพืช เพื่อทำหน้าที่เสริมโครงสร้างของลำต้นและกิ่งก้านของพืช ผักและผลไม้ให้แข็งแรง ร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยสลายเซลลูโลสได้ แต่จะมีการขับถ่ายออกมาในลักษณะของกากเรียกว่า เส้นใยอาหาร ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ขับถ่ายสะดวก พืชประเภทผัก และถั่ว ผลไม้ จัดเป็นแหล่งที่ให้เส้นใยอาหาร เพราะมีเซลลูโลสอยู่ปริมาณสูง ดังนั้นจึงควรกินเป็นประจำทุกวัน เซลลูโลสเมื่อย่อยจะแตกตัวออกให้น้ำตาลกลูโคส สัตว์ที่กินหญ้าจะสามารถย่อยเซลลูโลสได้โดยอาศัยแบคทีเรียในกระเพาะอาหารเป็นตัวย่อย เมื่อย่อยแล้วจะได้น้ำตาลกลูโคส แต่ถ้าสลายไม่สมบูรณ์ จะได้เป็นน้ำตาลเซลโลไบโอส เซลลูโลสเป็นสารที่ไม่ละลายน้ำ เพราะมีโมเลกุลใหญ่มาก ประกอบด้วยกลูโคสประมาณ 1,250-12,500 โมเลกุล
ง.ไคติน(chitin) เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ที่พบในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จะเป็นส่วนที่เป็นเปลือกแข็งหุ้มตัวสัตว์ เช่น แมลง กุ้ง ปู เป็นต้น
จ.ลิกนิน(lignin)เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับเนื้อเยื่อของพืช โดยสะสมตามผนังเซลล์ของพืช ทำให้เนื้อไม้มีความแข็งแรง
ฉ.เฮปาริน (heparin)เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ที่พบใน ตับ ปอด ผนังเส้นเลือดแดง มีสมบัติทำให้เลือดไม่แข็งตัว
ช.อินนูลิน(inulin)เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ที่พบในพืชบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม ประกอบไปด้วยน้ำตาลฟรักโทสหลาย ๆ โมเลกุลมาต่อกัน
ซ.เพกติน (pectin)เป็นคาร์โบไฮเดรตที่พบใน ผลไม้ มีลักษณะคล้ายวุ้น ประกอบด้วยกาแลกโทสหลาย ๆ โมเลกุลรวมกัน
Comment
Comment