ช่วงนี้รีวิวเกม PC น้อยลงเพราะมัวแต่ไปเล่น Heavy Rain ใน PS3 อยู่ วันนี้ว่างๆ เลยจัดไปหนึ่งดอกกับรีวิว Assassin's Creed II ฉบับ PC ที่หลายคนรอจนรากแทบงอก
คุณเคยคิดบ้างไหมว่าสิ่งของเล็กๆ หนึ่งชิ้นที่ดูภายนอกแล้วไม่น่าจะมีราคาค่าตัว หรือความพิเศษพิโสเทียบชั้นแก้ว แหวน เพชร พลอยราคาแพงกลับทำให้หลายคนที่ได้สัมผัสมันครั้งแรก ต้องเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นเป็น "ต้องได้มันมาให้ได้" อย่างน่าแปลกประหลาด ซึ่งเจ้าสิ่งเล็กๆ ที่กล่าวไปข้างต้นนั้นมีชื่อว่า "Artifact"
การห้ำหั่น ฆ่าฟัน และแย่งชิงเกิดขึ้นภายใต้ความโลภและความไม่รู้จักพอของมนุษย์ จนในที่สุดสงครามแห่งความโลภก็เกิดขึ้น ไม่มีใครหยุดมันได้ และไม่มีใครสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ที่น่าสมเพชแบบนี้มาได้เลยแม้แต่คนเดียว
จากรุ่นสู่รุ่น วันเดือนปีผ่านเลยไปหลายร้อยปี...
Desmond Miles ชายหนุ่มผู้มีชีวิตธรรมดาสามัญในเมืองใหญ่เมืองหนึ่งกลับต้องมาพบเจอกับ เรื่องไม่คาดฝัน เมื่อเขาถูกจับตัวไปโดยองค์กรลึกลับองค์กรหนึ่งเพื่อนำเขาไปทดลองกับเครื่อง Animus เพียงเพราะเขาเป็นทายาทคนเดียวของอดีตผู้ปกปักษ์รักษาเจ้า "Artifact" โดยเจ้า Animus เป็นเครื่องมือที่สามารถวิเคราะห์ DNA ของมนุษย์จากรุ่นสู่รุ่นและนำมาจำลองเป็นภาพ 3 มิติได้อย่างน่าอัศจรรย์ แน่นอนว่าการที่นำ Desmond Miles มาทดลองก็เพื่อจะได้เข้าไปสู่ Memory Block ของบรรพบุรุษของ Desmond เพื่อค้นหาที่อยู่ของเจ้า "Artifact" ได้ โดยบรรพบุรุษที่เครื่อง Animus ตรวจพบก็คือ "Altair" นั่นเอง
แน่นอนว่า Desmond ยังไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของนักวิทยศาสตร์ที่จับตนมาทดลอง จึงต้องยอมทำตัวไหลตามน้ำไปก่อน จนในที่สุด Desmond ก็ได้พบความจริงว่า ในอดีตบรรพบุรุษของตนทำงานอยู่ในองค์กร Assassin ที่มี Al Mualim เป็นหัวหน้าขององค์กร ซึ่ง Al Mualim สั่งให้บรรพบุรุษของ Miles ที่ชื่อว่า "Altair" ไปทำภารกิจในการสังหารพวก Templar ที่ในสมัยนั้นถือว่าเป็นกลุ่มนักรบศาสนาที่มีจุดประสงค์ร้ายต่อโลก โดยระหว่างที่ Altair กำลังสังหารเหล่าสมาชิกผู้นำ Templar ต่างๆ อยู่นั้น Altair ได้รู้ความจริงบางอย่างว่า Al Mualim ก็คือหนึ่งในกลุ่มผู้นำ Templar เช่นกัน โดยเหตุที่ Al Mualim สั่งให้ Altair มาสั่งหารเหล่าสมาชิก Templar ก็เพราะว่าตนจะได้ครอบครอง "Artifact" แต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งขณะเดียวกันในโลกปัจจุบัน Desmond ก็กำลังโดนหลอกใช้งานโดยนักวิทยาศาสตร์ที่จับตนมาทดลองเช่นกัน อีกทั้ง Desmond ยังพบข้อเท็จจริงบางอย่างว่านักวิทยาศาสตร์คนนั้นแท้จริงแล้วก็คือเหล่า สมาชิก Templar ในปัจจุบันที่กำลังหลอกใช้ Miles ในการค้นหาแผนที่ที่ตั้งของ "Artifact"
เหตุการณ์ดูเหมือนจะเลวร้ายลง แต่ Desmond Miles ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก Lucy Stillman ที่เป็นผู้ช่วยของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งความจริงแล้ว Lucy ก็คือตัวแทนขององค์กร Assassin ในปัจจุบันและหน้าที่ของเขาก็คือตามหาและช่วยเหลือ Desmond Miles ให้มีชีวิตรอด
Desmond สัญญากับ Lucy ว่าจะดูแลและปกป้องเธอตลอดไป
ทั้งสองสามารถผ่านเรื่องราวร้ายๆ ในการถูกตามจับตัวมาได้ ในขณะแผนที่แสดงที่ตั้งของ Artifact ก็เกิดขึ้นแล้ว Lucy นำ Memory Core ออกจากเครื่อง Animus ของนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้นและรีบหนีไปยังโกดังแห่งหนึ่งเพื่อเริ่มดำเนินการ ค้นหาสถานที่ตั้งของ Artifact ที่มีชื่อเรียกว่า Pieces of Eden โดยในครั้งนี้เครื่อง Animus ที่ใช้จะเป็นเวอร์ชั่น 2.0 ซึ่งได้รับการพัฒนาจากองค์กร Assassin ในปัจจุบันนี้เอง
แน่นอนว่า Desmond จะไม่ได้กลับไปรับบทบาทเป็น Altair อีกแล้ว แต่เขาจะไปรับบทบาทเป็นชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์แห่งอิตาลี่นามว่า Ezio Auditore de Firenze ซึ่งเป็นลูกลานของ Altair แทน..
สำหรับเกม Assassin's Creed ในภาคที่ 2 นี้ เนื้อเรื่องในส่วนของ Desmond Miles จะยังคงต่อจากภาคแรก แต่ในส่วนของอีกโลกเราจะได้รับบทบาทเป็นเจ้าหนุ่มน้อยเกเรนามว่า Ezio Auditore de Firenze แทน Altair ซึ่งแน่นอนว่าในภาคนี้หนุ่มน้อย Ezio ก็จะมีปมในใจเล็กๆ เกี่ยวกับเรื่องการสูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รักไป ทำให้เขาต้องออกค้นหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเขา โดยหารู้ไหมว่าแท้จริงแล้วการตายของครอบครัวในครั้งนี้มีเหตุมาจากวัตถุ โบราณลึกลับนามว่า ""Artifact"
โดยสำหรับบทรีวิวในครั้งนี้ ประการแรกผมขอพูดถึงเรื่องระบบ DRM ที่เป็นปัญหาคาใจของหลายๆ คนก่อนเลยนะครับว่าความจริงแล้วเจ้าระบบนี้ก็ไม่ได้มีปัญหามากมายเหมือนที่ หลายคนตั้งข้อสังเกตแต่ประการใด เพราะแน่นอนว่าการเรียกใช้ระบบ DRM ในการบันทึกเกมสามารถทำผ่านเน็ทตั้งแต่ 56kbps ถึงเน็ท Hi-Speed ได้อย่างไม่มีปัญหา อีกทั้งระบบการเซฟเกมส์ผ่านออนไลน์ของ Ubisoft ในครั้งนี้ก็ช่วยอำนวยความสะดวกผมมากเมื่อผมนำเจ้าเกมนี้ไปเล่นกับเครื่อง คอมพ์เครื่องอื่น เพราะแน่นอนว่าเมื่อผมติดตั้งเกมเสร็จเรียบร้อย ผมสามารถเล่นเกมได้ทันทีโดยระบบ uPlay จะทำหน้าที่ในการ Sync ข้อมูลเกมกับคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น จากนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นผมก็สามารถเล่นเกมต่อจากเซฟที่ผมเล่นค้างไว้ ได้ทันที
แต่ก็อย่างว่า ถ้าบ้านใครไม่มีเน็ทหรือเน็ทไม่เสถียรก็คงจะลำบากแน่นอน เหอๆ..
ลงเกมเสร็จก็สมัครสมาชิก uPlay ก่อนเลย
ที่นี้มาเริ่มกันที่ส่วนกราฟฟิกที่ถือเป็นตัวชูโรงในภาคนี้ ซึ่งผมยอมรับครับว่าในภาคนี้ ภาพกราฟฟิก รายละเอียดของ Texture ค่อนข้างดีมาก ในขณะที่เกมรันบนชุดคำสั่งเพียงแค่ DirectX 9 เท่านั้น ในขณะที่ภาคแรกใช้ DirectX 10 โดยในส่วนของกราฟฟิกที่เห็นได้เด่นชัดว่าพัฒนาไปจากภาคแรกก็คือ เรื่องของสีหน้า เสื้อผ้า และการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี รอยบากต่างๆ รวมถึงบาดแผลแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเรื่องของรายละเอียดของเมืองก็ทำออกมาได้ดูมีชีวิตชีวากว่าภาคแรก มากๆ
แต่ทั้งนี้ในเรื่องของการควบคุมและการตัดเข้า Cutscene ยังถือว่าไม่ค่อยลื่นไหล ดูแข็งๆ อีกทั้งในเรื่องปฏิสัมพันธ์ตัวละครฝั่งศัตรูต่อการเคลื่อนไหวของเรายังคงไม่ ราบลื่นและเหมือนจริงนัก และสุดท้ายในเรื่องของระบบฟิสิกส์ตัวละครที่บางครั้งมักแสดงท่าทางแปลกๆ ออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
มาในส่วนของ Gameplay ซึ่งในภาคนี้ทำออกมาได้ดีมากจนถึงขั้นยอดเยี่ยมเพราะในภาคนี้เราไม่ต้องขี่ ม้าข้ามเมืองหรือทำภารกิจซ้ำซากเหมือนในภาคแรกอีกแล้ว เนื่องจากในภาคนี้วิธีการเดินทางข้ามเมืองโดยเท้าหรือขี่ม้าจะถูกตัดออก เป็นเมื่อเราไปถึงจุดที่อยู่สุดขอบเมือง ภาพจะตัดและโหลดฉากเมืองที่เราต้องการไปขึ้นมาใหม่ให้ทันที อีกทั้งในภาคนี้ตัวละครจะสามารถว่ายน้ำ ดำน้ำเพื่อรอบสังหารศัตรูและพายเรือได้ โดยในส่วนภารกิจของภาคนี้ ได้เพิ่มขึ้นถึง 16 ภารกิจเพื่อไม่ให้ผู้เล่นเกิดความเบื่อหน่ายเหมือนในภาคที่แล้ว โดยภารกิจที่ถือว่าประทับใจผมมากๆ ก็คือ ภารกิจที่เราต้องควบคุมรถม้าผ่านเหล่าทหารที่คอยขัดขวางเรา ซึ่งแน่นอนว่านอกจากความตื่นเต้นที่ได้รับแล้ว การที่เราได้เกร็งตัวระหว่างการเล่นก็ช่วยสร้างความตื่นตัวไม่ง่วงนอนเหมือน การทำภารกิจในภาคที่แล้วได้อย่างดี
ไม่รู้จะเรียกภาพนี้ว่า "นี่คือท่าการตายที่ดูดี" ได้หรือเปล่า
มาในส่วนของ Gameplay ซึ่งในภาคนี้ทำออกมาได้ดีมากจนถึงขั้นยอดเยี่ยมเพราะในภาคนี้เราไม่ต้องขี่ ม้าข้ามเมืองหรือทำภารกิจซ้ำซากเหมือนในภาคแรกอีกแล้ว เนื่องจากในภาคนี้วิธีการเดินทางข้ามเมืองโดยเท้าหรือขี่ม้าจะถูกตัดออก เป็นเมื่อเราไปถึงจุดที่อยู่สุดขอบเมือง ภาพจะตัดและโหลดฉากเมืองที่เราต้องการไปขึ้นมาใหม่ให้ทันที อีกทั้งในภาคนี้ตัวละครจะสามารถว่ายน้ำ ดำน้ำเพื่อรอบสังหารศัตรูและพายเรือได้ โดยในส่วนภารกิจของภาคนี้ ได้เพิ่มขึ้นถึง 16 ภารกิจเพื่อไม่ให้ผู้เล่นเกิดความเบื่อหน่ายเหมือนในภาคที่แล้ว โดยภารกิจที่ถือว่าประทับใจผมมากๆ ก็คือ ภารกิจที่เราต้องควบคุมรถม้าผ่านเหล่าทหารที่คอยขัดขวางเรา ซึ่งแน่นอนว่านอกจากความตื่นเต้นที่ได้รับแล้ว การที่เราได้เกร็งตัวระหว่างการเล่นก็ช่วยสร้างความตื่นตัวไม่ง่วงนอนเหมือน การทำภารกิจในภาคที่แล้วได้อย่างดี
นอกจากนี้ในภาคนี้ตัวเกมยังอนุญาตให้เราสามารถว่าจ้างเหล่านักสู้ข้างถนน หรือแม้แต่พวกโสเภณีในการพรางตัวหรือใช้ในการต่อสู้กับศัตรูแทนเราได้อีก ด้วย และจุดที่น่าสนใจอีกหนึ่งจุดก็คือในภาคนี้เราสามารถตามหาพวกนักวิ่ง ราวกระเป๋าเงิน แล้วทำการจับตัวเพื่อปล้นเงินพวกคนเหล่านั้นได้อีกที หรือแม้แต่การค้นหาเงินจากพวกศพทหารที่นอนตายอยู่ก็ทำได้อย่างง่ายดาย และสุดท้ายในภาคนี้ผู้สร้างเกมยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้พบเจอกับบุคคลสำคัญ ของโลกอย่าง Leonado Da Vinci ที่จะต้องมาเป็นเพื่อนคิดค้นนวัตกรรมแปลกๆ ให้พระเอกอยู่เสมอ อย่าง "เจ้าปีกยักษ์ที่ทำให้คนบินได้" ด้วย
ที่นี้มาดูที่ส่วนของการควบคุมที่ในภาคนี้ยังทำออกมาได้อย่างน่าตื่นเต้น เช่นเดิม โดยการต่อสู้เราสามารถกดท่าพิเศษของอาวุธที่เลือกใช้ได้ (มีทั้งดาบขนาดใหญ่, อาวุธลับและอาวุธขนาดเล็ก) อีกทั้งอาวุธที่ถือเป็นชุดพิเศษสำหรับภาคนี้เลยก็คือ ปืนสั้นที่ติดอยู่บริเวณแขนของ Ezio ที่ช่วงหลังๆ จะใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ
แต่ทั้งนี้การควบคุมการกดท่าต่างๆ ของเมาส์และคีย์บอร์ดอาจทำให้หลายคนงงได้ เพราะเกมไม่ได้บอกเป็นตัวอักษรบนคีย์บอร์ดแต่จะบอกเป็นลักษณะสัญลักษณ์แทน ซึ่งหลายคนที่ได้ลองเล่นเกมนี้ไปแล้วผมว่าไม่มีใครหลอกครับที่ไม่เปิด Option ดูค่าคีย์บอร์ดและเมาส์ระหว่างเล่น 555+
สำหรับในส่วนของเนื้อเรื่องในภาคนี้หลักๆ ยังคงต่อจากภาคที่แล้ว โดยเนื้อเรื่องยังมีความเข้มข้นและน่าติดตามมากๆ จนบางครั้งกลับรู้สึกว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้ดูน่าสนใจและน่าค้นหากว่าภาค ที่แล้วมาก (ในส่วน Ezio) แต่ในส่วนของ Desmond Miles ภาคนี้มีการลดทอนบทลงไปค่อนข้างมาก จนทำให้ผมรู้สึกว่าความจริงแล้วเรื่องราวของการแย่งชิง Artifact ในโลกปัจจุบันอาจจะค่อนข้างสั้นมากก็เป็นได้ เกมถึงไปเน้นในส่วนของการย้อนอดีตเป็นหลัก ซึ่งต่างจากภาคแรกที่ดูจะสมส่วนกันมากกว่านี้ โดยสุดท้ายแล้วสำหรับภาคนี้ตอนจบของเกมก็ยังทิ้งท้ายเรื่องราวต่างๆ ไว้อีกเช่นเดิม
ที่นี้มาดูในส่วนของเสียงและดนตรีประกอบในภาคนี้ยังคงรักษามาตราฐานได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงเหล่าบรรดาทหารโจมตีเราหรือแม้แต่ตอนที่ทหารกำลังสงสัยตัว เรา เสียงดนตรีจะค่อนข้างเร้าใจสร้างความกดดันให้ผู้เล่นมาก อีกทั้งดนตรีประกอบที่เป็น Theme ของภาคนี้ก็ทำออกมาได้ดีและรู้สึกถึงความร่วมสมัยมากๆ
Conclusion
สำหรับเกม Assassin's Creed ในภาคที่ 2 นี้ ประการแรกผมต้องขอบอกก่อนเลยครับว่าผมชอบภาคนี้กว่าภาคแรกมากๆ เนื่องจากความลงตัวของระบบการเล่น และเนื้อเรื่องที่น่าติดตามมากๆ อีกทั้งในภาคนี้รูปแบบความจำเจซ้ำซากของการทำภารกิจก็เหมือนจะถูกพัฒนาให้ไป ในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าภาคแรก แต่ทั้งนี้ไม่ว่าตัวเกมจะดีมากขึ้นเพียงใด แต่เรื่องของระบบ DRM ก็สร้างความรำคาญให้กับผู้เล่นหลายๆ คน และเรื่องที่เกมนี้วางจำหน่ายช้ากว่าเครื่อง Console ถึง 6 เดือนทำให้ คุณค่าของตัวเกมนี้ถูกลดทอนไปอย่างมาก
อีกทั้งในส่วนของระบบ Gameplay เวอร์ชั่น PC ที่ผมรู้สึกเล็กๆ (เล็กจริงๆ) ในใจว่ามันดูเหมาะสมสำหรับ Console มากกว่า เพราะการบังคับด้วยเมาส์กับคีย์บอร์ด อาจสร้างความยุ่งยากให้ผู้เล่นในบางกรณี แต่กลับกัน การบังคับด้วยจอยแพดสามารถสร้างความลื่นไหลในการเล่นที่ดีกว่ามากๆ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วเกม Assassin's Creed II ก็ถือว่าเป็นภาคที่น่าเล่นและน่าหามาเก็บไว้มากๆ เพราะถึงแม้ตัวเกมจะถูกลดทอนคุณค่าในส่วนของปัญหาต่างๆ ลงไปมาก แต่เนื้อเรื่องและความสนุกของ Gameplay ก็ยังสามารถเอาชนะข้อลดทอนเหล่านั้นลงได้อย่างดีครับ
ชมภาพ Screenshots อีกมากมาย >คลิกที่นี่<
ที่มา: GamerTechZone.com < ร่วมสมัครสมาชิกวันละนิด คนเขียนรีวิวจะแจ่มใส 5555+
คุณเคยคิดบ้างไหมว่าสิ่งของเล็กๆ หนึ่งชิ้นที่ดูภายนอกแล้วไม่น่าจะมีราคาค่าตัว หรือความพิเศษพิโสเทียบชั้นแก้ว แหวน เพชร พลอยราคาแพงกลับทำให้หลายคนที่ได้สัมผัสมันครั้งแรก ต้องเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นเป็น "ต้องได้มันมาให้ได้" อย่างน่าแปลกประหลาด ซึ่งเจ้าสิ่งเล็กๆ ที่กล่าวไปข้างต้นนั้นมีชื่อว่า "Artifact"
การห้ำหั่น ฆ่าฟัน และแย่งชิงเกิดขึ้นภายใต้ความโลภและความไม่รู้จักพอของมนุษย์ จนในที่สุดสงครามแห่งความโลภก็เกิดขึ้น ไม่มีใครหยุดมันได้ และไม่มีใครสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ที่น่าสมเพชแบบนี้มาได้เลยแม้แต่คนเดียว
จากรุ่นสู่รุ่น วันเดือนปีผ่านเลยไปหลายร้อยปี...
Desmond Miles ชายหนุ่มผู้มีชีวิตธรรมดาสามัญในเมืองใหญ่เมืองหนึ่งกลับต้องมาพบเจอกับ เรื่องไม่คาดฝัน เมื่อเขาถูกจับตัวไปโดยองค์กรลึกลับองค์กรหนึ่งเพื่อนำเขาไปทดลองกับเครื่อง Animus เพียงเพราะเขาเป็นทายาทคนเดียวของอดีตผู้ปกปักษ์รักษาเจ้า "Artifact" โดยเจ้า Animus เป็นเครื่องมือที่สามารถวิเคราะห์ DNA ของมนุษย์จากรุ่นสู่รุ่นและนำมาจำลองเป็นภาพ 3 มิติได้อย่างน่าอัศจรรย์ แน่นอนว่าการที่นำ Desmond Miles มาทดลองก็เพื่อจะได้เข้าไปสู่ Memory Block ของบรรพบุรุษของ Desmond เพื่อค้นหาที่อยู่ของเจ้า "Artifact" ได้ โดยบรรพบุรุษที่เครื่อง Animus ตรวจพบก็คือ "Altair" นั่นเอง
แน่นอนว่า Desmond ยังไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของนักวิทยศาสตร์ที่จับตนมาทดลอง จึงต้องยอมทำตัวไหลตามน้ำไปก่อน จนในที่สุด Desmond ก็ได้พบความจริงว่า ในอดีตบรรพบุรุษของตนทำงานอยู่ในองค์กร Assassin ที่มี Al Mualim เป็นหัวหน้าขององค์กร ซึ่ง Al Mualim สั่งให้บรรพบุรุษของ Miles ที่ชื่อว่า "Altair" ไปทำภารกิจในการสังหารพวก Templar ที่ในสมัยนั้นถือว่าเป็นกลุ่มนักรบศาสนาที่มีจุดประสงค์ร้ายต่อโลก โดยระหว่างที่ Altair กำลังสังหารเหล่าสมาชิกผู้นำ Templar ต่างๆ อยู่นั้น Altair ได้รู้ความจริงบางอย่างว่า Al Mualim ก็คือหนึ่งในกลุ่มผู้นำ Templar เช่นกัน โดยเหตุที่ Al Mualim สั่งให้ Altair มาสั่งหารเหล่าสมาชิก Templar ก็เพราะว่าตนจะได้ครอบครอง "Artifact" แต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งขณะเดียวกันในโลกปัจจุบัน Desmond ก็กำลังโดนหลอกใช้งานโดยนักวิทยาศาสตร์ที่จับตนมาทดลองเช่นกัน อีกทั้ง Desmond ยังพบข้อเท็จจริงบางอย่างว่านักวิทยาศาสตร์คนนั้นแท้จริงแล้วก็คือเหล่า สมาชิก Templar ในปัจจุบันที่กำลังหลอกใช้ Miles ในการค้นหาแผนที่ที่ตั้งของ "Artifact"
เหตุการณ์ดูเหมือนจะเลวร้ายลง แต่ Desmond Miles ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก Lucy Stillman ที่เป็นผู้ช่วยของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งความจริงแล้ว Lucy ก็คือตัวแทนขององค์กร Assassin ในปัจจุบันและหน้าที่ของเขาก็คือตามหาและช่วยเหลือ Desmond Miles ให้มีชีวิตรอด
Desmond สัญญากับ Lucy ว่าจะดูแลและปกป้องเธอตลอดไป
ทั้งสองสามารถผ่านเรื่องราวร้ายๆ ในการถูกตามจับตัวมาได้ ในขณะแผนที่แสดงที่ตั้งของ Artifact ก็เกิดขึ้นแล้ว Lucy นำ Memory Core ออกจากเครื่อง Animus ของนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้นและรีบหนีไปยังโกดังแห่งหนึ่งเพื่อเริ่มดำเนินการ ค้นหาสถานที่ตั้งของ Artifact ที่มีชื่อเรียกว่า Pieces of Eden โดยในครั้งนี้เครื่อง Animus ที่ใช้จะเป็นเวอร์ชั่น 2.0 ซึ่งได้รับการพัฒนาจากองค์กร Assassin ในปัจจุบันนี้เอง
แน่นอนว่า Desmond จะไม่ได้กลับไปรับบทบาทเป็น Altair อีกแล้ว แต่เขาจะไปรับบทบาทเป็นชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์แห่งอิตาลี่นามว่า Ezio Auditore de Firenze ซึ่งเป็นลูกลานของ Altair แทน..
สำหรับเกม Assassin's Creed ในภาคที่ 2 นี้ เนื้อเรื่องในส่วนของ Desmond Miles จะยังคงต่อจากภาคแรก แต่ในส่วนของอีกโลกเราจะได้รับบทบาทเป็นเจ้าหนุ่มน้อยเกเรนามว่า Ezio Auditore de Firenze แทน Altair ซึ่งแน่นอนว่าในภาคนี้หนุ่มน้อย Ezio ก็จะมีปมในใจเล็กๆ เกี่ยวกับเรื่องการสูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รักไป ทำให้เขาต้องออกค้นหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเขา โดยหารู้ไหมว่าแท้จริงแล้วการตายของครอบครัวในครั้งนี้มีเหตุมาจากวัตถุ โบราณลึกลับนามว่า ""Artifact"
โดยสำหรับบทรีวิวในครั้งนี้ ประการแรกผมขอพูดถึงเรื่องระบบ DRM ที่เป็นปัญหาคาใจของหลายๆ คนก่อนเลยนะครับว่าความจริงแล้วเจ้าระบบนี้ก็ไม่ได้มีปัญหามากมายเหมือนที่ หลายคนตั้งข้อสังเกตแต่ประการใด เพราะแน่นอนว่าการเรียกใช้ระบบ DRM ในการบันทึกเกมสามารถทำผ่านเน็ทตั้งแต่ 56kbps ถึงเน็ท Hi-Speed ได้อย่างไม่มีปัญหา อีกทั้งระบบการเซฟเกมส์ผ่านออนไลน์ของ Ubisoft ในครั้งนี้ก็ช่วยอำนวยความสะดวกผมมากเมื่อผมนำเจ้าเกมนี้ไปเล่นกับเครื่อง คอมพ์เครื่องอื่น เพราะแน่นอนว่าเมื่อผมติดตั้งเกมเสร็จเรียบร้อย ผมสามารถเล่นเกมได้ทันทีโดยระบบ uPlay จะทำหน้าที่ในการ Sync ข้อมูลเกมกับคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น จากนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นผมก็สามารถเล่นเกมต่อจากเซฟที่ผมเล่นค้างไว้ ได้ทันที
แต่ก็อย่างว่า ถ้าบ้านใครไม่มีเน็ทหรือเน็ทไม่เสถียรก็คงจะลำบากแน่นอน เหอๆ..
ลงเกมเสร็จก็สมัครสมาชิก uPlay ก่อนเลย
ที่นี้มาเริ่มกันที่ส่วนกราฟฟิกที่ถือเป็นตัวชูโรงในภาคนี้ ซึ่งผมยอมรับครับว่าในภาคนี้ ภาพกราฟฟิก รายละเอียดของ Texture ค่อนข้างดีมาก ในขณะที่เกมรันบนชุดคำสั่งเพียงแค่ DirectX 9 เท่านั้น ในขณะที่ภาคแรกใช้ DirectX 10 โดยในส่วนของกราฟฟิกที่เห็นได้เด่นชัดว่าพัฒนาไปจากภาคแรกก็คือ เรื่องของสีหน้า เสื้อผ้า และการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี รอยบากต่างๆ รวมถึงบาดแผลแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเรื่องของรายละเอียดของเมืองก็ทำออกมาได้ดูมีชีวิตชีวากว่าภาคแรก มากๆ
แต่ทั้งนี้ในเรื่องของการควบคุมและการตัดเข้า Cutscene ยังถือว่าไม่ค่อยลื่นไหล ดูแข็งๆ อีกทั้งในเรื่องปฏิสัมพันธ์ตัวละครฝั่งศัตรูต่อการเคลื่อนไหวของเรายังคงไม่ ราบลื่นและเหมือนจริงนัก และสุดท้ายในเรื่องของระบบฟิสิกส์ตัวละครที่บางครั้งมักแสดงท่าทางแปลกๆ ออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
มาในส่วนของ Gameplay ซึ่งในภาคนี้ทำออกมาได้ดีมากจนถึงขั้นยอดเยี่ยมเพราะในภาคนี้เราไม่ต้องขี่ ม้าข้ามเมืองหรือทำภารกิจซ้ำซากเหมือนในภาคแรกอีกแล้ว เนื่องจากในภาคนี้วิธีการเดินทางข้ามเมืองโดยเท้าหรือขี่ม้าจะถูกตัดออก เป็นเมื่อเราไปถึงจุดที่อยู่สุดขอบเมือง ภาพจะตัดและโหลดฉากเมืองที่เราต้องการไปขึ้นมาใหม่ให้ทันที อีกทั้งในภาคนี้ตัวละครจะสามารถว่ายน้ำ ดำน้ำเพื่อรอบสังหารศัตรูและพายเรือได้ โดยในส่วนภารกิจของภาคนี้ ได้เพิ่มขึ้นถึง 16 ภารกิจเพื่อไม่ให้ผู้เล่นเกิดความเบื่อหน่ายเหมือนในภาคที่แล้ว โดยภารกิจที่ถือว่าประทับใจผมมากๆ ก็คือ ภารกิจที่เราต้องควบคุมรถม้าผ่านเหล่าทหารที่คอยขัดขวางเรา ซึ่งแน่นอนว่านอกจากความตื่นเต้นที่ได้รับแล้ว การที่เราได้เกร็งตัวระหว่างการเล่นก็ช่วยสร้างความตื่นตัวไม่ง่วงนอนเหมือน การทำภารกิจในภาคที่แล้วได้อย่างดี
ไม่รู้จะเรียกภาพนี้ว่า "นี่คือท่าการตายที่ดูดี" ได้หรือเปล่า
มาในส่วนของ Gameplay ซึ่งในภาคนี้ทำออกมาได้ดีมากจนถึงขั้นยอดเยี่ยมเพราะในภาคนี้เราไม่ต้องขี่ ม้าข้ามเมืองหรือทำภารกิจซ้ำซากเหมือนในภาคแรกอีกแล้ว เนื่องจากในภาคนี้วิธีการเดินทางข้ามเมืองโดยเท้าหรือขี่ม้าจะถูกตัดออก เป็นเมื่อเราไปถึงจุดที่อยู่สุดขอบเมือง ภาพจะตัดและโหลดฉากเมืองที่เราต้องการไปขึ้นมาใหม่ให้ทันที อีกทั้งในภาคนี้ตัวละครจะสามารถว่ายน้ำ ดำน้ำเพื่อรอบสังหารศัตรูและพายเรือได้ โดยในส่วนภารกิจของภาคนี้ ได้เพิ่มขึ้นถึง 16 ภารกิจเพื่อไม่ให้ผู้เล่นเกิดความเบื่อหน่ายเหมือนในภาคที่แล้ว โดยภารกิจที่ถือว่าประทับใจผมมากๆ ก็คือ ภารกิจที่เราต้องควบคุมรถม้าผ่านเหล่าทหารที่คอยขัดขวางเรา ซึ่งแน่นอนว่านอกจากความตื่นเต้นที่ได้รับแล้ว การที่เราได้เกร็งตัวระหว่างการเล่นก็ช่วยสร้างความตื่นตัวไม่ง่วงนอนเหมือน การทำภารกิจในภาคที่แล้วได้อย่างดี
นอกจากนี้ในภาคนี้ตัวเกมยังอนุญาตให้เราสามารถว่าจ้างเหล่านักสู้ข้างถนน หรือแม้แต่พวกโสเภณีในการพรางตัวหรือใช้ในการต่อสู้กับศัตรูแทนเราได้อีก ด้วย และจุดที่น่าสนใจอีกหนึ่งจุดก็คือในภาคนี้เราสามารถตามหาพวกนักวิ่ง ราวกระเป๋าเงิน แล้วทำการจับตัวเพื่อปล้นเงินพวกคนเหล่านั้นได้อีกที หรือแม้แต่การค้นหาเงินจากพวกศพทหารที่นอนตายอยู่ก็ทำได้อย่างง่ายดาย และสุดท้ายในภาคนี้ผู้สร้างเกมยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้พบเจอกับบุคคลสำคัญ ของโลกอย่าง Leonado Da Vinci ที่จะต้องมาเป็นเพื่อนคิดค้นนวัตกรรมแปลกๆ ให้พระเอกอยู่เสมอ อย่าง "เจ้าปีกยักษ์ที่ทำให้คนบินได้" ด้วย
ที่นี้มาดูที่ส่วนของการควบคุมที่ในภาคนี้ยังทำออกมาได้อย่างน่าตื่นเต้น เช่นเดิม โดยการต่อสู้เราสามารถกดท่าพิเศษของอาวุธที่เลือกใช้ได้ (มีทั้งดาบขนาดใหญ่, อาวุธลับและอาวุธขนาดเล็ก) อีกทั้งอาวุธที่ถือเป็นชุดพิเศษสำหรับภาคนี้เลยก็คือ ปืนสั้นที่ติดอยู่บริเวณแขนของ Ezio ที่ช่วงหลังๆ จะใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ
แต่ทั้งนี้การควบคุมการกดท่าต่างๆ ของเมาส์และคีย์บอร์ดอาจทำให้หลายคนงงได้ เพราะเกมไม่ได้บอกเป็นตัวอักษรบนคีย์บอร์ดแต่จะบอกเป็นลักษณะสัญลักษณ์แทน ซึ่งหลายคนที่ได้ลองเล่นเกมนี้ไปแล้วผมว่าไม่มีใครหลอกครับที่ไม่เปิด Option ดูค่าคีย์บอร์ดและเมาส์ระหว่างเล่น 555+
สำหรับในส่วนของเนื้อเรื่องในภาคนี้หลักๆ ยังคงต่อจากภาคที่แล้ว โดยเนื้อเรื่องยังมีความเข้มข้นและน่าติดตามมากๆ จนบางครั้งกลับรู้สึกว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้ดูน่าสนใจและน่าค้นหากว่าภาค ที่แล้วมาก (ในส่วน Ezio) แต่ในส่วนของ Desmond Miles ภาคนี้มีการลดทอนบทลงไปค่อนข้างมาก จนทำให้ผมรู้สึกว่าความจริงแล้วเรื่องราวของการแย่งชิง Artifact ในโลกปัจจุบันอาจจะค่อนข้างสั้นมากก็เป็นได้ เกมถึงไปเน้นในส่วนของการย้อนอดีตเป็นหลัก ซึ่งต่างจากภาคแรกที่ดูจะสมส่วนกันมากกว่านี้ โดยสุดท้ายแล้วสำหรับภาคนี้ตอนจบของเกมก็ยังทิ้งท้ายเรื่องราวต่างๆ ไว้อีกเช่นเดิม
ที่นี้มาดูในส่วนของเสียงและดนตรีประกอบในภาคนี้ยังคงรักษามาตราฐานได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงเหล่าบรรดาทหารโจมตีเราหรือแม้แต่ตอนที่ทหารกำลังสงสัยตัว เรา เสียงดนตรีจะค่อนข้างเร้าใจสร้างความกดดันให้ผู้เล่นมาก อีกทั้งดนตรีประกอบที่เป็น Theme ของภาคนี้ก็ทำออกมาได้ดีและรู้สึกถึงความร่วมสมัยมากๆ
Conclusion
สำหรับเกม Assassin's Creed ในภาคที่ 2 นี้ ประการแรกผมต้องขอบอกก่อนเลยครับว่าผมชอบภาคนี้กว่าภาคแรกมากๆ เนื่องจากความลงตัวของระบบการเล่น และเนื้อเรื่องที่น่าติดตามมากๆ อีกทั้งในภาคนี้รูปแบบความจำเจซ้ำซากของการทำภารกิจก็เหมือนจะถูกพัฒนาให้ไป ในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าภาคแรก แต่ทั้งนี้ไม่ว่าตัวเกมจะดีมากขึ้นเพียงใด แต่เรื่องของระบบ DRM ก็สร้างความรำคาญให้กับผู้เล่นหลายๆ คน และเรื่องที่เกมนี้วางจำหน่ายช้ากว่าเครื่อง Console ถึง 6 เดือนทำให้ คุณค่าของตัวเกมนี้ถูกลดทอนไปอย่างมาก
อีกทั้งในส่วนของระบบ Gameplay เวอร์ชั่น PC ที่ผมรู้สึกเล็กๆ (เล็กจริงๆ) ในใจว่ามันดูเหมาะสมสำหรับ Console มากกว่า เพราะการบังคับด้วยเมาส์กับคีย์บอร์ด อาจสร้างความยุ่งยากให้ผู้เล่นในบางกรณี แต่กลับกัน การบังคับด้วยจอยแพดสามารถสร้างความลื่นไหลในการเล่นที่ดีกว่ามากๆ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วเกม Assassin's Creed II ก็ถือว่าเป็นภาคที่น่าเล่นและน่าหามาเก็บไว้มากๆ เพราะถึงแม้ตัวเกมจะถูกลดทอนคุณค่าในส่วนของปัญหาต่างๆ ลงไปมาก แต่เนื้อเรื่องและความสนุกของ Gameplay ก็ยังสามารถเอาชนะข้อลดทอนเหล่านั้นลงได้อย่างดีครับ
ชมภาพ Screenshots อีกมากมาย >คลิกที่นี่<
ที่มา: GamerTechZone.com < ร่วมสมัครสมาชิกวันละนิด คนเขียนรีวิวจะแจ่มใส 5555+
Comment