วันนี้มีเรื่องเล่าน่าติดตามมาเล่าให้ฟังครับ
หลายๆท่านช่วงหลังๆอ่านรีวิวของผมอาจจะเบื่อ อาจจะบอกว่าโอ๊ย DAC แต่ละตัวราคาสูงไป
รีวิวของราคาหลักพันต้นๆหรือหลักร้อยบ้างได้ไหม มีแต่ของรีวิวหลักเหยียดๆหมื่นทั้งนั้น
ผมเลยจัดให้ครับ คราวนี้เป็นการเป็นการประชันกันระหว่างของแถมและของถูก อิอิ

ไหนๆช่วงนี้ผมบ้า DAC ก็เลยจัด USB มาเล่นซะเลย แต่บอกไว้ก่อนว่าผมใช้แต่ของถูกนะ
ของแพงผมไม่มีปัญญาซื้อมาลองครับ วันนี้ไม่ได้มาแบบ A-B Test แต่วันนี้มาแบบ A-B-C-D Test เลยครับ
------------------------
ก่อนจะไปดูเนื้อหาอื่นๆ ผมขอสอดแทรกเนื้อหาเล็กๆน้อยๆก่อนครับว่าทำไม USB ถึงมีผลต่อเสียง
หลายๆท่านอาจจะหาว่าพวกเล่นเครื่องเสียงแล้วเลือกซื้อสาย USB หลักพันหรือหลักหมื่นนั้นเสียเงินฟรี
เพราะท่านคิดว่ามันเป็นการส่ง DATA ธรรมดาๆ
ผมจะนำข้อมูลมาเสนอให้ได้อ่านและพิจารณาดูกันก่อนนะครับ ซึ่งผมจะข้อพูดแบบบ้านๆละกันครับ
เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้เรื่องการส่ง data ลึกซึ้งอะไร และท่านอื่นๆจะได้อ่านแล้วเข้าใจง่ายด้วย
แล้วหลักจากท่านอ่านแล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันว่า ท่านคิดว่าอย่างไร ท่านยอมรรับกันไหม
ถ้าท่านยอมรับหรือเปิดใจก็อ่านต่อได้เลย แต่หากท่านไม่เชื่อหรือไม่เห็นด้วยไม่ว่าจะเหตุผลใดๆก็ตาม
ขอให้ท่านกดปิดรีวิวนี้ได้เลยครับ จะได้ไม่ต้องอ่านให้เสียเวลาและมาคิดว่าพวกผมนั้นบ้าหรือเพี้ยนครับ
ก่อนอื่นผมอยากให้แยกการการส่งข้อมูลผ่านทางช่อง USB ก่อนครับ
ปกติแล้วการส่งข้อมูลผ่านทางสาย USB มีหลายแบบ แต่ผมขอยกตัวอย่างแค่ 2 แบบละกันครับ
- แบบแรกที่ผมเลือกมาคือแบบที่เราโอนย้ายข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอก หรือการย้ายที่อยู่ไฟล์
- แบบที่สองที่คือการเล่นไฟล์แบบ realtime เน้นย้ำกันอีกรอบว่า realtime นะครับ
มันต่างกันอย่างไร หลายๆท่านอาจจะบอกว่าผม copy ไฟล์ไป มันก็สมบูรณ์ดีนิ ไม่เห็นจะเพี้ยนเลย
แล้วเอาสายถูกๆมาเล่นไฟล์เพลง เสียงมันจะแย่กว่าสายแพงๆได้อย่างไร
ผมอธิบายอย่างง่ายๆว่าการโอนถ่ายข้อมูลหรือย้ายไฟล์ต่างๆ คอมพิวเตอร์จะมีการเช็คข้อมูล
คือโอนถ่ายข้อมูลไปก็เช็คไปด้วยว่าปลายทางที่รับนั้นได้ข้อมูลเหมือนต้นฉบับหรือไม่
ถ้าข้อมูลตรงกันก็จะส่งข้อมูลชุดต่อไป แต่หากข้อมูลไม่ตรงกันก็จะทำการส่งข้อมูลชุดเดิมซ้ำจนกว่าจะเหมือนเดิม
ดังนั้นการตัดลอกไฟล์หรือการย้ายโอนไฟล์ต่างๆจะไม่มีปัญหาเลยครับ
ส่วนการเล่นไฟล์แบบ realtime นั้นอย่างที่พวกผมทำอยู่คือการเล่นเพลงผ่านสาย USB มาเข้าที่ DAC
ซึ่งการเล่นไฟล์แบบนี้เป็นการส่งข้อมูลที่ realtime ครับ คือจะไม่มีการเช็คข้อมูลใดๆทั้งสิ้น
นั่นหมายถึงว่าตัวส่งก็มีหน้าที่ส่งอย่างเดียว ตัวรับก็มีหน้าที่รับอย่างเดียว
ไม่มีใครมาคอยตรวจสอบว่าข้อมูลที่ปลายทางจะเหมือนข้อมูลจากต้นฉบับหรือเปล่า
ดังนั้นหากมีข้อมูลผิดเพี้ยนไปเมื่อ DAC รับข้อมูลมาแล้วก็ต้องเล่นไปตามระเบียน ไม่มีการร้องขอข้อมูลชุดเดิม
ลองคิดเล่นๆว่าถ้ามีการร้องขอข้อมูลชุดเดิมแล้วเวลาเล่นเพลงจะเป็นอย่างไรหากข้อมูลผิดพลาด
มันก็คงต้องหยุดเล่น หรือเพลงขาดหายไป ดังนั้นสาย USB ที่มีคุณภาพที่ดีกว่าก็จะสามารถโอนถ่ายข้อมูลได้ดีกว่า
เอาแค่นี้พอ เล็กๆน้อยๆ ให้เข้าใจง่ายๆครับ พวก jitter หรือ clock เรายังไม่พูดถึงกัน เพราะผมก็ไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆๆ
ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากอากู๋นะครับ นอกจากนี้ยังมีเรื่องกระแสไฟอีกครับ
เพราะภายในสาย USB 2.0 จะมีสายตัวนำ 4เส้นด้วยกัน 2เส้นไว้รับส่งข้อมูล
ส่วนอีกสองเส้นเป็นไฟ 5V ซึ่งถ้าสาย USB ไม่มีไฟ 5V นี่อุปกรณ์ก็จะไม่สามารถทำงานได้
ไม่ว่า DAC ตัวนั้นจะต้องต่อไฟเพิ่มหรือไม่ก็ตามครับ ใครเล่นเครื่องเสียงจะรู้ดีกว่า
ระบบไฟนั้นเป็นหัวใจหลักอย่างนึงของเครื่องเสียงเลยทีเดียว
ดังนั้นสาย USB ที่จ่ายไฟได้ดีย่อมให้เสียงที่ดีตามไปด้วย
เอาแค่นี้แหละ พอหอมปากหอมคอ
------------------------------------
หลังจากโม้เรื่องหลักการไปแล้วทีนี้มาชมชุดทดสอบของผมกันดีกว่า
ชุดทดสอบของผมวันนี้เพรียมพร้อมหน่อยครับมาเต็มกำลังด้วยชุดสองชุด เรียกว่าจัดเต็ม !!!
ชุดแรกทุกท่านคงคุ้นเลยนะครับประกอบไปด้วย
DDC : Musiland 01 US
Coaxial Cable : Veloce Black cat
DAC : Audio-GD NFB7
Int Amp : Moon i.5 (ชื่อใหม่ 220i)
Speaker : Usher s520 signature + ขาตั้ง KTT 4 เสารุ่น U24
Speaker Wire : Viablue SC-2
RCA Cable : DIY
สายไฟใช้ของแถม
ชุดที่สองประกอบด้วย
DDC : Musiland 01 US
DAC : Audio-GD NFB11
Headphone : ATH AD-700
ว่าแล้วเรามาดูของที่ทดสอบกันครับ
ประกอบไปด้วยสาย USB 4เส้น
- เส้นแรกได้แก่ USB แถมจาก Musiland 01 US
- เส้นที่สองคือ USB สีฟ้าๆหาซื้อได้ทั่วไป
- เส้นที่สาม USB ยี่ห้อดัง หาซื้อได้ไม่ง่ายเท่าไหร่ ยี่ห้อนี้นามว่า OKER
- เส้นสุดท้าย USB แถมจาก Audio-GD NFB7
-----------------------------
มาลองดูเส้นแรกกันก่อน USB แถมจาก Musiland


เป็น USB แถมที่สั้นมากครับ ไม่รู้จะงกไปไหน ทั้งเส้นยาวแค่ 30cm
เส้นนี้แนวเสียงประมาณว่า เบสมากทิ้งหางเสียงครางไว้ให้ชม เสียงเปียโน กลวงๆหน่อย
แต่มันก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบครับ บางทีผมก็ชอบเส้นนี้เหมือนกันนะ
-----------------------------
ต่อกันด้วยเส้นที่สองเลยละกัน


เส้นนี้ยาวประมาณ 1.5m ในราคาประมาณ 100 บาท
ผมเห็นหลายๆท่านนิยมเอาไปลากยาวๆใช้กับ HDD Docking กัน
เส้นนี้ให้เสียงเบสที่บางลงปลายเสียงค่อนข้างแข็ง แต่มีความโปร่งในตัว เสียงสูงพริ้วไหว
เบสกระชับค่อนข้างมาก เส้นนี้ก็มีดีไม่น้อยเช่นกัน โดยรวมแล้วดีกว่าเส้นแรกเกือบทุกประการ
ฟังครั้งแรกถึงกับติดใจ แต่พอลองเรรื่อยๆ ยังไม่ถึงกับใช่ซะทีเดียว
-----------------------------
มาถึงเส้นทีสาม เส้นนี้เป็นยี่ห้อดังจากจีน นั่นตือ OKER นั่นเองครับ

เส้นนี้ยาวประมาณ 1.5m ผมได้มาในราคาประมาณ 150บาทครับ
ตัวสายเป็นสีน้ำตาลใสๆ หัวชุบทอง และมี ferrite ติดมาด้วย

อ่อมาถึงตรงนี้ผมขอนอกเรื่องนิดนึงครับ เวลาไปซื้อสายถูกๆ
คนขายมักจะบอกว่าสายนี้หัวชุบทองอย่างดี แถมเป็นสายถัก คุณภาพสูงแน่นอน
คือผมอยากจะบอกว่าเรื่องหัวชุบทองนั้น สายถูกๆไม่ได้ใช้ทองคำหรือทอง 24kนะครับ
ใช้ทองอะไรผมก็ไม่รู้แหละ อาจจะเป็นทองเหลืองผสมอะไรก็ว่ากันไปครับ แบบหัวทองของ OKER นั่นก็ใช่เลยครับ
เป็นทองอะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่ทองที่ใช้ในงาน Audio Grade แน่ๆ
ส่วนเรื่องสายถัก คือปัจจุบันคนเราเรียกผิดกันไปหมดแล้วครับ สายถักของพ่อค้าคือแบบนี้
แบบนี้ไม่ได้เรียกสายถักนนะครับ แบบนี้เรียกหุ้มตาข่ายหรือหนังงู
ซึ่งตาข่ายที่ใช้ในสายราคาถูกก็ทำจากพลาสติกครับ
ไม่มีคุณสมบัติป้องกันคลื่นใดๆทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากเป็นตาข่ายที่ใช้ในอุปกรณ์ Audio
นั้นจะมีคุณสมบัติป้องกันคลื่นรบกวนบางชนิดได้ครับ
ซึ่งสายถักของแท้ต้องหน้าตาประมาณนี้ครับ คือเอาสายตัวนำมาถักกัน ไม่ใช่เอาฉนวนมาถักกันครับ
ซึ่งในรูปที่ผมนำมาให้ดูเป็นการถักแบบ 3เส้นและ 8เส้นครับ
ดังนั้นเวลาไปซื้อก็ได้หลงเชื่อคำกล่าวอ้างของพ่อค้าที่ขาดความรู้นะครับ อิอิ
ขอกลับเข้าฝั่งก่อนออกไปอ่าวไทย -*-
สายของ Oker นั้นให้เสียงที่มีเนื้อมากที่สุดในบรรดาสาย USB 4เส้นนี้
แถมเบสก็ไม่ครางเหมือนสายแถมของ Musiland นะจ๊ะ มิติและความโปร่งยังสู้เส้นสีน้ำเงินไม่ได้
สรุปว่าเส้นนี้ได้เนื้อและได้ความอุ่นเพิ่มมาอีกนิดนึง
-----------------------------
สุดท้ายสายแถมของ Audio-GD ซึ่งแถมมากับ NFB7


เป็นสายหน้าตาบ้านๆ
เส้นนี้มีทีเด็ดคือมีไดนามิคที่ดี ไล่ความดังเบาได้ดีที่สุดใน 4เส้นที่ทดสอบ
และยังมีการแยกมิติที่เด็ดขาดที่สุดในบรรดา 4เส้นนี้มากที่สุดอีกเช่นกัน
ส่วนเรื่องน้ำเสียงก็ละม้ายคล้ายเส้นสีน้ำเงินครับเพียงแต่ปลายแหลมนั้นมีความเป็นประกายมากกว่า
-----------------------------
สรุปส่งท้าย ไม่ใช่ว่าสายเส้นไหนจะดีที่สุดนะครับ
เพียงแต่สายแต่ละเส้นก็มีบุคลิกต่างกัน เราก็ควรจะจับคู่ให้เหมาะสมกับชุดของเราครับ
อย่างผมผมเลือกเส้นแถมจาก Audio-GD มาแมชกับชุดวางหิ้งของผม
แต่ถ้าใช้กับชุดหูฟังผมก็อยากใช้ Oker มากกว่า แต่ติดที่ว่าผมต้องเลือกเพียงเส้นเดียว
ดังนั้นผมก็สลับๆกันใช้ไปนั่นแหละครับทั้งสองเส้น ฮ่าๆ
สรุปว่าของแถมและของถูกก็มีดีเหมือนกัน อย่าไปมองข้ามมันเชียวนะครับ
ไม่ว่าจะของแถมหรือของถูก ถ้าเราพอใจกับมัน เราก็ใช้งานมันได้อย่างไม่มีเคอะเขิลแน่นอนจ้า
จบละครับสำหรับรีวิวของคนงบน้อยในวันนี้ ไว้พบกันใหม่ฉบับหน้าจ้า สวัสดีครับ
เครดิต : http://laohaifang.com/node/90
หลายๆท่านช่วงหลังๆอ่านรีวิวของผมอาจจะเบื่อ อาจจะบอกว่าโอ๊ย DAC แต่ละตัวราคาสูงไป
รีวิวของราคาหลักพันต้นๆหรือหลักร้อยบ้างได้ไหม มีแต่ของรีวิวหลักเหยียดๆหมื่นทั้งนั้น
ผมเลยจัดให้ครับ คราวนี้เป็นการเป็นการประชันกันระหว่างของแถมและของถูก อิอิ
ไหนๆช่วงนี้ผมบ้า DAC ก็เลยจัด USB มาเล่นซะเลย แต่บอกไว้ก่อนว่าผมใช้แต่ของถูกนะ
ของแพงผมไม่มีปัญญาซื้อมาลองครับ วันนี้ไม่ได้มาแบบ A-B Test แต่วันนี้มาแบบ A-B-C-D Test เลยครับ
------------------------
ก่อนจะไปดูเนื้อหาอื่นๆ ผมขอสอดแทรกเนื้อหาเล็กๆน้อยๆก่อนครับว่าทำไม USB ถึงมีผลต่อเสียง
หลายๆท่านอาจจะหาว่าพวกเล่นเครื่องเสียงแล้วเลือกซื้อสาย USB หลักพันหรือหลักหมื่นนั้นเสียเงินฟรี
เพราะท่านคิดว่ามันเป็นการส่ง DATA ธรรมดาๆ
ผมจะนำข้อมูลมาเสนอให้ได้อ่านและพิจารณาดูกันก่อนนะครับ ซึ่งผมจะข้อพูดแบบบ้านๆละกันครับ
เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้เรื่องการส่ง data ลึกซึ้งอะไร และท่านอื่นๆจะได้อ่านแล้วเข้าใจง่ายด้วย
แล้วหลักจากท่านอ่านแล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันว่า ท่านคิดว่าอย่างไร ท่านยอมรรับกันไหม
ถ้าท่านยอมรับหรือเปิดใจก็อ่านต่อได้เลย แต่หากท่านไม่เชื่อหรือไม่เห็นด้วยไม่ว่าจะเหตุผลใดๆก็ตาม
ขอให้ท่านกดปิดรีวิวนี้ได้เลยครับ จะได้ไม่ต้องอ่านให้เสียเวลาและมาคิดว่าพวกผมนั้นบ้าหรือเพี้ยนครับ
ก่อนอื่นผมอยากให้แยกการการส่งข้อมูลผ่านทางช่อง USB ก่อนครับ
ปกติแล้วการส่งข้อมูลผ่านทางสาย USB มีหลายแบบ แต่ผมขอยกตัวอย่างแค่ 2 แบบละกันครับ
- แบบแรกที่ผมเลือกมาคือแบบที่เราโอนย้ายข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอก หรือการย้ายที่อยู่ไฟล์
- แบบที่สองที่คือการเล่นไฟล์แบบ realtime เน้นย้ำกันอีกรอบว่า realtime นะครับ
มันต่างกันอย่างไร หลายๆท่านอาจจะบอกว่าผม copy ไฟล์ไป มันก็สมบูรณ์ดีนิ ไม่เห็นจะเพี้ยนเลย
แล้วเอาสายถูกๆมาเล่นไฟล์เพลง เสียงมันจะแย่กว่าสายแพงๆได้อย่างไร
ผมอธิบายอย่างง่ายๆว่าการโอนถ่ายข้อมูลหรือย้ายไฟล์ต่างๆ คอมพิวเตอร์จะมีการเช็คข้อมูล
คือโอนถ่ายข้อมูลไปก็เช็คไปด้วยว่าปลายทางที่รับนั้นได้ข้อมูลเหมือนต้นฉบับหรือไม่
ถ้าข้อมูลตรงกันก็จะส่งข้อมูลชุดต่อไป แต่หากข้อมูลไม่ตรงกันก็จะทำการส่งข้อมูลชุดเดิมซ้ำจนกว่าจะเหมือนเดิม
ดังนั้นการตัดลอกไฟล์หรือการย้ายโอนไฟล์ต่างๆจะไม่มีปัญหาเลยครับ
ส่วนการเล่นไฟล์แบบ realtime นั้นอย่างที่พวกผมทำอยู่คือการเล่นเพลงผ่านสาย USB มาเข้าที่ DAC
ซึ่งการเล่นไฟล์แบบนี้เป็นการส่งข้อมูลที่ realtime ครับ คือจะไม่มีการเช็คข้อมูลใดๆทั้งสิ้น
นั่นหมายถึงว่าตัวส่งก็มีหน้าที่ส่งอย่างเดียว ตัวรับก็มีหน้าที่รับอย่างเดียว
ไม่มีใครมาคอยตรวจสอบว่าข้อมูลที่ปลายทางจะเหมือนข้อมูลจากต้นฉบับหรือเปล่า
ดังนั้นหากมีข้อมูลผิดเพี้ยนไปเมื่อ DAC รับข้อมูลมาแล้วก็ต้องเล่นไปตามระเบียน ไม่มีการร้องขอข้อมูลชุดเดิม
ลองคิดเล่นๆว่าถ้ามีการร้องขอข้อมูลชุดเดิมแล้วเวลาเล่นเพลงจะเป็นอย่างไรหากข้อมูลผิดพลาด
มันก็คงต้องหยุดเล่น หรือเพลงขาดหายไป ดังนั้นสาย USB ที่มีคุณภาพที่ดีกว่าก็จะสามารถโอนถ่ายข้อมูลได้ดีกว่า
เอาแค่นี้พอ เล็กๆน้อยๆ ให้เข้าใจง่ายๆครับ พวก jitter หรือ clock เรายังไม่พูดถึงกัน เพราะผมก็ไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆๆ
ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากอากู๋นะครับ นอกจากนี้ยังมีเรื่องกระแสไฟอีกครับ
เพราะภายในสาย USB 2.0 จะมีสายตัวนำ 4เส้นด้วยกัน 2เส้นไว้รับส่งข้อมูล
ส่วนอีกสองเส้นเป็นไฟ 5V ซึ่งถ้าสาย USB ไม่มีไฟ 5V นี่อุปกรณ์ก็จะไม่สามารถทำงานได้
ไม่ว่า DAC ตัวนั้นจะต้องต่อไฟเพิ่มหรือไม่ก็ตามครับ ใครเล่นเครื่องเสียงจะรู้ดีกว่า
ระบบไฟนั้นเป็นหัวใจหลักอย่างนึงของเครื่องเสียงเลยทีเดียว
ดังนั้นสาย USB ที่จ่ายไฟได้ดีย่อมให้เสียงที่ดีตามไปด้วย
เอาแค่นี้แหละ พอหอมปากหอมคอ
------------------------------------
หลังจากโม้เรื่องหลักการไปแล้วทีนี้มาชมชุดทดสอบของผมกันดีกว่า
ชุดทดสอบของผมวันนี้เพรียมพร้อมหน่อยครับมาเต็มกำลังด้วยชุดสองชุด เรียกว่าจัดเต็ม !!!
ชุดแรกทุกท่านคงคุ้นเลยนะครับประกอบไปด้วย
DDC : Musiland 01 US
Coaxial Cable : Veloce Black cat
DAC : Audio-GD NFB7
Int Amp : Moon i.5 (ชื่อใหม่ 220i)
Speaker : Usher s520 signature + ขาตั้ง KTT 4 เสารุ่น U24
Speaker Wire : Viablue SC-2
RCA Cable : DIY
สายไฟใช้ของแถม
ชุดที่สองประกอบด้วย
DDC : Musiland 01 US
DAC : Audio-GD NFB11
Headphone : ATH AD-700
ว่าแล้วเรามาดูของที่ทดสอบกันครับ
ประกอบไปด้วยสาย USB 4เส้น
- เส้นแรกได้แก่ USB แถมจาก Musiland 01 US
- เส้นที่สองคือ USB สีฟ้าๆหาซื้อได้ทั่วไป
- เส้นที่สาม USB ยี่ห้อดัง หาซื้อได้ไม่ง่ายเท่าไหร่ ยี่ห้อนี้นามว่า OKER
- เส้นสุดท้าย USB แถมจาก Audio-GD NFB7
-----------------------------
มาลองดูเส้นแรกกันก่อน USB แถมจาก Musiland
เป็น USB แถมที่สั้นมากครับ ไม่รู้จะงกไปไหน ทั้งเส้นยาวแค่ 30cm
เส้นนี้แนวเสียงประมาณว่า เบสมากทิ้งหางเสียงครางไว้ให้ชม เสียงเปียโน กลวงๆหน่อย
แต่มันก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบครับ บางทีผมก็ชอบเส้นนี้เหมือนกันนะ
-----------------------------
ต่อกันด้วยเส้นที่สองเลยละกัน
เส้นนี้ยาวประมาณ 1.5m ในราคาประมาณ 100 บาท
ผมเห็นหลายๆท่านนิยมเอาไปลากยาวๆใช้กับ HDD Docking กัน
เส้นนี้ให้เสียงเบสที่บางลงปลายเสียงค่อนข้างแข็ง แต่มีความโปร่งในตัว เสียงสูงพริ้วไหว
เบสกระชับค่อนข้างมาก เส้นนี้ก็มีดีไม่น้อยเช่นกัน โดยรวมแล้วดีกว่าเส้นแรกเกือบทุกประการ
ฟังครั้งแรกถึงกับติดใจ แต่พอลองเรรื่อยๆ ยังไม่ถึงกับใช่ซะทีเดียว
-----------------------------
มาถึงเส้นทีสาม เส้นนี้เป็นยี่ห้อดังจากจีน นั่นตือ OKER นั่นเองครับ
เส้นนี้ยาวประมาณ 1.5m ผมได้มาในราคาประมาณ 150บาทครับ
ตัวสายเป็นสีน้ำตาลใสๆ หัวชุบทอง และมี ferrite ติดมาด้วย
อ่อมาถึงตรงนี้ผมขอนอกเรื่องนิดนึงครับ เวลาไปซื้อสายถูกๆ
คนขายมักจะบอกว่าสายนี้หัวชุบทองอย่างดี แถมเป็นสายถัก คุณภาพสูงแน่นอน
คือผมอยากจะบอกว่าเรื่องหัวชุบทองนั้น สายถูกๆไม่ได้ใช้ทองคำหรือทอง 24kนะครับ
ใช้ทองอะไรผมก็ไม่รู้แหละ อาจจะเป็นทองเหลืองผสมอะไรก็ว่ากันไปครับ แบบหัวทองของ OKER นั่นก็ใช่เลยครับ
เป็นทองอะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่ทองที่ใช้ในงาน Audio Grade แน่ๆ
ส่วนเรื่องสายถัก คือปัจจุบันคนเราเรียกผิดกันไปหมดแล้วครับ สายถักของพ่อค้าคือแบบนี้
แบบนี้ไม่ได้เรียกสายถักนนะครับ แบบนี้เรียกหุ้มตาข่ายหรือหนังงู
ซึ่งตาข่ายที่ใช้ในสายราคาถูกก็ทำจากพลาสติกครับ
ไม่มีคุณสมบัติป้องกันคลื่นใดๆทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากเป็นตาข่ายที่ใช้ในอุปกรณ์ Audio
นั้นจะมีคุณสมบัติป้องกันคลื่นรบกวนบางชนิดได้ครับ
ซึ่งสายถักของแท้ต้องหน้าตาประมาณนี้ครับ คือเอาสายตัวนำมาถักกัน ไม่ใช่เอาฉนวนมาถักกันครับ
ซึ่งในรูปที่ผมนำมาให้ดูเป็นการถักแบบ 3เส้นและ 8เส้นครับ
ดังนั้นเวลาไปซื้อก็ได้หลงเชื่อคำกล่าวอ้างของพ่อค้าที่ขาดความรู้นะครับ อิอิ
ขอกลับเข้าฝั่งก่อนออกไปอ่าวไทย -*-
สายของ Oker นั้นให้เสียงที่มีเนื้อมากที่สุดในบรรดาสาย USB 4เส้นนี้
แถมเบสก็ไม่ครางเหมือนสายแถมของ Musiland นะจ๊ะ มิติและความโปร่งยังสู้เส้นสีน้ำเงินไม่ได้
สรุปว่าเส้นนี้ได้เนื้อและได้ความอุ่นเพิ่มมาอีกนิดนึง
-----------------------------
สุดท้ายสายแถมของ Audio-GD ซึ่งแถมมากับ NFB7
เป็นสายหน้าตาบ้านๆ
เส้นนี้มีทีเด็ดคือมีไดนามิคที่ดี ไล่ความดังเบาได้ดีที่สุดใน 4เส้นที่ทดสอบ
และยังมีการแยกมิติที่เด็ดขาดที่สุดในบรรดา 4เส้นนี้มากที่สุดอีกเช่นกัน
ส่วนเรื่องน้ำเสียงก็ละม้ายคล้ายเส้นสีน้ำเงินครับเพียงแต่ปลายแหลมนั้นมีความเป็นประกายมากกว่า
-----------------------------
สรุปส่งท้าย ไม่ใช่ว่าสายเส้นไหนจะดีที่สุดนะครับ
เพียงแต่สายแต่ละเส้นก็มีบุคลิกต่างกัน เราก็ควรจะจับคู่ให้เหมาะสมกับชุดของเราครับ
อย่างผมผมเลือกเส้นแถมจาก Audio-GD มาแมชกับชุดวางหิ้งของผม
แต่ถ้าใช้กับชุดหูฟังผมก็อยากใช้ Oker มากกว่า แต่ติดที่ว่าผมต้องเลือกเพียงเส้นเดียว
ดังนั้นผมก็สลับๆกันใช้ไปนั่นแหละครับทั้งสองเส้น ฮ่าๆ
สรุปว่าของแถมและของถูกก็มีดีเหมือนกัน อย่าไปมองข้ามมันเชียวนะครับ
ไม่ว่าจะของแถมหรือของถูก ถ้าเราพอใจกับมัน เราก็ใช้งานมันได้อย่างไม่มีเคอะเขิลแน่นอนจ้า
จบละครับสำหรับรีวิวของคนงบน้อยในวันนี้ ไว้พบกันใหม่ฉบับหน้าจ้า สวัสดีครับ
เครดิต : http://laohaifang.com/node/90
Comment