"ถ้าโตขึ้นหนูได้เป็นมหาเศรษฐีระดับโลก หนูอยากทำอะไร" หลากหลายคำตอบที่เปล่งออกมาจากปากผู้ถูกถาม ล้วนแล้วแต่เป็นความฝันที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่เพียงใด แต่ถ้าอนาคตมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับใครสักคนที่ถูกถามในวันนั้นล่ะ เขาจะเลือกทำอะไร ?....
No gods or kings, only man.
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 50 ปีมาแล้ว Andrew Ryan เป็นผู้ชายที่ร่ำรวยเงินทองและทรัพย์สินที่สุดในโลกคนหนึ่ง ชีวิตเขาผ่านความยากเข็นและทุกข์ร้อนมามากมาย เขาเบื่อหน่ายกับโลกบนดินที่มีแต่เรื่องสังคม การเมือง ศาสนา วัฒนธรรมที่น่าเบื่อ และน่าสมเพศ เขาเริ่มหันหลังให้กับสังคมเมืองและได้จัดจ้างพวกหัวกะทิในเรื่องการพัฒนา ปัจจัยทั้ง 4 ของมนุษยชาติหลากหลายชีวิตให้มาอยู่และร่วมมือกับเขาในการทำโปรเจ็คชิ้นใหญ่ ชิ้นหนึ่งที่เขาทุ่มเงินทอง ทรัพย์สินไปเกือบหมดตัว เขาใช้เวลาในการพัฒนาโปรเจ็คเหล่านั้นเป็นเวลานานร่วมหลายปี จนในที่สุดความฝันและความตั้งใจของเขาก็ประสบผลสำเร็จ โดยเขาตั้งชื่อให้กับโปรเจ็ตนั้นว่า "Rapture เมืองใต้บาดาลที่ๆ ทุกคนทุกเพศมีความเท่าเทียมกัน"
Rapture is paradise!!
Rapture คือเมืองใต้บาดาลที่ไม่มีกฏหมายที่ตายตัว ไม่มีการกดขี่ ไม่มีการปิดกั้น มันคือสวรรค์ของทุกๆ คนที่ได้อาศัยอยู่ โดยเฉพาะพวกที่คิดอยากลองเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทดลองอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ หรือพวกนักการเมืองชาติชั่วที่หวังจะเข้ามาทดลองกฏหมู่กฏหมายบ้าๆ บอๆ ต่างๆ ซึ่งด้วยการที่ Rapture เป็นเมืองที่อิสระนี้เอง ทำให้นานวันเข้าเมืองแห่งนี้จึงอยู่ในสภาวะไม่สามารถควบคุมได้เพราะแน่นอน ว่าในเมื่อนักวิทยาศาสตร์สามารถทดลองอะไรก็ได้หรือนักการเมืองอยากลองทำอะไร ก็ได้ (โดยมีข้อกฏหมายเพียงว่าต้องอยู่บนความถูกต้องและไม่ขัดต่อหลักเสรีทางการ ค้า) ก็เลยทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นสาร Adam ขึ้น แต่ทั้งนี้สาร Adam ต้องสกัดจากปลิงทะเลชนิดหนึ่งซึ่งหายากมาก ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นคว้าการสกัดสาร Adam จากปลิงทะเลใหม่ ซึ่งทำให้เกิดเป็นข้อสมมุติฐานที่ว่า "ถ้านำปลิงทะเลไปเพาะในตัวของเด็กผู้หญิงจะสามารถสร้าง Adam ขึ้นมาได้ อีกทั้งยังทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นมีร่างกายเป็นอมตะอีกด้วย"
ซึ่งเมื่อ Frank Fontaine คิดจะหากำลังจากการขายของเหล่านี้ ทำให้ Frank Fontain ยอมเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อต่อหน้าจะได้สร้างภาพว่าตนเป็นคนดีมี เมตตาแต่ลับหลังก็คือเอาเด็กมาทดลอง Adam นั่นเอง ซึ่งจากการทดลองอยู่หลายปีทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถตั้งสมมุติฐานใหม่ได้ มากมายหลายประเด็น แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ "ถ้านำ Adam มาเข้ากระบวนการสังเคราะห์ใหม่จะทำให้เกิดเป็น Plasmid และ Gene Tonic ขึ้นได้ ซึ่งความสามารถก็คือเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมมนุษย์ให้เกิดความสามารถพิเศษต่างๆ (เช่น มือปล่อยไฟได้ เป็นต้น)
วันเวลาผ่านไป... สินค้า Plasmid และ Gene Tonic ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำให้ Fontaine ได้กำไรมหาศาล อีกทั้งในอีกหน้าหนึ่ง Frank Fontaine ก็ทำตัวสร้างภาพเป็นคนดีของสังคม ซึ่งเมื่อเรื่องถึงหู Andrew Ryan มีเหรอที่เขาคิดจะปล่อยไป...
Fontaine!! Fxxk You!!
ด้วยความไม่พอใจ Frank Fontaine อย่างมากที่ทำตัวเป็นใหญ่และผูกมัดสิ่งต่างๆ ไว้คนเดียวทำให้ Ryan โกรธและประกาศสงครามกับ Fontaine ซึ่งในขณะเดียวกันเหล่านักวิทยาศาสตร์ของ Fontaine ก็ได้พบความผิดปกติของคนที่ใช้ Adam แล้วว่า "จะทำให้ร่างกายเน่าเละและอารมณ์อยู่เหนือการควบคุม" แต่ Fontaine ดูจะไม่สนใจเพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเงินๆๆ และการล้มล้างผู้คุมเมืองอย่าง Andrew Ryan เท่านั้นเอง
สงครามยังดำเนินต่อไปในขณะที่ Plasmid และ Gene Tonic ก็ยังขายดีอยู่ จน Ryan ได้เริ่มเกมรุกที่หนักขึ้น โดยใช้ความเป็นเจ้าของๆ เมืองในการสั่งปิดประตูเมืองและตั้งระบบรักษาความปลอดภัยโดยต้องใช้คนที่มี DNA เหมือนตนเท่านั้นถึงจะสามารถเปิด-ปิด ทางเข้าออกโซนต่างๆ ได้ ทำให้ Fontaine เริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองที่เป็นฝ่ายตั้งรับแล้วว่าไม่มีทางสู้ได้แน่นอน จึงพยายามใช้เงินทั้งหมดของตนในการจ้างหญิงสาวนิรนามคนหนึ่งไปมีสัมพันธ์กับ Ryan เพื่อที่หญิงสาวผู้นั้นจะได้กำเนิดเด็กขึ้นมา โดย Fontaine ได้วางแผนไว้ว่า จะฉีดสาร Adam เร่งการเจริญเติบโตของเด็กคนนั้นและส่งออกไปนอก Rapture เพื่อที่เด็กจะได้ไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะได้ถูกหลอกใช้ได้ง่ายๆ ซึ่ง Fontaine จะเรียกกลับมาอีกทีเมื่อถึงเวลาสังหาร Ryan (คงจำกันได้นะครับว่าการฆ่า Ryan จำเป็นต้องใช้คนที่มี DNA เหมือนกับ Ryan ในการเปิดประตูเข้าไปหาตัว)
Ryan รู้ความจริงทั้งหมดแต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากฆ่าหญิงนิรนามคนนั้นทิ้งด้วย ความโมโห เด็กคนนั้นรอดชีวิตพร้อมชื่อที่ติดตัวไปว่า Jack...
Ryan!! Fxxk You!!
Ryan ทนไม่ไหวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้สั่งตำรวจให้จับตาย Fontaine ให้ได้เร็วที่สุด สุดท้ายตำรวจก็ปลิดชีวิต Fontaine ได้สำเร็จ Ryan เข้ายึดทุกสิ่งทุกอย่างที่ Fontaine เป็นเจ้าของทั้งหมด แต่ก็อย่างที่มีสำนวนเชยๆ เคยกล่าวไว้ว่า "เงินคือพระเจ้า" Ryan เห็นช่องทางทำเงินมากมายจากสมบัติน่าสมเพศของ Foutain ซึ่งจากเหตุผลทั้งหมดทำให้ Ryan ดำเนินธุรกิจต่อทันที ในขณะที่คนรอบข้าง Ryan เริ่มไม่พอใจเพราะทำตัวขัดกับคำพูดที่เคยประกาศไว้ จนในที่สุดเมืองก็เกิดสงครามขึ้นอีกครั้งพร้อมการปรากฏตัวของชายแปลกหน้านาม ว่า "Atlas" ที่ยอมเป็นแกนนำประท้วงรัฐบาล Ryan
จนในที่สุดบ้านเมืองก็เละเทะ ผู้คนแตกเป็นกลุ่มก้อน ศพต่างๆ เกิดขึ้นมากมายไม่เว้นแต่ละวัน และที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือสาร Adam ในตัวของคนที่เคยฉีดเข้าไปกำลังมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น แต่ใช่ว่า Ryan จะกลัวต่อผลข้างเคียงนั้น แต่เขากลับใช้สถานการณ์เหล่านั้นให้เป็นนประโยชน์โดยการเร่งผลิต Adam ให้มากขึ้น โดยนอกจากใช้เด็กในโรงงานของตนแล้ว เขายังได้ไปลักพาตัวเด็กจากบนบกลงมาด้วย ซึ่งการกระทำครั้งนี้ Ryan วางแผนไว้ว่าจะสร้างกองทัพคนบ้าจากผลข้างเคียงจาก Adam นั่นเอง
Atlas เห็นทีท่าไม่ดีจึงคิดจะกวาดล้างพวกเด็กๆ Adam รวมถึงพวกกองทัพคนบ้าที่ควบคุมตนไม่ได้ทั้งหลายเหล่านั้น แต่ Ryan ไม่ยอมจึงคิดดัดแปลงหน่วยซ่อมบำรุงใต้น้ำให้เป็น Big Daddy ปกป้องเด็กๆ ที่ Ryan ตั้งชื่อให้ว่า Little Sister นั่นเอง
End of Everything
ปี 1960
เครื่องบินลำหนึ่งต้องมาตกอยู่กลางมหาสมุทร Atlantic อย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยไม่มีผู้ใดรอดชีวิตนอกจากชายคนหนึ่งที่เขามีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า Jack เขาได้รับความช่วยเหลือจากชายที่มีนามว่า Atlas หลังจากที่เขาต้องมาพบเจอกับเมืองใต้บาดาล Rapture อย่างไม่ตั้งใจ โดย Atlas ได้ขอความช่วยเหลือให้ Jack ไปช่วยแฟนและลูกของตนที่ติดอยู่ในเรือดำน้ำ ซึ่งในระหว่างนั้น Ryan ก็ได้ดักฟังการสนทนาระหว่าง Jack กับ Atlas ซึ่ง ณ ตอนนั้น Ryan ยังไม่รู้ว่า Jack คือลูกของตนแต่กลับคิดว่า Jack คือพวกตำรวจจากบนบกที่แอบเข้ามาในเมืองของตน Ryan จึงส่งกองทัพคนบ้าออกตามล่า Jack ในขณะที่ Ryan ก็พยายามทำลายภารกิจที่ Atlas ให้กับ Jack ลงด้วยซึ่งเป็นเหตุให้ Jack และ Atlas โกรธมากและต่างคนต่างตั้งเป้าไปที่การตามล่า Ryan ด ซึ่งสุดท้าย Jack ก็ฟันฝ่าจนได้มาพบกับ Ryan ซึ่ง Ryan พยายามเล่าถึงเหตุการณที่เกิดขึ้นและบอกว่า ตนคือพ่อของ Jack ซึ่งเหตุที่ Jack จำอะไรไม่ได้ก็เป็นผลมาจากการถูก Atlas ล้างสมอง รวมถึงเรื่องการมีครอบครัวหรือเหตุการณ์เครื่องบินตกล้วนเป็นผลมาจากจิตใต้ สำนึกของ Jack ที่จะมีผลต่อคำพูดทีว่า Would you kindly... ซึ่ง Jack จะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรเมื่อมีคนพูดคำนี้
ซึ่งสุดท้ายแล้ว Jack ก็ต้องฆ่าพ่อของตนเองด้วยความต้องการของตัว Ryan เนื่องจาก Ryan ต้องการที่จะตายพร้อมกับเมืองที่สร้างมากับมือ (โดยตอนนี้ Ryan สั่งให้ระเบิดทำงานแล้ว แต่สุดท้าย Jack ก็หยุดการระเบิดได้) ซึ่งเมื่อ Jack ทำภารกิจเสร็จสิ้น Atlas ก็ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาว่าตนก็คือ Fontaine ที่หนีรอดมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น โดย Fontaine ได้ส่งคนมากำจัด Jack แต่สุดท้าย Jack ก็รอดออกมาได้ด้วยการช่วยเหลือจาก Little Sister และ ที่ Jack ได้ช่วยไว้และนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง
โดยหลังจาก Jack ฟื้นตัวแล้วจึงจัดการตามหา Fontaine และฆ่าทิ้งซะหลังจากนั้น Jack ก็รับเหล่า Little Sister ที่ช่วยไว้กลับขึ้นบนบกและเลี้ยงดูอย่างคนปกติ... Happy Ending
Welcome to Another Side of BioShock
ในปี 1958 ด็อกเตอร์ Sofia Lamb ออกตามหา Eleanor Lamb ที่เป็นลูกสาวของเธอ โดยเด็กหญิง Eleanor ก็คือ Little Sister คนแรกที่ถูกจับมาทดลองและใช้ชีวิตอยู่กับ Big Daddy รุ่น Subject Delta โดยเมื่อด็อกเตอร์ Sofia Lamb ตามหาลูกของเธอเจอ เธอก็ได้สั่งให้ Subject Delta ถอดหมวกและใช้ปืนพกยิงตัวตาย โดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ที่รู้ๆ ก็คือ Eleanor เสียใจอย่างมาก
หลังจากนั้นผ่านไป 10 ปี (8 ปีหลังจากเหตุการณ์ Jack, Ryan และ Fontaine ในภาคแรก) Subject Delta ก็ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นโดยสิ่งแรกที่ Subject Delta คิดออกหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือ "ตามหา Eleanor"
และแล้วเหตุการณ์ใน BioShock 2 ก็เริ่มขึ้น...
เกม BioShock 2 คือเกม FPS หลอนๆ ที่มีกลิ่นของ RPG นิดๆ โดยในภาคนี้เป็นผลงานของ 2K Marin, 2K Australia และ 2K China ที่ร่วมกันสร้างสรรค์จนออกมาเป็นเกมหลอนภาคต่อเกมนี้ ซึ่งจุดเด่นของภาคนี้นอกจากเนื้อเรื่องที่น่าติดตามแล้ว ทาง 2K ยังได้เพิ่มระบบ Multiplayer ลงไปด้วย โดยหน้าที่พัฒนาในส่วนนี้จะเป็นของ Digital Extreme ซึ่งเหตุผลที่ทาง 2L ยอมใส่ระบบ Multiplayer ลงไปนั้นก็เพื่อจะทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมนี้ได้นานขึ้นนั่นเอง
โดยในส่วนของกราฟฟิก ภาคนี้ต้องยอมรับนะครับว่าทาง 2K ยังรักษามาตรฐานภาคแรกไว้ทุกระเบียบนิ้ว กล่าวคือพวกกราฟฟิกแสงเงา ความฟุ้งของภาพยังทำออกมาได้ดีและสวยงาม โดยเฉพาะเอ็ฟเฟ็กน้ำที่ผมรู้สึกว่ามีรายละเอียดมากขึ้น อย่างฉากแรกตอนที่น้ำดันกระจกแตกเราจะสังเกตได้ว่าน้ำมาเป็นเม็ดๆ และเมื่อกระแทกกับ Big Daddy จะมีเอ็ฟเฟ็กน้ำแตกออกเหมือนจริงขึ้นมาก แต่ ทั้งนี้ในเรื่องของ Texture ต้องยอมรับเลยครับว่าไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้นเลย กล่าวคือพวกผนัง รายละเอียดของแจกัน รวมถึงรอยไม้ต่างๆ ถ้ามองระยะไกลจะเห็นว่าสวยงามใช้ได้ แต่เมื่อลองบังคับตัวละครให้เข้าใกล้จะพบว่ามันเหลี่ยมและเบลอมากเลยจอร์จ!! รับไม่ได้อย่างแรง!!! และอีกอย่างตามเว็บไซต์เมืองนอกเขาบอกว่า BioShock ภาคนี้มีการย้อมแมว Widescreen ด้วย กล่าวคือถ้าใครที่ใช้จอ Widescreen จะพบกับความแคบของภาพในส่วนแนวตั้งครับ (แต่เห็นตอนนี้ทาง 2K เขากำลังแก้ไขปัญหาอยู่ครับ)
ดูไกลๆ ก็สวยดี แต่พอเดินเข้ามาใกล้ปั๊บ "อะไรมันจะหยาบขนาดนี้ แม่เจ้า!!!"
มาที่เรื่อง Gameplay กันบ้าง โดยรวมแล้วต้องบอกว่าเล่นง่ายและคล่องตัวกว่าภาคแรกมาก โดยเฉพาะเมื่อเริ่มเกมมาเราสามารถใช้ Plasmid พร้อมกับอาวุธที่มือขวาได้เลย โดยคลิกเมาส์ซ้ายจะเป็นการใช้อาวุธ Main ส่วนคลิกขวาจะเป็น Plasmid ต่างๆ ในส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปและทำให้เล่นได้ง่ายขึ้นก็คือการแฮ็คอุปกรณ์ กล้องวงจรปิดหรือแม้กระทั่งประตูต่างๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้นโดยจะเปลี่ยนจากการต่อท่อน้ำเป็นใช้มิเตอร์เข็มวัดแทน ซึ่งวิธีการใช้งานก็ง่ายๆ เพียงกะจังหวะคลิกตอนเข็มอยู่ตรงบริเวณโซนสีเขียว 2-3 ครั้งก็ใช้ได้แล้ว ในส่วนระบบอื่นๆ ของตัวเกมก็ยังคงคล้ายๆ กับภาคแรกอยู่ครับ
แต่ทั้งนี้ผมขอตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องเข็มทิศนำทางสักเล็กน้อย เพราะผมรู้สึกว่าบางครั้งเข็มมันชี้มั่วมาก ประมาณว่าบอกให้เราไปตรงจุดนี้แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงเข็มก็เปลี่ยนทิศไปทิศ อื่นทั้งๆ ที่ยังไม่มีภารกิจเข้ามา ซึ่งเมื่อหันหลังกลับและเดินไปตามทิศที่ชี้อยู่ เข็มก็เปลี่ยนทิศอีกแล้วแต่คราวนี้ชี้ถูกทาง เล่นเอาผมงงไปเลย
ส่วนของการควบคุมในภาคนี้ปุ่มต่างๆ ทั้งบนคีย์บอร์ดและเมาส์สามารถใช้งานได้คล่องตัวดีครับ อยากการเปลี่ยน Plasmid ก็ทำได้ง่ายๆ เพียงกดปุ่ม Q หรือแม้แต่การเปลี่ยนอาวุธก็สามารถใช้ปุ่มตัวเลขด้านบนแป้นอักษรเปลี่ยนได้ เหมือนเกม FPS ทั่วไปด้วยครับ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าปุ่มต่างๆ ที่เกมให้มานั้นถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่มือด้านซ้ายของเราสามารถกดได้ สะดวกทั้งนั้นครับ
ที่นี้รองมาดูในส่วนของเสียงประกอบรวมถึงดนตรีบ้าง โดยเสียงประกอบ เสียงเอ็ฟเฟ็กต่างๆ ในภาคนี้ผมรู้สึกเฉยๆ และไม่หลอนเหมือนภาคแรกเลยครับ โดยเฉพาะเจ้าพวก Little Sister ที่ดูจะพูดมากเสียเหลือเกิน ทำให้ความหลอนลดไปบ้าง อีกทั้งอาจเพราะภาคนี้เน้นขาย Action เป็นหลักทำให้ผมรู้สึกว่าตลอดเวลาที่เล่นมาผมได้ยินแต่เสียงลูกกระสุนแหวก อากาศหรือเสียงระเบิดตลอดเวลา
แต่ทั้งนี้ใช่ว่าเสียงเอ็ฟเฟ็กที่กล่าวมาจะทำให้บรรยากาศของเกมเปลี่ยนไปนะ ครับ เพราะข้อดีในด้านเสียงที่เป็นจุดเด่นที่สุดของเกมนี้ยังคงมีอยู่ อย่างดนตรี Classic ที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้อย่างชัดเจน โดนเฉพาะเมื่อมันเริ่มบรรเลงพร้อมกับการพบเจอตัวละครแปลกๆ มันทำให้เกิดความเข้ากันแบบหลอนๆ ดีนักแล
ส่วนในเรื่องของเนื้อเรื่องและบทสำหรับภาคนี้ ตามความรู้สึกผมๆ ว่าก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ครับ ถึงแม้จะไม่ปะติดปะต่อกับภาคแรก และออกแนวเป็น Side Story (อารมณ์ประมาณ Crysis Warhead) ก็ตามแต่ทาง 2K ก็ยังวางเนื้อเรื่องบางส่วนให้สอดคล้องกับภาคแรกด้วย ซึ่งงานนี้ผมบอกตรงๆ เลยครับว่าเพราะเกมพยายามบีบบังคับให้เราเล่นแบบเร็วๆ และเป็นเส้นตรง ออกประมาณคล้ายๆ เป็นด่านๆ ไปจบด่านหนึ่งขึ้นเรือต่อด่านสอง ทำให้บางครั้งผมรู้สึกเบื่อๆ และเล่นเกมไปแบบลอยๆ เหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าแตกต่างจากภาคแรก เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมาเนื้อเรื่องก็สะกดให้ผมอยู่ติดหน้าจอไม่ไปไหนแล้ว แต่สำหรับภาคนี้ต้องเล่นไปสักพักผมถึงจะอินกับเนื้อเรื่อง
สุดท้ายสำหรับสิ่งที่ประทับใจใน BioShock 2 นี้ก็คงจะยังอยู่ที่เกมเปิดโอกาสให้เราได้เดินท่องเที่ยวบริเวณด้านนอกอาคาร ได้ (ถึงแม้จะเดินไม่ได้อิสระก็เถอะ) ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้เราได้เห็นปลาแปลกๆ ปะการังสีสวยงาม หรือแม้กระทั่งปลิงทะเลที่ใช้ผลิต Adam อีกทั้งการเดินเรื่องของภาคนี้ยังคงนำเอกลักษณ์ของภาคแรกมาด้วย กล่าวคือการกระทำต่อ Little Sister หรือการเลือกการกระทำบางอย่างในเกมยังมีผลต่อฉากจบที่สามารถเจอทั้ง 4 แบบด้วย
Conclusion
สำหรับบทสรุป BioShock 2 สำหรับผมๆ ว่า "ก็ถือว่าสอบผ่าน" แต่ถ้าถามว่าเล่นจบแล้วอยากกลับไปเล่นอีกรอบผม ผมคงตอบว่า "ไม่แล้วล่ะครับ" เพราะภาคนี้ก็อย่างที่บอกว่า ผมเล่นแล้วบางทีก็อยากให้จบเร็วๆ เพื่อดูบทสรุปมากกว่า (ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากเพราะมันเป็น Side Story ของ BioShock ภาคแรกที่เนื้อเรื่องสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว) ซึ่งผมรู้สึกว่าเล่น BioShock ภาคนี้แล้วเหมือนเล่นเกม Action ผ่านานอย่างไรไม่รู้ ภารกิจบางอย่างก็ดูไม่มีอะไรน่าค้นหามากนัก แต่เห็นผมตั้งแง่ๆมาแต่แรกก็ใช่ว่าตัวเกมจะไม่มีข้อดีเลยนะครับ เพราะถึงเกมจะไม่ถูกใจผม แต่ข้อดีที่ผมรู้สึกชอบและประทับใจในภาคนี้ก็ยังคงอยู่ที่ระบบการเล่นที่ ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Plasmid ที่เพียงแค่กดเมาส์ขวาก็เรียกใช้งานได้ทันที หรือแม้กระทั่งการที่เราเป็น Big Daddy แล้วมีมือสว่านใหญ่ๆ ติดอยู่ก็สร้างความอุ่นใจได้ทุกครั้ง เพราะแน่นอนว่าเจ้ามือสว่านสามารถใช้ได้ไม่มีหมดอยู่แล้ว
Dorapenguin's Note: BioShcok 2 คือเกม Action กลิ่น RPG ที่เล่นสนุกๆ แก้เซ็งได้เหมือนกัน ซึ่งผมว่าสำหรับคะแนน 8 คะแนนที่ให้นั้นอย่างน้อยก็พอบอกกับท่านผู้ชมทุกท่านได้แล้วล่ะครับว่าเกม นี้ก็ไม่ขี้เหร่เท่าไหร่นัก ถึงแม้หลายๆ ส่วนจะอ่อนกว่าภาคแรก แต่สำหรับแฟนซีรีย์ BioShock ก็ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก: http://kawlam.exteen.com/20080123/bi...story-atarukun
---------------------
อ่านรีวิวกันจบแล้วขอความร่วมมือเข้าไปสมัครสมาชิกเว็บ www.gamertechzone.com หน่อยนะจ๊ะ จะกราบขอบพระคุณงามๆ เลยจ้าา ตอนนี้เว็บเพิ่งเปิด โดยตัวเว็บเน้นทางฮาร์ดแวร์ฮาร์ดคอร์ของพีซี และพวกเกมออฟไลน์ครับ ฝากด้วยนะจ้าา อีกหนึ่งช่องทางรับข่าวสาร ขอบคุณมากครับ
No gods or kings, only man.
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 50 ปีมาแล้ว Andrew Ryan เป็นผู้ชายที่ร่ำรวยเงินทองและทรัพย์สินที่สุดในโลกคนหนึ่ง ชีวิตเขาผ่านความยากเข็นและทุกข์ร้อนมามากมาย เขาเบื่อหน่ายกับโลกบนดินที่มีแต่เรื่องสังคม การเมือง ศาสนา วัฒนธรรมที่น่าเบื่อ และน่าสมเพศ เขาเริ่มหันหลังให้กับสังคมเมืองและได้จัดจ้างพวกหัวกะทิในเรื่องการพัฒนา ปัจจัยทั้ง 4 ของมนุษยชาติหลากหลายชีวิตให้มาอยู่และร่วมมือกับเขาในการทำโปรเจ็คชิ้นใหญ่ ชิ้นหนึ่งที่เขาทุ่มเงินทอง ทรัพย์สินไปเกือบหมดตัว เขาใช้เวลาในการพัฒนาโปรเจ็คเหล่านั้นเป็นเวลานานร่วมหลายปี จนในที่สุดความฝันและความตั้งใจของเขาก็ประสบผลสำเร็จ โดยเขาตั้งชื่อให้กับโปรเจ็ตนั้นว่า "Rapture เมืองใต้บาดาลที่ๆ ทุกคนทุกเพศมีความเท่าเทียมกัน"
Rapture is paradise!!
Rapture คือเมืองใต้บาดาลที่ไม่มีกฏหมายที่ตายตัว ไม่มีการกดขี่ ไม่มีการปิดกั้น มันคือสวรรค์ของทุกๆ คนที่ได้อาศัยอยู่ โดยเฉพาะพวกที่คิดอยากลองเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทดลองอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ หรือพวกนักการเมืองชาติชั่วที่หวังจะเข้ามาทดลองกฏหมู่กฏหมายบ้าๆ บอๆ ต่างๆ ซึ่งด้วยการที่ Rapture เป็นเมืองที่อิสระนี้เอง ทำให้นานวันเข้าเมืองแห่งนี้จึงอยู่ในสภาวะไม่สามารถควบคุมได้เพราะแน่นอน ว่าในเมื่อนักวิทยาศาสตร์สามารถทดลองอะไรก็ได้หรือนักการเมืองอยากลองทำอะไร ก็ได้ (โดยมีข้อกฏหมายเพียงว่าต้องอยู่บนความถูกต้องและไม่ขัดต่อหลักเสรีทางการ ค้า) ก็เลยทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นสาร Adam ขึ้น แต่ทั้งนี้สาร Adam ต้องสกัดจากปลิงทะเลชนิดหนึ่งซึ่งหายากมาก ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นคว้าการสกัดสาร Adam จากปลิงทะเลใหม่ ซึ่งทำให้เกิดเป็นข้อสมมุติฐานที่ว่า "ถ้านำปลิงทะเลไปเพาะในตัวของเด็กผู้หญิงจะสามารถสร้าง Adam ขึ้นมาได้ อีกทั้งยังทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นมีร่างกายเป็นอมตะอีกด้วย"
ซึ่งเมื่อ Frank Fontaine คิดจะหากำลังจากการขายของเหล่านี้ ทำให้ Frank Fontain ยอมเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อต่อหน้าจะได้สร้างภาพว่าตนเป็นคนดีมี เมตตาแต่ลับหลังก็คือเอาเด็กมาทดลอง Adam นั่นเอง ซึ่งจากการทดลองอยู่หลายปีทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถตั้งสมมุติฐานใหม่ได้ มากมายหลายประเด็น แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ "ถ้านำ Adam มาเข้ากระบวนการสังเคราะห์ใหม่จะทำให้เกิดเป็น Plasmid และ Gene Tonic ขึ้นได้ ซึ่งความสามารถก็คือเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมมนุษย์ให้เกิดความสามารถพิเศษต่างๆ (เช่น มือปล่อยไฟได้ เป็นต้น)
วันเวลาผ่านไป... สินค้า Plasmid และ Gene Tonic ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำให้ Fontaine ได้กำไรมหาศาล อีกทั้งในอีกหน้าหนึ่ง Frank Fontaine ก็ทำตัวสร้างภาพเป็นคนดีของสังคม ซึ่งเมื่อเรื่องถึงหู Andrew Ryan มีเหรอที่เขาคิดจะปล่อยไป...
Fontaine!! Fxxk You!!
ด้วยความไม่พอใจ Frank Fontaine อย่างมากที่ทำตัวเป็นใหญ่และผูกมัดสิ่งต่างๆ ไว้คนเดียวทำให้ Ryan โกรธและประกาศสงครามกับ Fontaine ซึ่งในขณะเดียวกันเหล่านักวิทยาศาสตร์ของ Fontaine ก็ได้พบความผิดปกติของคนที่ใช้ Adam แล้วว่า "จะทำให้ร่างกายเน่าเละและอารมณ์อยู่เหนือการควบคุม" แต่ Fontaine ดูจะไม่สนใจเพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเงินๆๆ และการล้มล้างผู้คุมเมืองอย่าง Andrew Ryan เท่านั้นเอง
สงครามยังดำเนินต่อไปในขณะที่ Plasmid และ Gene Tonic ก็ยังขายดีอยู่ จน Ryan ได้เริ่มเกมรุกที่หนักขึ้น โดยใช้ความเป็นเจ้าของๆ เมืองในการสั่งปิดประตูเมืองและตั้งระบบรักษาความปลอดภัยโดยต้องใช้คนที่มี DNA เหมือนตนเท่านั้นถึงจะสามารถเปิด-ปิด ทางเข้าออกโซนต่างๆ ได้ ทำให้ Fontaine เริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองที่เป็นฝ่ายตั้งรับแล้วว่าไม่มีทางสู้ได้แน่นอน จึงพยายามใช้เงินทั้งหมดของตนในการจ้างหญิงสาวนิรนามคนหนึ่งไปมีสัมพันธ์กับ Ryan เพื่อที่หญิงสาวผู้นั้นจะได้กำเนิดเด็กขึ้นมา โดย Fontaine ได้วางแผนไว้ว่า จะฉีดสาร Adam เร่งการเจริญเติบโตของเด็กคนนั้นและส่งออกไปนอก Rapture เพื่อที่เด็กจะได้ไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะได้ถูกหลอกใช้ได้ง่ายๆ ซึ่ง Fontaine จะเรียกกลับมาอีกทีเมื่อถึงเวลาสังหาร Ryan (คงจำกันได้นะครับว่าการฆ่า Ryan จำเป็นต้องใช้คนที่มี DNA เหมือนกับ Ryan ในการเปิดประตูเข้าไปหาตัว)
Ryan รู้ความจริงทั้งหมดแต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากฆ่าหญิงนิรนามคนนั้นทิ้งด้วย ความโมโห เด็กคนนั้นรอดชีวิตพร้อมชื่อที่ติดตัวไปว่า Jack...
Ryan!! Fxxk You!!
Ryan ทนไม่ไหวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้สั่งตำรวจให้จับตาย Fontaine ให้ได้เร็วที่สุด สุดท้ายตำรวจก็ปลิดชีวิต Fontaine ได้สำเร็จ Ryan เข้ายึดทุกสิ่งทุกอย่างที่ Fontaine เป็นเจ้าของทั้งหมด แต่ก็อย่างที่มีสำนวนเชยๆ เคยกล่าวไว้ว่า "เงินคือพระเจ้า" Ryan เห็นช่องทางทำเงินมากมายจากสมบัติน่าสมเพศของ Foutain ซึ่งจากเหตุผลทั้งหมดทำให้ Ryan ดำเนินธุรกิจต่อทันที ในขณะที่คนรอบข้าง Ryan เริ่มไม่พอใจเพราะทำตัวขัดกับคำพูดที่เคยประกาศไว้ จนในที่สุดเมืองก็เกิดสงครามขึ้นอีกครั้งพร้อมการปรากฏตัวของชายแปลกหน้านาม ว่า "Atlas" ที่ยอมเป็นแกนนำประท้วงรัฐบาล Ryan
จนในที่สุดบ้านเมืองก็เละเทะ ผู้คนแตกเป็นกลุ่มก้อน ศพต่างๆ เกิดขึ้นมากมายไม่เว้นแต่ละวัน และที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือสาร Adam ในตัวของคนที่เคยฉีดเข้าไปกำลังมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น แต่ใช่ว่า Ryan จะกลัวต่อผลข้างเคียงนั้น แต่เขากลับใช้สถานการณ์เหล่านั้นให้เป็นนประโยชน์โดยการเร่งผลิต Adam ให้มากขึ้น โดยนอกจากใช้เด็กในโรงงานของตนแล้ว เขายังได้ไปลักพาตัวเด็กจากบนบกลงมาด้วย ซึ่งการกระทำครั้งนี้ Ryan วางแผนไว้ว่าจะสร้างกองทัพคนบ้าจากผลข้างเคียงจาก Adam นั่นเอง
Atlas เห็นทีท่าไม่ดีจึงคิดจะกวาดล้างพวกเด็กๆ Adam รวมถึงพวกกองทัพคนบ้าที่ควบคุมตนไม่ได้ทั้งหลายเหล่านั้น แต่ Ryan ไม่ยอมจึงคิดดัดแปลงหน่วยซ่อมบำรุงใต้น้ำให้เป็น Big Daddy ปกป้องเด็กๆ ที่ Ryan ตั้งชื่อให้ว่า Little Sister นั่นเอง
End of Everything
ปี 1960
เครื่องบินลำหนึ่งต้องมาตกอยู่กลางมหาสมุทร Atlantic อย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยไม่มีผู้ใดรอดชีวิตนอกจากชายคนหนึ่งที่เขามีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า Jack เขาได้รับความช่วยเหลือจากชายที่มีนามว่า Atlas หลังจากที่เขาต้องมาพบเจอกับเมืองใต้บาดาล Rapture อย่างไม่ตั้งใจ โดย Atlas ได้ขอความช่วยเหลือให้ Jack ไปช่วยแฟนและลูกของตนที่ติดอยู่ในเรือดำน้ำ ซึ่งในระหว่างนั้น Ryan ก็ได้ดักฟังการสนทนาระหว่าง Jack กับ Atlas ซึ่ง ณ ตอนนั้น Ryan ยังไม่รู้ว่า Jack คือลูกของตนแต่กลับคิดว่า Jack คือพวกตำรวจจากบนบกที่แอบเข้ามาในเมืองของตน Ryan จึงส่งกองทัพคนบ้าออกตามล่า Jack ในขณะที่ Ryan ก็พยายามทำลายภารกิจที่ Atlas ให้กับ Jack ลงด้วยซึ่งเป็นเหตุให้ Jack และ Atlas โกรธมากและต่างคนต่างตั้งเป้าไปที่การตามล่า Ryan ด ซึ่งสุดท้าย Jack ก็ฟันฝ่าจนได้มาพบกับ Ryan ซึ่ง Ryan พยายามเล่าถึงเหตุการณที่เกิดขึ้นและบอกว่า ตนคือพ่อของ Jack ซึ่งเหตุที่ Jack จำอะไรไม่ได้ก็เป็นผลมาจากการถูก Atlas ล้างสมอง รวมถึงเรื่องการมีครอบครัวหรือเหตุการณ์เครื่องบินตกล้วนเป็นผลมาจากจิตใต้ สำนึกของ Jack ที่จะมีผลต่อคำพูดทีว่า Would you kindly... ซึ่ง Jack จะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรเมื่อมีคนพูดคำนี้
ซึ่งสุดท้ายแล้ว Jack ก็ต้องฆ่าพ่อของตนเองด้วยความต้องการของตัว Ryan เนื่องจาก Ryan ต้องการที่จะตายพร้อมกับเมืองที่สร้างมากับมือ (โดยตอนนี้ Ryan สั่งให้ระเบิดทำงานแล้ว แต่สุดท้าย Jack ก็หยุดการระเบิดได้) ซึ่งเมื่อ Jack ทำภารกิจเสร็จสิ้น Atlas ก็ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาว่าตนก็คือ Fontaine ที่หนีรอดมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น โดย Fontaine ได้ส่งคนมากำจัด Jack แต่สุดท้าย Jack ก็รอดออกมาได้ด้วยการช่วยเหลือจาก Little Sister และ ที่ Jack ได้ช่วยไว้และนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง
โดยหลังจาก Jack ฟื้นตัวแล้วจึงจัดการตามหา Fontaine และฆ่าทิ้งซะหลังจากนั้น Jack ก็รับเหล่า Little Sister ที่ช่วยไว้กลับขึ้นบนบกและเลี้ยงดูอย่างคนปกติ... Happy Ending
Welcome to Another Side of BioShock
ในปี 1958 ด็อกเตอร์ Sofia Lamb ออกตามหา Eleanor Lamb ที่เป็นลูกสาวของเธอ โดยเด็กหญิง Eleanor ก็คือ Little Sister คนแรกที่ถูกจับมาทดลองและใช้ชีวิตอยู่กับ Big Daddy รุ่น Subject Delta โดยเมื่อด็อกเตอร์ Sofia Lamb ตามหาลูกของเธอเจอ เธอก็ได้สั่งให้ Subject Delta ถอดหมวกและใช้ปืนพกยิงตัวตาย โดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ที่รู้ๆ ก็คือ Eleanor เสียใจอย่างมาก
หลังจากนั้นผ่านไป 10 ปี (8 ปีหลังจากเหตุการณ์ Jack, Ryan และ Fontaine ในภาคแรก) Subject Delta ก็ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นโดยสิ่งแรกที่ Subject Delta คิดออกหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือ "ตามหา Eleanor"
และแล้วเหตุการณ์ใน BioShock 2 ก็เริ่มขึ้น...
เกม BioShock 2 คือเกม FPS หลอนๆ ที่มีกลิ่นของ RPG นิดๆ โดยในภาคนี้เป็นผลงานของ 2K Marin, 2K Australia และ 2K China ที่ร่วมกันสร้างสรรค์จนออกมาเป็นเกมหลอนภาคต่อเกมนี้ ซึ่งจุดเด่นของภาคนี้นอกจากเนื้อเรื่องที่น่าติดตามแล้ว ทาง 2K ยังได้เพิ่มระบบ Multiplayer ลงไปด้วย โดยหน้าที่พัฒนาในส่วนนี้จะเป็นของ Digital Extreme ซึ่งเหตุผลที่ทาง 2L ยอมใส่ระบบ Multiplayer ลงไปนั้นก็เพื่อจะทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมนี้ได้นานขึ้นนั่นเอง
โดยในส่วนของกราฟฟิก ภาคนี้ต้องยอมรับนะครับว่าทาง 2K ยังรักษามาตรฐานภาคแรกไว้ทุกระเบียบนิ้ว กล่าวคือพวกกราฟฟิกแสงเงา ความฟุ้งของภาพยังทำออกมาได้ดีและสวยงาม โดยเฉพาะเอ็ฟเฟ็กน้ำที่ผมรู้สึกว่ามีรายละเอียดมากขึ้น อย่างฉากแรกตอนที่น้ำดันกระจกแตกเราจะสังเกตได้ว่าน้ำมาเป็นเม็ดๆ และเมื่อกระแทกกับ Big Daddy จะมีเอ็ฟเฟ็กน้ำแตกออกเหมือนจริงขึ้นมาก แต่ ทั้งนี้ในเรื่องของ Texture ต้องยอมรับเลยครับว่าไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้นเลย กล่าวคือพวกผนัง รายละเอียดของแจกัน รวมถึงรอยไม้ต่างๆ ถ้ามองระยะไกลจะเห็นว่าสวยงามใช้ได้ แต่เมื่อลองบังคับตัวละครให้เข้าใกล้จะพบว่ามันเหลี่ยมและเบลอมากเลยจอร์จ!! รับไม่ได้อย่างแรง!!! และอีกอย่างตามเว็บไซต์เมืองนอกเขาบอกว่า BioShock ภาคนี้มีการย้อมแมว Widescreen ด้วย กล่าวคือถ้าใครที่ใช้จอ Widescreen จะพบกับความแคบของภาพในส่วนแนวตั้งครับ (แต่เห็นตอนนี้ทาง 2K เขากำลังแก้ไขปัญหาอยู่ครับ)
ดูไกลๆ ก็สวยดี แต่พอเดินเข้ามาใกล้ปั๊บ "อะไรมันจะหยาบขนาดนี้ แม่เจ้า!!!"
มาที่เรื่อง Gameplay กันบ้าง โดยรวมแล้วต้องบอกว่าเล่นง่ายและคล่องตัวกว่าภาคแรกมาก โดยเฉพาะเมื่อเริ่มเกมมาเราสามารถใช้ Plasmid พร้อมกับอาวุธที่มือขวาได้เลย โดยคลิกเมาส์ซ้ายจะเป็นการใช้อาวุธ Main ส่วนคลิกขวาจะเป็น Plasmid ต่างๆ ในส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปและทำให้เล่นได้ง่ายขึ้นก็คือการแฮ็คอุปกรณ์ กล้องวงจรปิดหรือแม้กระทั่งประตูต่างๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้นโดยจะเปลี่ยนจากการต่อท่อน้ำเป็นใช้มิเตอร์เข็มวัดแทน ซึ่งวิธีการใช้งานก็ง่ายๆ เพียงกะจังหวะคลิกตอนเข็มอยู่ตรงบริเวณโซนสีเขียว 2-3 ครั้งก็ใช้ได้แล้ว ในส่วนระบบอื่นๆ ของตัวเกมก็ยังคงคล้ายๆ กับภาคแรกอยู่ครับ
แต่ทั้งนี้ผมขอตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องเข็มทิศนำทางสักเล็กน้อย เพราะผมรู้สึกว่าบางครั้งเข็มมันชี้มั่วมาก ประมาณว่าบอกให้เราไปตรงจุดนี้แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงเข็มก็เปลี่ยนทิศไปทิศ อื่นทั้งๆ ที่ยังไม่มีภารกิจเข้ามา ซึ่งเมื่อหันหลังกลับและเดินไปตามทิศที่ชี้อยู่ เข็มก็เปลี่ยนทิศอีกแล้วแต่คราวนี้ชี้ถูกทาง เล่นเอาผมงงไปเลย
ส่วนของการควบคุมในภาคนี้ปุ่มต่างๆ ทั้งบนคีย์บอร์ดและเมาส์สามารถใช้งานได้คล่องตัวดีครับ อยากการเปลี่ยน Plasmid ก็ทำได้ง่ายๆ เพียงกดปุ่ม Q หรือแม้แต่การเปลี่ยนอาวุธก็สามารถใช้ปุ่มตัวเลขด้านบนแป้นอักษรเปลี่ยนได้ เหมือนเกม FPS ทั่วไปด้วยครับ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าปุ่มต่างๆ ที่เกมให้มานั้นถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่มือด้านซ้ายของเราสามารถกดได้ สะดวกทั้งนั้นครับ
ที่นี้รองมาดูในส่วนของเสียงประกอบรวมถึงดนตรีบ้าง โดยเสียงประกอบ เสียงเอ็ฟเฟ็กต่างๆ ในภาคนี้ผมรู้สึกเฉยๆ และไม่หลอนเหมือนภาคแรกเลยครับ โดยเฉพาะเจ้าพวก Little Sister ที่ดูจะพูดมากเสียเหลือเกิน ทำให้ความหลอนลดไปบ้าง อีกทั้งอาจเพราะภาคนี้เน้นขาย Action เป็นหลักทำให้ผมรู้สึกว่าตลอดเวลาที่เล่นมาผมได้ยินแต่เสียงลูกกระสุนแหวก อากาศหรือเสียงระเบิดตลอดเวลา
แต่ทั้งนี้ใช่ว่าเสียงเอ็ฟเฟ็กที่กล่าวมาจะทำให้บรรยากาศของเกมเปลี่ยนไปนะ ครับ เพราะข้อดีในด้านเสียงที่เป็นจุดเด่นที่สุดของเกมนี้ยังคงมีอยู่ อย่างดนตรี Classic ที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้อย่างชัดเจน โดนเฉพาะเมื่อมันเริ่มบรรเลงพร้อมกับการพบเจอตัวละครแปลกๆ มันทำให้เกิดความเข้ากันแบบหลอนๆ ดีนักแล
ส่วนในเรื่องของเนื้อเรื่องและบทสำหรับภาคนี้ ตามความรู้สึกผมๆ ว่าก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ครับ ถึงแม้จะไม่ปะติดปะต่อกับภาคแรก และออกแนวเป็น Side Story (อารมณ์ประมาณ Crysis Warhead) ก็ตามแต่ทาง 2K ก็ยังวางเนื้อเรื่องบางส่วนให้สอดคล้องกับภาคแรกด้วย ซึ่งงานนี้ผมบอกตรงๆ เลยครับว่าเพราะเกมพยายามบีบบังคับให้เราเล่นแบบเร็วๆ และเป็นเส้นตรง ออกประมาณคล้ายๆ เป็นด่านๆ ไปจบด่านหนึ่งขึ้นเรือต่อด่านสอง ทำให้บางครั้งผมรู้สึกเบื่อๆ และเล่นเกมไปแบบลอยๆ เหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าแตกต่างจากภาคแรก เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมาเนื้อเรื่องก็สะกดให้ผมอยู่ติดหน้าจอไม่ไปไหนแล้ว แต่สำหรับภาคนี้ต้องเล่นไปสักพักผมถึงจะอินกับเนื้อเรื่อง
สุดท้ายสำหรับสิ่งที่ประทับใจใน BioShock 2 นี้ก็คงจะยังอยู่ที่เกมเปิดโอกาสให้เราได้เดินท่องเที่ยวบริเวณด้านนอกอาคาร ได้ (ถึงแม้จะเดินไม่ได้อิสระก็เถอะ) ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้เราได้เห็นปลาแปลกๆ ปะการังสีสวยงาม หรือแม้กระทั่งปลิงทะเลที่ใช้ผลิต Adam อีกทั้งการเดินเรื่องของภาคนี้ยังคงนำเอกลักษณ์ของภาคแรกมาด้วย กล่าวคือการกระทำต่อ Little Sister หรือการเลือกการกระทำบางอย่างในเกมยังมีผลต่อฉากจบที่สามารถเจอทั้ง 4 แบบด้วย
Conclusion
สำหรับบทสรุป BioShock 2 สำหรับผมๆ ว่า "ก็ถือว่าสอบผ่าน" แต่ถ้าถามว่าเล่นจบแล้วอยากกลับไปเล่นอีกรอบผม ผมคงตอบว่า "ไม่แล้วล่ะครับ" เพราะภาคนี้ก็อย่างที่บอกว่า ผมเล่นแล้วบางทีก็อยากให้จบเร็วๆ เพื่อดูบทสรุปมากกว่า (ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากเพราะมันเป็น Side Story ของ BioShock ภาคแรกที่เนื้อเรื่องสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว) ซึ่งผมรู้สึกว่าเล่น BioShock ภาคนี้แล้วเหมือนเล่นเกม Action ผ่านานอย่างไรไม่รู้ ภารกิจบางอย่างก็ดูไม่มีอะไรน่าค้นหามากนัก แต่เห็นผมตั้งแง่ๆมาแต่แรกก็ใช่ว่าตัวเกมจะไม่มีข้อดีเลยนะครับ เพราะถึงเกมจะไม่ถูกใจผม แต่ข้อดีที่ผมรู้สึกชอบและประทับใจในภาคนี้ก็ยังคงอยู่ที่ระบบการเล่นที่ ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Plasmid ที่เพียงแค่กดเมาส์ขวาก็เรียกใช้งานได้ทันที หรือแม้กระทั่งการที่เราเป็น Big Daddy แล้วมีมือสว่านใหญ่ๆ ติดอยู่ก็สร้างความอุ่นใจได้ทุกครั้ง เพราะแน่นอนว่าเจ้ามือสว่านสามารถใช้ได้ไม่มีหมดอยู่แล้ว
Dorapenguin's Note: BioShcok 2 คือเกม Action กลิ่น RPG ที่เล่นสนุกๆ แก้เซ็งได้เหมือนกัน ซึ่งผมว่าสำหรับคะแนน 8 คะแนนที่ให้นั้นอย่างน้อยก็พอบอกกับท่านผู้ชมทุกท่านได้แล้วล่ะครับว่าเกม นี้ก็ไม่ขี้เหร่เท่าไหร่นัก ถึงแม้หลายๆ ส่วนจะอ่อนกว่าภาคแรก แต่สำหรับแฟนซีรีย์ BioShock ก็ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก: http://kawlam.exteen.com/20080123/bi...story-atarukun
---------------------
อ่านรีวิวกันจบแล้วขอความร่วมมือเข้าไปสมัครสมาชิกเว็บ www.gamertechzone.com หน่อยนะจ๊ะ จะกราบขอบพระคุณงามๆ เลยจ้าา ตอนนี้เว็บเพิ่งเปิด โดยตัวเว็บเน้นทางฮาร์ดแวร์ฮาร์ดคอร์ของพีซี และพวกเกมออฟไลน์ครับ ฝากด้วยนะจ้าา อีกหนึ่งช่องทางรับข่าวสาร ขอบคุณมากครับ
Comment