Announcement

Collapse
No announcement yet.

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับลำโพง (ถ้าซำขออภัย)

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับลำโพง (ถ้าซำขออภัย)

    คือผมได้เริ่มสนใจทางด้านเสียงได้ไม่นาน เลยลองศึกษาดู พบว่าข้อมูลเรื่องเสียงนั่นเยอะมาก ไหนจะชนิดของลำโพงอีกเลยเอามาฝากกันครับ ที่มากะเอามาจากเว็บอื่นมาลายๆเว็บ
    เอามาเรียงในกระทู้เดียวเลย
    หลักการทำงานของลำโพง
    เมื่อมีการป้อนสัญญาณไฟฟ้าให้กับขดลวดเสียงของลำโพงหรือมีการนำลำโพงไปต่อกับ เครื่องขยายสัญญาณเสียงจะมีสัญญาณเสียงออกมาที่ลำโพงหลักการคือ เมื่อมีสัญญาณไฟฟ้า
    ป้อนเข้ามาจะเกิดเส้นแรงแม่เหล็กเกิดขึ้นโดยรอบอำนาจ ของเส้นแรงแม่เหล็กจะดูดและผลักกับเส้นของแม่เหล็กถาวรตามสัญญาณไฟฟ้าที่ได้จากความถี่เสียง ซึ่งมีความถี่เสียงตั้งแต่
    20 Hz - 20 KHz ที่มีการเปลี่ยนแปลงเฟสตลอดเวลาทำให้กรวยกระดาษที่ยึดติดกับขดลวดเสียงเกิดการเคลื่อนที่ดูด และผลักอากาศ จึงเกิดเป็นคลื่นเสียงขึ้น
    เสียงเป็นคลื่นตามยาว เสียงแหลมและทุ้มขึ้นกับความถี่ ส่วนสียงดังหรือค่อยขึ้นอยู่กับขนาดแอมพลิจูดของคลื่นนั้น เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไมโครโฟนมีหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงให้เป็นสัญญาณทางไฟฟ้า และนำสัญญาณที่ได้ไปบันทึกลงบนเทปคาสเซ็ท แผ่น CD หรือเครื่องเล่น MP3ซึ่งกำลังฮิตกันอยู่ในปัจจุบันเมื่อเราต้องการนำเสียงที่บันทึกกลับออกมา ภายในเครื่องเล่นเหล่านี้จะมีหัวอ่านคอยอ่านสัญญาณทางไฟฟ้าที่บันทึกอยู่ในเนื้อเทป ซึ่งในขณะที่อ่านยังเป็นสัญญาณที่อ่อนมาก จึงต้องนำเข้าเครื่องขยายสัญญาณก่อน เมื่อได้สัญญาณที่แรงพอแล้วจึงขับออกทางลำโพง กลายเป็นเสียงออกมา
    ส่วนสำคัญที่สุดของเครื่องเล่นเหล่านี้ก็คือลำโพง โดยหน้าที่สำคัญสุดของลำโพงคือ เปลี่ยนสัญญาณทางไฟฟ้าที่ได้มาจากเครื่องขยายเป็นสัญญาณเสียง ลำโพงที่ดีจะต้องสร้างเสียงให้เหมือนกับต้นฉบับเดิมมากที่สุด โดยมีการผิดเพี้ยนน้อยที่สุด

    ประเภทของลำโพง
    ลำโพงเเบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ
    1. ลำโพงฮอร์น (Horn Speake)
    ลำโพงฮอร์นเป็นลำโพงขนาดใหญ่ใช้ในการขยายเสียงทั่วไป มีโครงสร้างเป็น 2 ส่วน คือส่วนหน้าเรียกว่า ฮอร์น(Horn) มีลักษณะเป็นกรวยโลหะปากกว้าง หรือดอกลำโพง
    ส่วนหลังเป็น ส่วนที่ประกอบด้วยแม่เหล็กถาวรและขดลวดเสียง (ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ถ้าบอกว่ามันคือโทรโข่งทุกคนอาจร้องอ๋อเลยกะได้ >_<)
    2. ลำโพงไดนามิก (Dynamic Speake)
    ลำโพงไดนามิก ส่วนมากจะเป็นลำโพงชนิดกรวยกระดาษ ให้เสียงได้หลายระดับ เป็นลำโพงที่ใช้กับโทรทัศน์ วิทยุ เทป และเครื่องเสียงทั่วไป โดยมีขนาดตั้งแต่เล็ก จนถึง
    ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลายสิบนิ้ว มีโครงสร้างที่แตกต่างออกไปซึ่งสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้
    2.1 ลำโพงซับวูฟเฟอร์ คือลำโพงที่ขับความถี่เสียงต่ำสุดต่ำกว่าเสียงปกติกที่หูคนเราจะได้ยิน ตอบสนองความถี่เสียงในช่วงต่ำกว่า 20 Hz
    2.2 ลำโพงวูฟเฟอร์ คือลำโพงขนาดใหญ่สุดของลำโพงไดนามิก ถูกออกแบบมาเพื่อให้เสียงที่มีความถี่ต่ำมีขนาดใหญ่เป็นสิบๆนิ้ว ตอบสนองความถี่เสียงในช่วงประมาณ 20 - 250 Hz
    ลำโพงแบบวูฟเฟอร์ แผ่นลำโพงจะมีขนาดใหญ่ และค่อนข้างนิ่ม จึงสั่นด้วยความเร็วต่ำ เพราะมีมวลมาก
    2.3 ลำโพงมิดเรนจ์ คือลำโพงขนาดกลางของลำโพงไดนามิก ถูกออกแบบมาเพื่อให้เสียงในช่วงความถี่กลางๆ คือไม่ต่ำมากและไม่สูงจนเกินไป ตอบสนองความถี่เสียงในช่วง
    ประมาณ 500 - 5,000 Hz
    2.4 ลำโพงทวีทเตอร์ คือ ลำโพงที่มีขนาดเล็กสุดของลำโพงไดนามิก ถูกออกแบบมาเพื่อให้กำเนิดเสียงความถี่สูงตอบสนองความถี่ 5,000 -20,000Hz
    ลำโพงทวีทเตอร์ เป็นลำโพงที่มีความถี่สูง แผ่นลำโพงมีขนาดเล็กและค่อนข้างแข็ง จึงสามารถสั่นด้วยความเร็วที่สูง บางรุ่นอาจทำเป็นแผ่นโลหะ
    2.5 ลำโพงซูเปอทวีทเตอร์ เป็นลำโพงพิเศษจะมีหรือไม่มีกะได้ ถูกออกแบบมาเพื่อให้กำเนิดเสียงความถี่สูงตอบสนองความถี่ ที่สูงมาก 20,000Hz ขึ้นไป
    (ความถี่นี้สูงเกินกว่าที่หูของคนเราจะได้ยิน หูของคนเรารับได้ตั้งเเต่20-20,000Hz)
    2.6 ลำโพงฟูลเรนจ์ เป็นลำโพงที่ครอบคลุมได้ทั้งหมด หมายถึงครอบคลุมความถี่ที่มนุษย์เราได้ยิน ซึ่งคือ 20-20000Hz แต่ในทางปฏิบัติ ตอบสนอง 60-15000 ก็เรียกกันเป็น
    ฟูลเรนจ์ (ส่วนมากลำโพงคอมทุกรุ่นจะเป็นประเภทนี้)

    ระบบของลำโพง
    หลายๆท่านอาจเคยได้ยินคำว่า ลำโพง 2ทาง-3ทาง บางคนอาจรู้เเล้วเเต่เผื่อท่านที่ยังไม่รู้นะครับ
    ลำโพง2-3ทาง จะประกอบไปด้วยลำโพง2ขนิดขึ้นไป
    ลำโพง2ทาง จะมีขนาดเล็ก-กลาง นิยมกัน 3 เเบบ
    1. ลำโพงทวีทเตอร์+ลำโพงมิดเรนจ์
    2. ลำโพงทวีทเตอร์+ลำโพงวูฟเฟอร์
    3. ลำโพงทวีทเตอร์+ลำโพงฟูลเรนจ์
    ลำโพง3ทาง จะมีขนาด กลาง-ใหญ่
    นิยมจัดกันเเบบเดียวคือ ลำโพงทวีทเตอร์ + ลำโพงมิดเรนจ์ + ลำโพงวูฟเฟอร์
    Crossover คืออะไร
    ครอสโอเวอร์ (Cross over) อุปกรณ์ตัวนี้เป็นตัวแยกสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับให้ออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนความถี่สูง ความถี่ต่ำ และความถี่ขนาดกลาง
    ลำโพงแบบทวีทเตอร์ Cross over จะส่งความถี่สูงให้ ลำโพงวูฟเฟอร์ จะส่งความถี่ต่ำ ส่วนความถี่ในช่วงที่เหลือเป็นของลำโพงแบบมิดเรนส์
    ครอสโอเวอร์แยกออกเป็น 2 แบบ คือ แบบ พาสซีพ (Passive) และ แบบแอคทีฟ (active)
    1. ครอสโอเวอร์แบบแอคทีฟ ไม่ต้องมีแหล่งจ่ายไฟ แต่ใช้พลังงานจากสัญ
    ญาณ เสียงแทน หลักการพื้นฐานของครอสโอเวอร์นั้นประกอบขึ้นด้วย ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนำ และ ตัวเก็บประจุ ต่อขึ้นเป็นวงจรไฟฟ้า ทั้งตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนำจะเป็น
    ตัวนำที่ดีภายใต้เงื่อนไขบางประการ ยกตัวอย่างเช่น ตัวเก็บประจุจะยอมให้ความถี่สูงที่เกินกว่าค่าที่กำหนดผ่านไปได้ แต่ถ้าเป็นความถี่ต่ำกว่าค่าที่กำหนดมันจะไม่ยอมให้ผ่านไป
    ส่วนตัวเหนี่ยวนำจะทำหน้าที่แตกต่างกัน คือจะเป็นตัวนำที่ดีเมื่อความถี่ต่ำ คือมันจะยอมให้ความถี่ต่ำกว่าค่าที่กำหนดผ่านไปได้ และจะไม่ยอมให้ความถี่สูงกว่าค่าที่กำหนดผ่านไป
    สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับที่ผ่านการขยายมาแล้ว จะถูกส่งผ่านไปยังครอสโอเวอร์แบบพาสซีฟ โดยเราจะต่อตัวเก็บประจุไว้ก่อนที่จะเข้าทวีทเตอร์ เพราะจะยอมให้แต่ความถี่สูง
    ผ่านไปได้เท่านั้น ตัวเหนี่ยวนำจะต่อไว้ก่อนจะเข้าวูฟเฟอร์ ส่วนลำโพงมิดเรนส์ จะต่ออยู่กับ ตัวเก็บประจุ และตัวเหนี่ยวนำ โดยต่อเป็นวงจรไฟฟ้า เรียกว่า วงจร L-C และเลือก
    ค่าให้เหมาะสม เพื่อให้ความถี่ในช่วงกลางสามารถผ่านไปได้ (มักพบในตู้ลำโพงที่มีราคาสูง)
    2. ครอสโอเวอร์แบบแอคทีฟ เป็นอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์เหมือนกับครอสโอเวอร์แบบพาสซีฟ แต่ว่าออกแบบซับซ้อนกว่า จึงต้องมีแหล่งจ่ายไฟป้อนพลังงานให้ ครอสโอเวอร์
    แบบนี้จะแยกความถี่ออกก่อนที่จะเข้าเครื่องขยายเสียง ดังนั้นจึงต้องมีเครื่องขยาย 3 อัน แต่ละอันขยายความถี่ในช่วงที่แตกต่างกัน จึงเป็นข้อเสียที่สำคัญประการหนึ่ง แต่มีข้อดี
    มากเมื่อเทียบกับแบบพาสซีฟ และเป็นสิ่งที่เครื่องเสียงราคาเป็นแสนขาดเสียไม่ได้คือ คุณสามารถปรับแต่งความถี่ทุกๆช่วงได้ อย่างไรก็ตามมันมีราคาค่อนข้างแพงจึงใช้กับเครื่อง
    เสียงราคาสูงเสียมากกว่า
    (ลำโพงสองทางบางรุ่น บาง ยี่ห้อ ไม่ใช้ Cross over เเต่ใช้ซี คร่อมมาเลย อันนี้ทางบริษัทเค้าคำนวนมาเเล้วว่าลำโพงตัวนี้ถ้าใช้ ซี ค่านี้จะลงตัวที่สุด เลยไม่ได้ใส่ Crossover
    มาให้เปลืองต้นทุน ส่วนมาก Crossover มักใช้ในกลุ่มคนนที่ทำลำโพงใช้เอง เนื่องจากต้นทุนสูงมีราคาเเพง)



    เรื่องของ Super Tweeter
    ก่อนอื่นต้องทราบเหตุผลกันก่อนว่า ทำไม Super Tweeter จึงมีความสำคัญมากนัก จำเป็นต้องมี จำเป็นต้องใช้เพราะอะไร
    ความเข้าใจแรกของ Super Tweeter ก็คือ อุปกรณ์ที่มาช่วยขยายช่วงตอบสนองความถี่เสียงของลำโพงให้สามารถตอบสนองได้มากกว่า 20,000 Hz ใช่หรือไม่? คำตอบก็คือ ?ใช่?
    คำถามต่อมาก็คือ ทำไมต้องขยายการตอบสนองความถี่เสียงออกไปให้มากกว่า 20,000 Hz ด้วยล่ะ ถึงขยายออกไปก็ไม่ได้ยินอยู่ดี ถ้าตอบอย่างง่ายๆก็คือ หากลำโพงสามารถตอบสนองความถี่เสียงได้กว้างกว่า 20,000 Hz ก็จะช่วยให้คุณภาพเสียงที่เราได้ยินตั้งแต่ 20Hz-20,000 Hz นั้นมีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าจะให้สรุปก็คือ เราเล่น Super Tweeter ไม่ได้มาฟังช่วงความถี่เสียงที่เราไม่สามารถได้ยิน แต่เราเล่น Super Tweeter ก็เพื่อให้ช่วงความถี่เสียงที่เราได้ยินนั้น มีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนลำโพง เปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องเสียงใด เปลี่ยนสายนำสัญญาณ สายลำโพง หรือสายไฟเอซีเลยแม้แต่น้อย
    คำถามต่อมาก็คือ การตอบสนองความถี่เสียงมากกว่า 20,000 Hz ช่วยให้เสียงดีขึ้นได้อย่างไร เรามาลองศึกษาเรื่องเสียงดนตรีกันก่อน เสียงดนตรีที่เราได้ยินจะประกอบด้วยริทึ่ม(Rhythm) และระดับเสียง(Pitch) ซึ่งระดับเสียง(Pitch) จะฮธิบายถึงโทนเสียงในแต่ละโน้ตนั้นมีโทนเสียงแตกต่างกันอย่างไร ช่วงริทึ่มจะบอกถึงช่วงการเกิดขึ้นโทนเสียงจากโน้ตตัวแรกไปจนถึงโน้ตตัวสุดท้าย หรือช่วงการเกิดขึ้นของความถี่เสียงแรกที่เกิดขึ้นไปจนถึงความถี่สุดท้ายซึ่งเรามักเขาใจกันว่า ?ฮาร์มอนิกส์? นั้นเอง
    หากจะบอกว่าริทึ่มจะนับตั้งแต่ความถี่เสียงแรก(Fundamental Frequency)ไปจนถึงความถี่เสียงสุดท้ายทางฮาร์มอนิกส์สเปคตรัมก็ไม่ผิดนัก ในแต่ละความถี่เสียงเชิงฮาร์มอนิกส์ย่อมมีขนาดแอมปลิจูดของคลื่นเสียงและความถี่เสียงที่แตกต่างกันไป ทำให้เกิดโทนเสียงที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงความถี่บนฮาร์มอนิกส์สเปคตรัม
    สมมติว่า เราดีดสายกีต้าร์ขึ้นมาหนึ่งเส้นหนึ่งครั้ง โทนเสียงที่เราได้ยินครั้งแรกเราเรียกว่าโทนเสียงพื้นฐานของเสียงกีต้าร์เส้นที่ถูกดีดนั้น ซึ่งเป็นโทนเสียงที่ดังที่สุดของฮาร์มอนิกส์สเปคตรัมของเสียงกีต้าร์เส้นนี้ว่าโทนเสียงจากความถี่เสียงพื้นฐาน(Fundamental Frequnecy) หลังจากเกิดเสียงแรกแล้วเส้นกีต้าร์ก็จะสั่นด้วยความเร็วที่สูงขึ้นก่อให้เกิดฮาร์มอนิกส์สเปคตรัมออกมา แต่ละความถี่เสียงบนฮาร์มอนิกส์สเปคตรัมก็จะมีโทนเสียงที่กิดจากโน้ตเสียงที่แตกต่างกันออกไปตามขนาดของความสูงคลื่นเสียง(Amplitude)บนความถี่เสียงที่เกิดตลอดช่วงฮาร์มอนิกส์ ช่วงเวลาความถี่เสียงเสียงที่เกิดขึ้นตั้งแต่โทนเสียงจากโน้ตตัวแรกไปจนถึงความถี่เสียงสุดท้ายของปลายฮาร์มอนิกส์สเปคตรัม เราเรียกว่า ?ริทึ่ม? และความถี่เสียงสุดท้ายของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดมักจะเลยความถี่เสียงตั้งแต่ 20,000 Hz ทั้งสิ้น เครื่องดนตรีบางชนิดความถี่เสียงเลยไปสิ้นสุดที่ 100,000 Hz ก็มี
    ในแง่ของความแตกต่างของโทนเสียงในแต่ละโน้ตที่เกิดขึ้นบนริทึ่มสามารถให้ความแตกต่างได้อย่างชัดเจน นั้นก็หมายความว่าขนาดของคลื่นและความถี่เสียงสามารถแสดงออกมาได้ชัดเจน ตั้งแต่ความถี่เสียงแรกที่เกิดขึ้นไปจนถึงความถี่เสียงสุดท้ายของปลายฮาร์มอนิกส์สเปคตรัม นั้นก็คือการสื่อถึงคุณสมบัติทิมเบอะ(Timbre) ที่ดีนั้นเอง
    ทิมเบอะนี้สามารถทำให้เราสามารถแยกแยะเสียงได้ชัดเจนว่าเรากำลังฟังเครื่องดนตรีอะไร เสียงนั้นมาจากเครื่องดนตรีประเภทไหน ถ้าเป็นเสียงกีต้าร์ก็บอกได้ว่าเป็นเสียงอะคูสติกกีต้าร์หรือเสียงจากกีต้าร์ไฟฟ้า หรือบอกความแตกต่างของโทนเสียงจากโน้ตระหว่างของโวโลอินแต่ละยี่ห้อแต่ละเกรดในแต่ละระดับราคาได้อย่างชัดเจน
    การตอบสนองความถี่เสียงหากไม่สามารถตอบวนองให้ได้จนถึงปลายสุดของฮาร์มอนิกส์สเปคตรัม ก็จะก่อให้เกิดการเลื่อนตัวทางเฟสของความถี่เสียงทำให้เกิดจากผิดเพี้ยนทั้งขนาดของรูปคลื่นและความถี่เสียง ทำให้โทนเสียงแต่ละโน้ตดนตรีเกิดความผิดเพี้ยนไปด้วย ทิมเบอะก็เสียทำให้การแยกแยะความแตกต่างในโทนเสียงของแต่ละโน้ตของแต่ละเครื่องดนตรีแย่ลงเช่นกัน Super Tweeter จึงมาช่วยลดความผิดเพี้ยนในเรื่องนี้ลง ทำให้โทนเสียงในแต่ละโน้ตสามารถแยกแยะความแตกต่างได้ง่ายยิ่งขึ้นมีความผิดพลาดน้อยลง
    Super Tweeter ที่ดีต้องมีน้ำหนักเบาและแม่เหล็กที่ใช้งานต้องดีมีคุณภาพถึงจะสามารถสร้างอัตราเร่งของสัญญาญเสียงในช่วงของ Leading Edge ได้อย่างสมบูรณ์
    Leading Edge คืออะไร กลับไปเสียงจากการดีดเส้นสายกีต้าร์ ก่อนที่เราจะได้ยินเสียงกีต้าร์ซึ่งเกิดจากความถี่พื้นฐาน(Fundamental Frequency)นั้น เราจะได้ยินเสียงกระแทก(Attack)สายกีต้าร์เกิดขึ้นมาก่อน เป็นลักษณะโทนเสียงที่เกิดขึ้นนี้ จะขึ้นอย่างฉับไวในระยะช่วงเวลาสั้น เป็นช่วงพีคของสัญญาณของความถี่เสียงสูงเหมือนสไปก์ของระดับพลังงานคลื่นที่ถูกกระแทกขึ้นมาอย่างฉับพลันและรุนแรง คลื่นพลังานความถี่เสียงตรงนี้เราเรียกว่า ?Leading Edge? มีความสำคัญเพราะจะเก็บข้อมูลของริทึ่มและระดับเสียงของเสียงเครื่องดนตรีที่จะตามออกมา หากลำโพงไม่สามารถตอบสนองความถี่เสียงได้มากกว่า 20,000 Hz คลื่นพลังงานที่เราเรียกว่า Leading Edge แทบเกิดขึ้นไม่ได้เลย หรืออาจจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นได้ช้าและดูเหมือนจุดสูงสุดของสไปก์ที่ต้องถูกกระแทกขึ้นไปนั้น ไปได้ไม่สุด ทิมเบอะต่างๆในหนึ่งช่วงริทึ่มหรือโทนเสียงของแต่ละโน้ตก็ผิดเพี้ยนไปหมดเช่นกัน ความผิดเพี้ยนของของ Leading Edge ยังเกิดจากการขยายของแอมป์ด้วยเช่นกันว่ามีศักยาภาพจะให้สอดคล้องกับความเป็นจริงได้มากขนาดไหน แต่จริงๆแล้วพื้นฐานก็ต้องมาจากลำโพงต้องสามารถตอบสนองความถี่เสียงได้มากกว่า 20,000 Hz เสียก่อน เพราะสิ่งเหล่านี้จะบ่งบอกถึงความสมจริงและความเป็นธรรมชาติของเสียงได้อย่างชัดเจน
    เครดิจจาก ท่าน J.Teerawat

    ว่าด้วยเรื่องของ จานรองสไปค์ เดือยเเหลมใต้ลำโพง ไม่ใช่เดือยไก่นะ *0*

    ปัญหาที่พบเจอมานั้นเป็นเรื่องของการเซ็ทอัพลำโพงเป็นสำคัญ โดยเฉพาะกับลำโพงที่มีขนาดใหญ่หรือลำโพงแบบตั้งพื้น ยิ่งเป็นลำโพง ProAc Studio 125 ด้วยแล้วยิ่งต้องใส่ใจในเรื่องการจัดวางเป็นพิเศษครับ ใส่ SPIKE กับไม่ใส่มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร ? คำตอบคือ ลำโพงถือว่าเป็น Active Device ชนิดหนึ่ง หมายถึงว่าลำโพงนั้นรับพลังงานมาในรูปแบบของกระแสสัญญาณจากภาคขยายหรือแอมปลิฟายเออร์ แล้วแปรเปลี่ยนรูปแบบพลังงานดังกล่าวมาเป็นคลื่นเสียงผ่านตัวไดรเวอร์ การเกิดเสียงของไดรเวอร์นั้นมาจากการขยับตัวเพื่อให้เกิดแรงผลักของอากาศทำให้เกิดเป็นเสียงให้เราได้ยิน ถ้าเราเร่งระดับความดังมากขึ้น ไดรเวอร์ก็ต้องทำงานหรือขยับตัวมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการจะให้ไดรเวอร์ขยับตัวได้ดีและมีความถูกต้อง ตัวตู้ของลำโพงจะต้องวางอยู่บนพื้นด้วยความมั่นคงและมีความนิ่งสูงสุด ไม่มีอาการโยกเยก สั่นคลอนไปตามการทำงานของไดรเวอร์ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพง่ายๆก็คือ ให้คิดว่าถ้าคุณจะยิงปืน จำเป็นไหมที่คุณจะต้องยืนให้มั่งคงที่สุดเพื่อที่จะได้เล็งและยิงให้ถูกเป้า ในทางกลับกันถ้าคุณยืนไม่นิ่ง ไม่ตั้งท่าใดๆ เพียงแค่ยืนตรงแล้วลองยิงปืนดู ผลที่ได้จะออกมาเป็นเช่นไร คำตอบคือคุณจะถูกแรงผลักของปืน( หรือที่เขาเรียกกันว่าแรงถีบของปืน )ที่สะท้อนกลับทำให้ต้องเซถอยหลังไปหลายก้าว หรือดีไม่ดีอาจจะล้มทั้งยืนก็เป็นได้ ลำโพงเองก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าการขยับหรือการเคลื่อนตัวของตู้ลำโพงนั้น อาจจะสังเกตได้ยากกว่าอีกทั้งขนาดและน้ำหนักของตู้ลำโพงนั้นมักจะทำให้เราเข้าใจว่าเมื่อจัดวางแล้ว มันก็จะอยู่นิ่งๆไม่เคลื่อนไหวใดๆ เลย หลายคนอาจจะไม่เคยคิดเลยว่าตู้ลำโพงมันขยับหรือสั่นซะด้วยซ้ำ ดังนั้นการใส่ SPIKE หรือเดือยแหลมใต้ลำโพงจึงทำหน้าที่สำคัญในการช่วยให้ลำโพงนั้นวางได้อย่างมั่นคงและแข็งแรงขึ้น สามารถที่จะรับมือกับการขยับตัวของไดรเวอร์ได้เป็นอย่างดี เมื่อลำโพงสามารถวางได้นิ่ง(จริงๆ)แล้ว คุณภาพเสียงที่ได้ยินก็จะมีรายละเอียดรวมทั้งความสดใสที่มาพร้อมกับการแยกแยะตำแหน่งหรือโฟกัสของชิ้นดนตรีต่างๆได้ดีขึ้นมากครับ
    ใครมีอะไรเพิ่มเติมกะใส่มาได้นะครับ ผมเอาจากเว็บอื่นมาเเบ่งปันกันครับ
    Last edited by yomojiyako; 13 Jul 2015, 22:30:04.
Working...
X