
Battlefield: Bad Company 2
จำหน่าย Electronic Arts / ในประเทศไทย: Saluzi
ผู้พัฒนา Digital Illusions CE
ประเภท FPS
ESRB: M
ระบบขั้นต่ำ:
Operating System: Windows XP, Windows Vista or Windows 7
CPU: Intel Pentium D 3.0GHz, Intel Core 2 Duo 2.0GHz, AMD Athlon 64 X2 or Faster
RAM: 2 GB
Disk Drive: 8X or faster DVD-ROM drive
Hard Drive: at least 10 GB of free space
Video: DirectX 9.0c, DirectX 10 or DirectX 11 Video card
Sound: DirectX compatible sound card
Multiplayer: 32 players, network or Internet connection required (Cable, DSL, or faster connection)
หลังจากใช้เวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงในการเคลียร์เจ้าเกมกระแสแรง Battlefield: Bad Company 2 ในโหมด Campaign และลองทดสอบกับโหมด Multiplayer พบว่าตัวเกมจากการที่ผมรู้สึกต่อต้านเกมๆ นี้เล็กๆ จนเมื่อผมเล่นจบความคิดผมก็สามารถเปลี่ยนไปได้ทันทีเลยว่า "เกมนี้มันส์ใช้ได้เลยแฮะ" แต่ทั้งนี้ถ้าจะด่วนสรุปตอนนี้ก็อาจจะยังใช้ตรรกะในหัวผมไม่มากพอ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะอาสาเป็นคนวิจารณ์ตัวเกมให้ท่านผู้ชมทุกท่านได้ฟังกัน ครับ ซึ่งแน่นอนว่าความคิดเห็นของท่านผู้ชมอาจไม่ตรงกับผมก็ไม่ใช่เรื่อง แปลกอย่างไร แต่ผมอยากให้ท่านผู้ชมที่มีความเห็นคิดแย้งหรือเห็นต่างกับผม รวมถึงท่านที่อยากติ อยากชม อยากตั้งข้อสังเกตในตัวเกมมาช่วยกันแสดงความคิดเห็นในส่วนของ Comment Box ก็จะดีไม่ใช่น้อยเลยนะครับ
การกลับมาของหน่วย Bad Company
ถึงแม้ประวัติของเหล่าทหารทั้ง 4 นาย ได้แก่ Preston Marlowe, Terrence Sweetwater, George Gordon Haggard, Jr. และ Samuel D. Redford หรือเรียกกันตามชื่อหน่วยของทหารว่า "Bad Company" จะดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่วันนี้พวกเขาถึงเวลาอีกครั้งที่จะต้องจับปืนต่อสู้กับเหล่าผู้ก่อการร้าย ผู้หวังจะทำลายโลกใบนี้
ไฟส่องหน้า มือจับปืน ร้องเท้าตบปะชิดกัน เครื่องแบบพร้อม!! และนี่คือวันใหม่ของการรับภารกิจสุดหินในฐานะของหน่วย "Special Force" ของสหรัฐอเมริกาที่แสนจะสุดแสบสะท้านทรวงกับภารกิจกอบกู้โลกจากเหล่าผู้ก่อ การร้าย ผู้หวังจะครองโลกด้วยการใช้เครื่องมือสกปรก
คุณล่ะพร้อมไปออกรับกับหน่วย Bad Company หรือยัง?...
เรื่องมันมีอยู่ว่า...
ในปี 1944 (ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ณ หมู่เกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก กองกำลังเล็กๆ หน่วยหนึ่งของสหรัฐอเมริกาได้รับมอบหมายให้ไปสืบหาตัวนักวิทยาศาตร์ญี่ปุ่น ผู้คิดค้นอาวุธทำลายล้างสูงนามว่า "Aurora" ซึ่งภารกิจดูเหมือนจะสำเร็จลงด้วยดีจนในที่สุดก็เกิดมีการระเบิดของ "Aurora" ขึ้นจนเกาะแห่งนั้นราบเป็นหน้ากอง...

วันเวลาล่วงเลยมาถึงยุคปัจจุบัน.. ระหว่างที่หน่วย Bad Company กำลังบุกจู่โจมฐานทัพของพวกรัสเซีย อยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ได้รับภารกิจให้ไปค้นหาเจ้าโปรเจ็ก "Aurora" โดยการค้นหานั้นนอกจากหน่วย Bad Company จะต้องเผชิญกับกองทัพรัสเซียแล้ว ยังต้องเผชิญกับหน่วย South American militia อีกด้วย ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อนั้นสามารถติดตามชมได้ใน Battlefield: Bad Company 2 โหมด Campaign
หลังจากต้องพยายามต่อสู้กับความรู้สึก เฉยๆ ในชื่อ Battlefield: Bad Company 2 จนในที่สุดผมก็นำแผ่น DVD เกมใส่ลงในไดร์วเพื่อติดตั้ง โดยสิ่งแรกที่ผมได้เห็นในหน้า Setup ก็สามารถสร้างความสนใจและปลดความรู้สึกเฉยเมยต่อชื่อเกมดังกล่าวออกจากผมได้ เป็นปลิดทิ้ง เพียงเพราะผมเจอข้อความ "Choose authentication method" และมีตัวเลือกให้ 2 ข้อ โดยตัวเลือกนั้นเราสามารถเลือกได้ว่าจะใส่แผ่นเล่นทุกครั้งที่รันเกม หรือยอมให้ใช้ระบบ Internet ในการตรวจสอบลิขสิทธิ์ของตัวเกมทุกครั้งที่เราเริ่มเล่น (ซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่แผ่นเล่น) อีกทั้งยังสามารถติดตั้งบนพีซีเครื่องอื่นได้มากถึง 10 เครื่องอีกด้วย
ซึ่งตรงจุดนี้บอกตรงๆ ว่างานนี้ประทับใจ EA มากที่ไม่จำกัดสิทธิ์ในการติดตั้งให้น้อยครั้ง เหมือนตอนที่ Crysis ออกมาอีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นที่ไม่อยากเสียสิทธิ์สามารถติดตั้งแบบ ใช้แผ่นรันทุกครั้งเมื่อเริ่มเกมได้อีกด้วย
จบ เรื่องประทับใจเมื่อแรกพบไปแล้ว ตอนนี้ผมเริ่มตาสว่างอีกครั้งและพร้อมจะเริ่มบรรเลงความมันส์กับพวก Bad Company แล้ว โดยสิ่งแรกหลังจากเกมผ่านหน้าโลโก้บริษัทผู้ผลิตและผู้พัฒนาไปแล้ว ผมเลือกที่จะรองเล่นโหมด Campaign ก่อนเลย ซึ่งสิ่งแรกที่ผมอยากจะพูดและวิจารณ์เป็นอันดับแรกก็คือ เกมนี้ผมยอมรับเลยครับว่ากราฟฟิกค่อนข้างสวยงามมาก โดยเฉพาะเอกลักษณ์การเรนเดอร์ภาพแบบ Field ด้วยเอนจิ้นของ DICE อย่าง Frostbite Engine ที่ทำให้สามารถเรนเดอร์ภาพได้ไกลและสามารถสร้างหมอกปกคลุมได้อย่างน่าวิเศษมาก

ใน ส่วนอื่นๆ ของกราฟฟิกจะเห็นว่าเจ้า Frostbite Engine สามารถทำให้ทุกอย่างให้ฉากสามารถพังเสียหายได้เกือบ 90% อีกทั้งเอ็ฟเฟ็กระเบิดยังสามารถสร้างเศษซากอิฐที่กระจายและปลิวว่อนไปทั่ว ฉากได้อย่างน่าประทับใจ และสุดท้ายเรื่องของฝุ่นตลอดทั้งเกมที่ผมยอมรับเลยครับว่าเอนจิ้นตัวนี้ สามารถสร้างความสมจริงให้กับภาพได้มากทีเดียว

ซึ่ง สำหรับภารกิจทั้งหมดที่เราจะต้องเผชิญจะมีทั้งสิ้น 13 ภารกิจ โดยแต่ละภารกิจเนื้อเรื่องจะพาเราไปพบกับสถานที่มากมายหลากหลายแนวทั้ง ภูเขาหิมะ ป่า ทะเลทราย หรือแม้กระทั่งแม่น้ำ น้ำตกที่สวยงาม เป็นต้น ซึ่งผมรู้สึกว่าเพราะเกมเลือกฉากในแต่ละภารกิจที่หลากหลายทำให้ผู้เล่นจะไม่ รู้สึกเบื่อมากนัก เพราะสภาพแวดล้อมจะทำให้ผู้เล่นได้ตื่นตะลึงตลอดเวลาแน่นอน
ที่ นี้ชมไปแล้วขอตั้งข้อสังเกตกันบ้าง เนื่องจากตัวเอนจิ้นเกมสามารถสร้างประสบการณ์ทางด้านภาพได้สมจริงทำให้เกมๆ นี้กินทรัพยากรเครื่องค่อนข้างโหดร้ายมาก โดยเฉพาะกราฟฟิกการ์ดที่ตัวเกมจำเป็นต้องเรียกใช้การ์ดราคาระดับ 7,000-8,000 บาท อีกทั้งซีพียูที่ใช้ก็ควรเป็น Quad-Core ถึงจะสามารถเปิดออฟชั่นกราฟฟิกและระบบทุกอย่างได้สุดหมด
ใน ส่วนเรื่องของกราฟฟิกอื่นๆ ผมเกิดความรู้สึกว่าเรื่องของฝุ่นและความจ้าของแดดที่ส่งมาสะท้อนกับพื้นถนน หรือสะท้อนกับฝุ่นละอองในตัวเกมค่อนข้างจะมากเกินไป (ผมได้ลองทั้งกราฟฟิกการ์ด NVIDIA และ ATI แล้วก็จ้าเหมือนกันทั้งคู่) ซึ่งแรกๆ บอกตามตรงว่าดูสมจริงมากๆ แต่เมื่อเล่นไปนานๆ แล้วอาจรู้สึกรำคาญสายตาและเกิดความหงุดหงิดขึ้นได้
มาที่ส่วนการออกแบบและ AI ของตัวละคร ผมว่าเกมนี้ยังทำได้ยังไม่น่าประทับใจนัก อย่างระบบการเคลื่อนไหวของตัวละครผมรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวทั้งส่วนขาและ ส่วนตัวดูลอยๆ และค่อนข้างแข็งทื่อเหมือนหุ่น อีกทั้งในเรื่องของ Texture ของเงาใต้คางหรือบริเวณร่างกายบางทีขอบของเงาจะดูแตกมาก (ลองนึกถึงเงาในเกม Mass Effect ภาคแรก) และในส่วนของ AI เกมนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ อาจจะพบบั๊กบ้าง อย่างเช่นเวลาผมและศัตรูเผชิญหน้ากัน บางทีศัตรูจะยืนแข็งทื่อไม่ยิงเรา จนผมสามารถสอยมันล้มได้โดยที่ไม่ต้องเกิดการต่อสู้ใดๆ
นอก จากนั้นเกมในภาคนี้จะไม่มีเลือดมาเกะกะจออีกแล้ว เพราะทาง DICE เขาเปลี่ยนให้เป็นแบบจอแดงเมื่อตัวละครใกล้จะเสียชีวิตแทน ซึ่งวิธีการทำให้จอแดงหายไปนั้นก็เพียงแค่คุณหาที่กำบังตัวเองเท่านั้น
มาในส่วนของ Gameplay ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของเกมซีรีย์นี้ เพราะนอกจากเราจะเดินหน้ายิงด้วยปุ่ม WASD แบบ FPS ทั่วไปแล้ว เรายังสามารถแว๊นกับรถ ATV, รถถังหรือขับ เฮลิคอปเตอร์ ไล่กวดพวกศัตรูได้อย่างน่าประทับใจมาก ซึ่งบอกได้เลยครับว่าหลายฉากในภาคนี้อนุญาตให้เราสามารถไปยังเป้าหมายด้วย การเลือกใช้พาหนะต่างๆ ได้อย่างอิสระอีกด้วย

ที่ นี้มาในเรื่องของเสียงและดนตรีประกอบ ก็ถือว่าสอบผ่านไปได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเหล่าบรรดาเสียงเอ็ฟเฟ็กต่างๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายก็จะได้เสียงประกอบที่ต่างกันออกไป เช่น เมื่อคุณอยู่ในท่อแล้วมีการยิงกันเกิดขึ้น คุณก็จะได้ยินเสียงกระสุนกระแทกวัตถุต่างๆ ที่ก้องกังวาล อีกทั้งเสียงในช่วง Subwoofer ก็ค่อนข้างชัดเจนและหนักแน่นมากๆ ซึ่งในส่วนของดนตรีประกอบก็เช่นกัน ทำได้ค่อนข้างดีมาก จนรู้สึกเหมือนกับได้ยินเพลงประกอบในภาพยนตร์ฮอลลีวูดทุนสร้างสูงๆ อยู่เลยทีเดียว
สำหรับในส่วนของเนื้อเรื่อง ต้องยอมรับเลยครับว่าบทรวมถึงตัวเนื้อเรื่องยังขาดสีสันและเดาเรื่องได้ไม่ยาก โดยเฉพาะฉาก Cutscene ที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อและมีมากจนเกินความจำเป็นแต่ทั้งนี้บทสนทนาจะฟังดูดี และน่าสนใจมากขึ้นทันทีในช่วงที่ตัวละครเล่นมุขแบบอเมริกันใส่กัน และแน่นอนช่วงบทสนทนาที่ผมรู้สึกประทับใจมากที่สุดน่าจะเป็นตอนช่วงฉากสุด ท้าย ซึ่งจะเป็นอย่างไรต้องลองชมดูเองครับ
มาที่ส่วนของการควบคุม เกมนี้ยังคงใช้ปุ่มควบคุมต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับเกม FPS ทั่วไป โดยคีย์ตัวเลขบนแป้นพิมพ์จะใช้เปลี่ยนอาวุธได้ แต่ทั้งนี้มีข้อสังเกตเล็กน้อยคือ ในภาคนี้ตัวละครจะสามารถคุกเข่าลงได้อย่างเดียว แต่จะไม่สามารถหมอบหรือคลานได้ ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าทำไมทาง DICE เขาถึงไม่ใส่มา
Multiplayer

สำหรับแฟนนพันธ์แท้ซีรีย์ Battlefield คงรู้ดีว่าการเล่นในระบบ Multiplayer ของเกมซีรีย์นี้สนุกมากแค่ไหน ซึ่งในวันนี้ในเมื่อผมได้ถือแผ่นลิขสิทธิ์ Limited Edition อยู่ในมือ ผมเลยลองทดสอบระบบ Multiplayer ของเกมนี้ดูหน่อย ซึ่งในโหมด Multiplayer เกมจะถูกแบ่งออกเป็น 4 โหมดได้แก่ Conquest (ชิงธง) RUSH และ Squad Rush (ทำภารกิจทำลาย M-COM Station) และสุดท้าย Squad Deathmatch (ภารกิจแบ่งข้างและยิงให้ตายไปข้างเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง) โดยจากการทดสอบ ผมว่าในภาคนี้ทาง DICE และ EA ก็ยังพัฒนาระบบ Multiplayer ให้ดูสนุกเหมือนเช่นเคย โดยเฉพาะการที่ตัวเกมเปิดโอกาสให้เราสามารถเลือกใช้พาหนะการเดินทางและทำลาย ล้างได้หลากหลาย อีกทั้งด้วยการรองรับระบบ Multiplayer ที่มาถึง 32 คนก็สร้างความมันส์สะใจเมื่อเล่นกับเพื่อนๆ ได้ดีอีกด้วย
แต่ทั้งนี้ในโหมด Multiplayer ผ่าน Internet ผมรู้สึกว่าค่า Ping อาจจะสูงเมื่อเล่นกับผู้เล่นมากกว่า 10 คนขึ้นไป ตรงจุดนี้อาจจะเกิดจาก Server อยู่ไกลก็เป็นได้ ซึ่งตรงจุดนี้สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาอยู่นั้น อาทิตย์หน้าผมว่าทาง Saluzi เขาคงพร้อมเปิดให้บริการ Server ในไทยแล้วล่ะครับ รอกันหน่อยนะจ๊ะ
Conclusion

อย่างแรกที่ผมขอพูดก่อนจะเริ่มสรุปสำหรับเกม Battlefield: Bad Company 2 ก็คือ "ผมขอให้ทาง DICE และ EA ออก Patch มาแก้ข้อบกพร่องหลายๆ จุดอย่างเร่งด่วน" เพราะแน่นอนว่าเกมนี้ถึงแม้จะเป็นเกมที่ค่อนข้างสมบูรณ์ในเรื่องของภาพ แต่เรื่องของบั๊กและความไม่เสถียรของระบบก็ค่อนข้างมากพอดู ซึ่งผมขอยกตัวอย่างเรื่องความไม่เสถียรของระบบก็คือเครื่องคอมพ์ที่ผมใช้ทด สอบมีสเป็กคือ Intel Core i5 750 2.66 GHz + RAM 4GB OC 1600MHz 8-8-8-24 และใช้กราฟฟิกการ์ด ASUS GeForce 9800GTX+ DK TOP + NVIDIA Driver ตัวล่าสุด ซึ่งเมื่อผมรันเกมผนวกกับโปรแกรม Fraps ผมเกิดความรู้สึกว่าเฟรมเรทของเกมนี้ไม่เสถียรเลยครับ เพราะเฟรมมันสามารถวิ่งตั้งแต่ 24- 86 fps ได้ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องแลกมากลับอาการภาพหนืดมากๆ โดยเฉพาะเมื่อถึงฉากที่มีฝุ่นมากๆ (ขนาดผมทดสอบกับ ATI HD 5870 ก็ยังเกิดอาการบ้างเมื่อเกิดเอ็ฟเฟ็กระเบิดทั้งฉาก) อีกทั้งเรื่องของ AI ควรเพิ่มความสามารถในเรื่องของการคิด วิเคราะห์ให้ดีกว่านี้ รวมถึงระบบ Motion Capture ของตัวละครที่ทำออกมาได้ยังแข็งๆ และดูลอยๆ ไปนิด และสุดท้ายบทที่ยังดูหลวมๆ และไม่น่าติดตาม (ประมาณเดาตอนจบได้ตั้งแต่เกมเริ่ม) ซึ่งผมคิดว่าท่าทาง DICE และ EA สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ในภาคต่อๆ ไป ผมว่าเกมนี้จะเป็นเกมที่ทุกคนต้องหามาเล่นอย่างแน่นอน
แต่ทั้งนี้กล่าวถึงข้อเสัยอย่างหนักหน่วงก็ใช่ว่าตัวเกมจะไม่มีข้อดีเลยนะ ครับ เพราะแน่นอนว่าด้วยการที่เกมใส่คุณสมบัติในเรื่องของความสามารถในการเลือก พาหนะเดินทาง รวมถึงความสวยงามของกราฟฟิกที่เรียกได้ว่า "สุโค่ย..ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ" รวมถึงความมันส์ที่ผมเชื่อว่าแฟนๆ เกมคอ Action FPS เมื่อได้สัมผัสแล้วจะไม่สามารถวางเมาส์และคีย์บอร์ดลงได้แน่นอน อีกทั้งด้วยการที่ตัวละครแต่ละตัวช่างมีบุคคลิกที่ดูโดดเด่น น่าจดจำ และที่สำคัญ มุขที่ภาคนี้ทำออกมาได้ดีกว่าภาคแรกมากๆ ก็พอจะสร้างจุดแข็งและคะแนนให้กับเกมนี้ได้อย่างมากพอสมควรเหมือนกัน

Dorapenguin's Note: จากคะแนน 8.5 คะแนนที่ได้ ผมว่าเกม Battlefield: Bad Company 2 ก็เป็นเกม Action FPS อีกเกมหนึ่งที่มีความมันส์ และเล่นได้จนจบโดยไม่เบื่อ อีกทั้งระบบ Multiplayer ก็สนุกใช้ได้เพราะรองรับผู้เล่นที่มากภึง 32 คน แต่ทั้งนี้ก็อย่างว่าเกมๆ นี้ทุกสิ่งทุกอย่างดูดีเกือบหมด แต่ไปเสียตรงบทและเนื้อเรื่องที่ดูหลวมๆ ไม่ปะติดปะต่อและน่าติดตาม อีกทั้งตัวเกมก็ยังมีบั๊กรวมถึงเอ็ฟเฟ็กบางอย่างที่ดูแล้วน่ารำคาญใจให้ได้ เห็นอยู่บ้าง ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ผมคงให้คะแนนเกมๆ นี้มากกว่านี้แล้วล่ะครับ
ที่มา: GamerTechZone.com << ใครเข้ามาชมมาคอมเมนต์แล้วขอความกรุณาเข้าไปเมนต์ในเว็บของผมหรือสมัครเป็นสมาชิกให้บ้างนะครับ ผมจะได้มีกำลังใจรีวิวต่อไป ขอบพระคุรครับ



Comment