DiRT Showdown Review
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับรีวิวเกมขับรถเช่นเคย วันนี้มากับเกม DiRT Showdown อาจจะช้าสักนิกเพราะติดภารกิจหลายอย่าง แต่ยังไงมาช้าก็ยังดีกว่าไม่มาล่ะนะ... (หรือเบื่อที่จะรอกันแล้วก็ไม่รู้ อิๆ) เอาเป็นว่ามาพบกับรีวิว DiRT Showdown กันเลยครับ
ก่อนอื่นต้องขอเน้นย้ำว่า DiRT Showdown ไม่ใช่ภาคต่อหรือภาค 4 นะครับ แต่เป็นภาค Spinoff หรือภาคเสริมแยกออกมาจากภาคหลัก โดยภาคนี้จะเน้นไปทางการชน ชน แล้วก็ชนแทบจะทั้งนั้นแล้วก็จะมีการแข่งจิมคาน่าเข้ามาเสริมอีกนิดหน่อย โดยที่คอนเซปท์หลักของเกมจะมุ่งไปทางอาเขตล้วน ๆ ครับ
ที่น่าดีใจเป็นที่สุดคือเกมนี้ไม่ได้ใช้ระบบป้องกันจาก Secure Rom (ในแบบ retail) ประกอบกับ Games for Windows Live อีกต่อไปแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็น Steam Game เต็มตัวพร้อมระบบออนไลน์ของตัวเองคือ Racenet โดยตรง ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าซื้อมาแล้วจะลงทะเบียนไม่ได้ ไม่สามารถใส่ที่อยู่ประเทศไทยได้ ฯลฯ ปัญหาล้วนหมดไปเมื่อเป็น Steam
เข้ามาดูตัวเกมกันเลย!!
หน้าจอเมนูนั้นก็จะเป็นแบบปกติทั่วไป เรียกง่ายๆคือตั้งแต่ DiRT 3 มาก็กลับมาเป็นเมนูทื่อๆแบบนี้แล้ว ไม่ได้เป็น motor home อีกแล้ว น่าเสียดายนิด ๆ เพราะแบบ DiRT2 ได้อารมณ์ทัวร์ตระเวนแข่งมาก ๆ
เวลาโหลดก็จะมีการเรนเดอร์รถที่เราเลือกมาให้ดู และเราสามารถหมุนดูรถได้เองด้วย
Driving Physics ? ระบบการขับ
อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่าเกมนี้เป็นอาเขตเต็มตัว ดังนั้นไม่ต้องไปสนความสมจริงเลย เน้นบี้คันเร่งเอามันส์ล้วนๆ แต่บนความอาเขตนั้นก็ยังมีความสมจริงอยู่ รถขับเหมือนรถ แต่เป็นรถที่มีตัวช่วยสารพัด จะสไลด์ก็ทำได้ง่ายๆ มีการควบคุมที่เข้าใจง่าย ในการเล่นจิมคาน่านั้นตัวช่วยเยอะมากจนง่ายเวอร์ ๆ ทำให้ใคร ๆ ก็เล่นได้ แต่บางครั้งถ้าไม่ได้จังหวะของมันตัวชั่วยไม่ทำงานก็อาจจะหลุดทริคได้ง่ายๆเหมือนกัน
แต่ความง่ายก็มาพร้อมกับออปชั่นที่ถูกตัดออกไป เกมนี้ไม่มีเกียร์ธรรมดาให้ใช้นะครับ ทั้งหมดเป็นออโต้ ถ้าลองมาดูที่หน้าปัทม์หรือ HUD นั้นก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรบอกเลยว่าเราขับเร็วเท่าไหร่ เกรียร์ไหน แต่ดันมีหลอดเลือดอยู่ซะงั้น ทำให้บางครั้งคิดไปว่านี่มันเกมขับรถประสาอะไรฟระ ดันมีหลอดเลือดแทนที่จะเป็นวัดความเร็ว-วัดรอบ
แต่แล้วก็ต้องย้อนกลับไปดูคอนเซปท์หลักของเกมนั่นคือแข่งแบบอาเขต ในเมื่อเกมมันเล่นง่าย ทุกคนเล่นได้ หยวน ๆ ให้หน่อยก็แล้วกัน
ทีแรกตอนที่เล่นเกมนี้ผมเล่นด้วยเกมแพดเพราะคิดว่าเอาพวงมาลัยเล่นคงปัญญาอ่อนน่าดู แต่ไหน ๆ แล้วจะรีวิวต้องเอาให้ครบเครื่องเลยลองต่อดูปรากฏว่าการใช้พวงมาลัยเล่นเกมนี้นั้นทำได้อย่างราบลื่นและสนุกเอาเรื่องเหมือนกัน Force Feedback นั้นมีเอฟเฟกที่สะใจเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะเฉี่ยว ชน หรือ countersteer ก็มี น่าเสียดายที่แม้จะใช้พวงมาลัยก็ยังรู้สึกว่าตัวเกมนั้นมี input filter (ระบบช่วยให้คนที่ใช้เกมแพดไม่เลี้ยวรถเร็วเกินไปจนเสียศูนย์) ติดอยู่แม้ว่าจะใช้พวงมาลัยก็ตาม
Gameplay
เกมเพลย์ของเกมนี้ก็เหมือนเกมขับรถอาเขตทั่วไป แข่งแต่ละอีเวนท์ให้ชนะ แล้วปลดล๊อกการแข่งต่อไปเรื่อย ๆ
การแข่งในเกมนี้แบ่งหลักๆเป็น 4 ประเภท (ชื่อไม่ได้ตามนี้ทุก ที่ผมบอกเป็นแนวการแข่งเฉยๆ)
- 8 ball หรือขับในสนามวนไปเรื่อยๆ แต่ละสนามจะมีทางตัดผ่านกันให้ชนกันได้ เหมือนใน GRID
- Gymkhana จิมคาน่า อันนี้เป็นอะไรที่คล้ายๆกับ DiRT3 คือขับโดยเล่นทริกต่างๆ ในภาคนี้จะมีการจับเวลาด้วยว่าทำทริกครบตามที่กำหนดด้วยเวลาเท่าไหร่
- Circuit Racing ขับวนวนสนามนั่นแล
- Demolition Derby ขับชนล้วน ๆ ฟาดฟันกันให้ตาย(รถพัง)กันไปข้างในในสนามสี่เหลี่ยม เหมือนกับใน Flatout นั่นล่ะ
โดยจะมีการไต่ระดับขึ้นไปจาก Pro, All Star, Champion, Legend ซึ่งแต่การระดับนั้นการแข่งก็วนมาวนไปเหมือนเดิม อาจจะมีสนามใหม่เพิ่มบ้างแต่ก็น้อยมาก
เกมเพลย์ของเกมนี้ตอนแรกจะดูตื่นตาตื่นใจด้วยแสงสีเสียง แต่ไปๆมาๆแล้วมันก็วนมาวนไปซ้ำเดิม สนามก็เดิมๆ แนวการเล่นก็เดิม ๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เล่น Dirt ภาค 2 กับ 3 มาแล้วจะรู้สึกว่าเดจาวูมากๆ เพราะสังเกตเห็นได้เลยว่าสนามล้วนมาจาก 2 เกมนี้แล้วเอามาปรับแต่งนิดหน่อยแทบทั้งนั้น มีสนามใหม่หมดจริง ๆ แค่ในโหมด Demolition Derby กับ 8 Ball
นอกจากนี้เจ้าเดิม ๆ ที่ว่ามาเนี่ย มันเหมือนจะก๊อปเกมชนกันสนั่นเมืองอย่าง Flatout มาทั้งดุ้น ก็อปแล้วทำดีก็ไม่เท่าไหร่ แต่ก๊อปแล้วทำซะน่าเบื่อนี่ก็ไม่ไหวนะ
การเก็บ Boost ของเกมนี้นั้นเก็บจากการชนคู่ต่อสู้เท่านั้น ถึงแม้จะมีของมากมายให้ชน มีแท่นมากมายให้กระโดด แต่ทำแล้วก็ไม่ได้เพิ่ม Boost เลยสักนิด จะใส่มาทำไมก็ไม่รู้
เมื่อแข่งชนะแล้วก็จะได้เงินไว้อัพเกรดรถ ซึ่งใน Dirt Showdown นี้ถึงจะแต่งหน้าตาไม่ได้(เลือกได้แค่ลายรถ) แต่ก็สนามารถแต่งความเร็ว ความถึก กับการควบคุมได้ครับ และในการแข่งคลายๆครั้งก็มันจะได้ปลดล๊อกรถคันใหม่ให้ซื้ออีกด้วย
ในโหมดผู้เล่นคนเดียวหรือ Singleplayer ตัวเกมทั้งหมดใช้เวลาแค่ไม่กี่ชม.ในการเล่นให้จบ แต่มันรู้สึกว่ายาวนานมากเพราะยิ่งเล่นยิ่งน่าเบื่อ
ในการแข่งโหมด Singleplayer นั้นเราสามารถส่งเวลาที่ทำได้ในแต่ละสนามไปท้าเพื่อนใน Friend List ของ Steam ได้ ทำให้เห็นว่าเกมนี้นั้นเน้นไปทางการเล่นกับกลุ่มผู้เล่นคนอื่นๆด้วย แต่ถึงยังไงซะ เกมนี้ก็น่าเบื่อเอาเรื่องถ้าเล่นนานๆ
ส่วนในโหมด Joy Ride นั้นก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เห็นกันจะ ๆ ว่ายกโหมด Parking Lot สำหรับวิ่งเล่นเก็บ Hidden Package และทำมิชชั่นต่างๆ รวมไปถึงสนาม Battersea มาจาก DiRT 3 เต็มๆ และสำหรับคนที่เคยเล่น Grid มาคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับ Yokohama Dock แน่นอน
Graphic
กราฟฟิคในเกมนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่จากที่เคยเห็นมา แต่ในเกมนี้จะเน้นไปทางการแข่งในเวลาโพล้เพล้และกลางคืน แสงเงาต่างๆมันช่างจัดจ้านซะเหลือเกิน นอกจากนี้ยังมีบรรยากาศงานเทศกาลเข้ามาผสม ซึ่งดูแล้วเป็นส่วนผสมให้อารมณ์ที่ลงตัวมากๆกับเกมแนวนี้
แต่ปัญหาคือเอฟเฟกต่างๆทั้ง lens flare พลุ ประทัด ไฟเอฟเฟก ไฟจากปลายท่อไปเสีย หลายๆอย่างมันประดังเข้ามากรอกลูกตาผู้เล่น จนบางครั้งจัดจ้านเกินไปก็ทำให้เวียนหัวได้เหมือนกัน โดยรวมแล้วเกมนี้บิลด์บรรยากาศได้ดี ทาง texture ตัวรถเองก็ทำได้เยี่ยม ความเสียหายของรถนั้น ถึงแม้ชนแล้วจะไม่กระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยแต่ก็ทำออกมาได้ดีครับ
ที่สำคัญกราฟฟิคสวยเข้าท่าโดยที่ไม่กินเสปกมากมายนักด้วย
อีกอย่างที่อยากจะพูดคือเกมปัจจุบันรองรับการใช้งานหลายจอต่อเชื่อมกันหรือ AMD Eyefinity, Nvidia Surround ในเกมนี้ก็รองรับและทำได้อย่างดีครับ นอกจากเฟรมเรตนิ่งแล้ว ขอบภาพด้านข้างยังไม่ยิดอีกต่างหาก ต้องขอชมเลยว่าทำได้ดีจริงๆ เพราะน้อยเกมมากๆที่ใช้งาน Eyefinity แล้วขอบจะไม่ยืด
Sound
เสียงในเกมนี้ทำได้อยู่ในขั้นดี ทั้งเสียงรถ เสียงเวลาเฉี่ยวชน เสียงเอฟเฟกพลุ ประทัด ประกายไฟต่าง ๆ ทำมาอย่างเข้ากันได้ดี ที่น่ารำคาญจริงๆเห็นจะเป็นเสียงพากย์ของโฆศกนั่นล่ะ บางครั้งก็พูดอะไรติงต๊อง ๆ ออกมาจนเกือบจะเสียบรรยากาศเลยก็ว่าได้
เพลงประกอบก็คัดสรรมาอย่างลงตัวครับ
มาดูคะแนนกันเลย
driving physics: 7.5/10 อาเขตแต่เข้าใจง่าย เล่นได้สนุก ๆ และการรองรับอุปกรณ์ก็ดีเยี่ยม
gameplay: 6/10 ไม่มีอะไรใหม่ ทุกอย่างเดิม ๆ แถมเล่นไปเรื่อย ๆ ยังน่าเบื่อจนแทบหลับ
graphics: 7/10 เหมือนจะสวย แต่อะไรที่มากเกินไปนักก็ไม่ดี อย่างแสงสีเนี่ย เยอะจนเวอร์เลยทีเดียว
sound: 8/10 ดีใช้ได้ แต่โฆษกใส่อารมณ์ซะมันส์อยู่คนเดียว
Overall: ((7.5*6)/10)+((6*2)/10)+(7/10)+(8/10) = 7.2
สรุป
เกมที่เอาของเก่ามายำใหม่ด้วยระบบอาเขต โหมดการแข่งก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ซ้ำร้ายยังน่าเบื่อ มีดีที่เอาไว้ชนกันระบายอารมณ์ได้ ราคาเปิดตัวมาสูงทีเดียว เห็นที่ไทยขายกันแผ่นละเป็นพัน สำหรับคนที่มี Dirt2, Dirt 3 อยู่แล้วเห็นทีจะไม่คุ้ม เพราะสนามก็เดิม ๆ แค่เอามาแข่งแบบเน้นชนกันเท่านั้นเองครับ
ข้อดี
- เล่นง่าย
- เป็นเกม Steam
ข้อเสีย
- น่าเบื่อ
- เอาของเก่ามารีไซเคิลขายราคาเต็ม
เหมาะสำหรับ
- คนที่เล่นแนว Flatout ชนกันเอามันส์ขำๆไม่ต้องคิดมาก
ไม่เหมาะสำหรับ
- คนที่ต้องการเล่นให้ระบบการขับสมจริง
- คนที่อยากแข่งรถที่เป็นการแข่งจริงๆ ไม่ใช่ชนกันเอามันส์
จบกันไปแล้วอีกหนึ่งรีวิว อันนี้มาช้าหน่อยก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ พบกันใหม่โอกาสหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับรีวิวเกมขับรถเช่นเคย วันนี้มากับเกม DiRT Showdown อาจจะช้าสักนิกเพราะติดภารกิจหลายอย่าง แต่ยังไงมาช้าก็ยังดีกว่าไม่มาล่ะนะ... (หรือเบื่อที่จะรอกันแล้วก็ไม่รู้ อิๆ) เอาเป็นว่ามาพบกับรีวิว DiRT Showdown กันเลยครับ
ก่อนอื่นต้องขอเน้นย้ำว่า DiRT Showdown ไม่ใช่ภาคต่อหรือภาค 4 นะครับ แต่เป็นภาค Spinoff หรือภาคเสริมแยกออกมาจากภาคหลัก โดยภาคนี้จะเน้นไปทางการชน ชน แล้วก็ชนแทบจะทั้งนั้นแล้วก็จะมีการแข่งจิมคาน่าเข้ามาเสริมอีกนิดหน่อย โดยที่คอนเซปท์หลักของเกมจะมุ่งไปทางอาเขตล้วน ๆ ครับ
ที่น่าดีใจเป็นที่สุดคือเกมนี้ไม่ได้ใช้ระบบป้องกันจาก Secure Rom (ในแบบ retail) ประกอบกับ Games for Windows Live อีกต่อไปแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็น Steam Game เต็มตัวพร้อมระบบออนไลน์ของตัวเองคือ Racenet โดยตรง ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าซื้อมาแล้วจะลงทะเบียนไม่ได้ ไม่สามารถใส่ที่อยู่ประเทศไทยได้ ฯลฯ ปัญหาล้วนหมดไปเมื่อเป็น Steam
เข้ามาดูตัวเกมกันเลย!!
หน้าจอเมนูนั้นก็จะเป็นแบบปกติทั่วไป เรียกง่ายๆคือตั้งแต่ DiRT 3 มาก็กลับมาเป็นเมนูทื่อๆแบบนี้แล้ว ไม่ได้เป็น motor home อีกแล้ว น่าเสียดายนิด ๆ เพราะแบบ DiRT2 ได้อารมณ์ทัวร์ตระเวนแข่งมาก ๆ
เวลาโหลดก็จะมีการเรนเดอร์รถที่เราเลือกมาให้ดู และเราสามารถหมุนดูรถได้เองด้วย
Driving Physics ? ระบบการขับ
อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่าเกมนี้เป็นอาเขตเต็มตัว ดังนั้นไม่ต้องไปสนความสมจริงเลย เน้นบี้คันเร่งเอามันส์ล้วนๆ แต่บนความอาเขตนั้นก็ยังมีความสมจริงอยู่ รถขับเหมือนรถ แต่เป็นรถที่มีตัวช่วยสารพัด จะสไลด์ก็ทำได้ง่ายๆ มีการควบคุมที่เข้าใจง่าย ในการเล่นจิมคาน่านั้นตัวช่วยเยอะมากจนง่ายเวอร์ ๆ ทำให้ใคร ๆ ก็เล่นได้ แต่บางครั้งถ้าไม่ได้จังหวะของมันตัวชั่วยไม่ทำงานก็อาจจะหลุดทริคได้ง่ายๆเหมือนกัน
แต่ความง่ายก็มาพร้อมกับออปชั่นที่ถูกตัดออกไป เกมนี้ไม่มีเกียร์ธรรมดาให้ใช้นะครับ ทั้งหมดเป็นออโต้ ถ้าลองมาดูที่หน้าปัทม์หรือ HUD นั้นก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรบอกเลยว่าเราขับเร็วเท่าไหร่ เกรียร์ไหน แต่ดันมีหลอดเลือดอยู่ซะงั้น ทำให้บางครั้งคิดไปว่านี่มันเกมขับรถประสาอะไรฟระ ดันมีหลอดเลือดแทนที่จะเป็นวัดความเร็ว-วัดรอบ
แต่แล้วก็ต้องย้อนกลับไปดูคอนเซปท์หลักของเกมนั่นคือแข่งแบบอาเขต ในเมื่อเกมมันเล่นง่าย ทุกคนเล่นได้ หยวน ๆ ให้หน่อยก็แล้วกัน
ทีแรกตอนที่เล่นเกมนี้ผมเล่นด้วยเกมแพดเพราะคิดว่าเอาพวงมาลัยเล่นคงปัญญาอ่อนน่าดู แต่ไหน ๆ แล้วจะรีวิวต้องเอาให้ครบเครื่องเลยลองต่อดูปรากฏว่าการใช้พวงมาลัยเล่นเกมนี้นั้นทำได้อย่างราบลื่นและสนุกเอาเรื่องเหมือนกัน Force Feedback นั้นมีเอฟเฟกที่สะใจเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะเฉี่ยว ชน หรือ countersteer ก็มี น่าเสียดายที่แม้จะใช้พวงมาลัยก็ยังรู้สึกว่าตัวเกมนั้นมี input filter (ระบบช่วยให้คนที่ใช้เกมแพดไม่เลี้ยวรถเร็วเกินไปจนเสียศูนย์) ติดอยู่แม้ว่าจะใช้พวงมาลัยก็ตาม
Gameplay
เกมเพลย์ของเกมนี้ก็เหมือนเกมขับรถอาเขตทั่วไป แข่งแต่ละอีเวนท์ให้ชนะ แล้วปลดล๊อกการแข่งต่อไปเรื่อย ๆ
การแข่งในเกมนี้แบ่งหลักๆเป็น 4 ประเภท (ชื่อไม่ได้ตามนี้ทุก ที่ผมบอกเป็นแนวการแข่งเฉยๆ)
- 8 ball หรือขับในสนามวนไปเรื่อยๆ แต่ละสนามจะมีทางตัดผ่านกันให้ชนกันได้ เหมือนใน GRID
- Gymkhana จิมคาน่า อันนี้เป็นอะไรที่คล้ายๆกับ DiRT3 คือขับโดยเล่นทริกต่างๆ ในภาคนี้จะมีการจับเวลาด้วยว่าทำทริกครบตามที่กำหนดด้วยเวลาเท่าไหร่
- Circuit Racing ขับวนวนสนามนั่นแล
- Demolition Derby ขับชนล้วน ๆ ฟาดฟันกันให้ตาย(รถพัง)กันไปข้างในในสนามสี่เหลี่ยม เหมือนกับใน Flatout นั่นล่ะ
โดยจะมีการไต่ระดับขึ้นไปจาก Pro, All Star, Champion, Legend ซึ่งแต่การระดับนั้นการแข่งก็วนมาวนไปเหมือนเดิม อาจจะมีสนามใหม่เพิ่มบ้างแต่ก็น้อยมาก
เกมเพลย์ของเกมนี้ตอนแรกจะดูตื่นตาตื่นใจด้วยแสงสีเสียง แต่ไปๆมาๆแล้วมันก็วนมาวนไปซ้ำเดิม สนามก็เดิมๆ แนวการเล่นก็เดิม ๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เล่น Dirt ภาค 2 กับ 3 มาแล้วจะรู้สึกว่าเดจาวูมากๆ เพราะสังเกตเห็นได้เลยว่าสนามล้วนมาจาก 2 เกมนี้แล้วเอามาปรับแต่งนิดหน่อยแทบทั้งนั้น มีสนามใหม่หมดจริง ๆ แค่ในโหมด Demolition Derby กับ 8 Ball
นอกจากนี้เจ้าเดิม ๆ ที่ว่ามาเนี่ย มันเหมือนจะก๊อปเกมชนกันสนั่นเมืองอย่าง Flatout มาทั้งดุ้น ก็อปแล้วทำดีก็ไม่เท่าไหร่ แต่ก๊อปแล้วทำซะน่าเบื่อนี่ก็ไม่ไหวนะ
การเก็บ Boost ของเกมนี้นั้นเก็บจากการชนคู่ต่อสู้เท่านั้น ถึงแม้จะมีของมากมายให้ชน มีแท่นมากมายให้กระโดด แต่ทำแล้วก็ไม่ได้เพิ่ม Boost เลยสักนิด จะใส่มาทำไมก็ไม่รู้
เมื่อแข่งชนะแล้วก็จะได้เงินไว้อัพเกรดรถ ซึ่งใน Dirt Showdown นี้ถึงจะแต่งหน้าตาไม่ได้(เลือกได้แค่ลายรถ) แต่ก็สนามารถแต่งความเร็ว ความถึก กับการควบคุมได้ครับ และในการแข่งคลายๆครั้งก็มันจะได้ปลดล๊อกรถคันใหม่ให้ซื้ออีกด้วย
ในโหมดผู้เล่นคนเดียวหรือ Singleplayer ตัวเกมทั้งหมดใช้เวลาแค่ไม่กี่ชม.ในการเล่นให้จบ แต่มันรู้สึกว่ายาวนานมากเพราะยิ่งเล่นยิ่งน่าเบื่อ
ในการแข่งโหมด Singleplayer นั้นเราสามารถส่งเวลาที่ทำได้ในแต่ละสนามไปท้าเพื่อนใน Friend List ของ Steam ได้ ทำให้เห็นว่าเกมนี้นั้นเน้นไปทางการเล่นกับกลุ่มผู้เล่นคนอื่นๆด้วย แต่ถึงยังไงซะ เกมนี้ก็น่าเบื่อเอาเรื่องถ้าเล่นนานๆ
ส่วนในโหมด Joy Ride นั้นก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เห็นกันจะ ๆ ว่ายกโหมด Parking Lot สำหรับวิ่งเล่นเก็บ Hidden Package และทำมิชชั่นต่างๆ รวมไปถึงสนาม Battersea มาจาก DiRT 3 เต็มๆ และสำหรับคนที่เคยเล่น Grid มาคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับ Yokohama Dock แน่นอน
Graphic
กราฟฟิคในเกมนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่จากที่เคยเห็นมา แต่ในเกมนี้จะเน้นไปทางการแข่งในเวลาโพล้เพล้และกลางคืน แสงเงาต่างๆมันช่างจัดจ้านซะเหลือเกิน นอกจากนี้ยังมีบรรยากาศงานเทศกาลเข้ามาผสม ซึ่งดูแล้วเป็นส่วนผสมให้อารมณ์ที่ลงตัวมากๆกับเกมแนวนี้
แต่ปัญหาคือเอฟเฟกต่างๆทั้ง lens flare พลุ ประทัด ไฟเอฟเฟก ไฟจากปลายท่อไปเสีย หลายๆอย่างมันประดังเข้ามากรอกลูกตาผู้เล่น จนบางครั้งจัดจ้านเกินไปก็ทำให้เวียนหัวได้เหมือนกัน โดยรวมแล้วเกมนี้บิลด์บรรยากาศได้ดี ทาง texture ตัวรถเองก็ทำได้เยี่ยม ความเสียหายของรถนั้น ถึงแม้ชนแล้วจะไม่กระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยแต่ก็ทำออกมาได้ดีครับ
ที่สำคัญกราฟฟิคสวยเข้าท่าโดยที่ไม่กินเสปกมากมายนักด้วย
อีกอย่างที่อยากจะพูดคือเกมปัจจุบันรองรับการใช้งานหลายจอต่อเชื่อมกันหรือ AMD Eyefinity, Nvidia Surround ในเกมนี้ก็รองรับและทำได้อย่างดีครับ นอกจากเฟรมเรตนิ่งแล้ว ขอบภาพด้านข้างยังไม่ยิดอีกต่างหาก ต้องขอชมเลยว่าทำได้ดีจริงๆ เพราะน้อยเกมมากๆที่ใช้งาน Eyefinity แล้วขอบจะไม่ยืด
Sound
เสียงในเกมนี้ทำได้อยู่ในขั้นดี ทั้งเสียงรถ เสียงเวลาเฉี่ยวชน เสียงเอฟเฟกพลุ ประทัด ประกายไฟต่าง ๆ ทำมาอย่างเข้ากันได้ดี ที่น่ารำคาญจริงๆเห็นจะเป็นเสียงพากย์ของโฆศกนั่นล่ะ บางครั้งก็พูดอะไรติงต๊อง ๆ ออกมาจนเกือบจะเสียบรรยากาศเลยก็ว่าได้
เพลงประกอบก็คัดสรรมาอย่างลงตัวครับ
มาดูคะแนนกันเลย
driving physics: 7.5/10 อาเขตแต่เข้าใจง่าย เล่นได้สนุก ๆ และการรองรับอุปกรณ์ก็ดีเยี่ยม
gameplay: 6/10 ไม่มีอะไรใหม่ ทุกอย่างเดิม ๆ แถมเล่นไปเรื่อย ๆ ยังน่าเบื่อจนแทบหลับ
graphics: 7/10 เหมือนจะสวย แต่อะไรที่มากเกินไปนักก็ไม่ดี อย่างแสงสีเนี่ย เยอะจนเวอร์เลยทีเดียว
sound: 8/10 ดีใช้ได้ แต่โฆษกใส่อารมณ์ซะมันส์อยู่คนเดียว
Overall: ((7.5*6)/10)+((6*2)/10)+(7/10)+(8/10) = 7.2
สรุป
เกมที่เอาของเก่ามายำใหม่ด้วยระบบอาเขต โหมดการแข่งก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ซ้ำร้ายยังน่าเบื่อ มีดีที่เอาไว้ชนกันระบายอารมณ์ได้ ราคาเปิดตัวมาสูงทีเดียว เห็นที่ไทยขายกันแผ่นละเป็นพัน สำหรับคนที่มี Dirt2, Dirt 3 อยู่แล้วเห็นทีจะไม่คุ้ม เพราะสนามก็เดิม ๆ แค่เอามาแข่งแบบเน้นชนกันเท่านั้นเองครับ
ข้อดี
- เล่นง่าย
- เป็นเกม Steam
ข้อเสีย
- น่าเบื่อ
- เอาของเก่ามารีไซเคิลขายราคาเต็ม
เหมาะสำหรับ
- คนที่เล่นแนว Flatout ชนกันเอามันส์ขำๆไม่ต้องคิดมาก
ไม่เหมาะสำหรับ
- คนที่ต้องการเล่นให้ระบบการขับสมจริง
- คนที่อยากแข่งรถที่เป็นการแข่งจริงๆ ไม่ใช่ชนกันเอามันส์
จบกันไปแล้วอีกหนึ่งรีวิว อันนี้มาช้าหน่อยก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ พบกันใหม่โอกาสหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
Comment