Announcement

Collapse
No announcement yet.

+สงสัยครับ การโมลำโพงแบบลงทุนต่ำ เช่น Bi-cap เปลี่ยนสายให้หนาขึ้น บ.เขาไม่ทราบหรอ +

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • +สงสัยครับ การโมลำโพงแบบลงทุนต่ำ เช่น Bi-cap เปลี่ยนสายให้หนาขึ้น บ.เขาไม่ทราบหรอ +

    บริษัทลำโพงเขาลงทุนเป็นร้อยล้านพันล้าน เอนจิเนียเต็มโรงงาน เรื่องแค่นี้เขาไม่รู้หรือครับ ที่ผมสงสัยมีอยู่2ประเด็นคือ
    1.บ.ไม่รู้อะไร เลยไม่ทำ (ช่างชาวบ้าน เก่งกว่า โรงงาน ...หรออออออ ?)
    2. บ.ก็รู้ ต้นทุนที่เพิ่มมาก็นิดหน่อย แต่ทำแล้วมันไม่ได้ดีขึ้นแบบที่เราๆท่านๆคิดไปเอง ดรงงานเลยไม่ทำ
    บางบทความ(ในนี้)บอกว่าเอามาโมBicapบ้าง เปลี่ยนสายแบบหนาบ้าง เสียงจะดีขึ้น30% (ไม่รู้เอาอะไรวัด) ซึ่งการโมแบบนี้ต้นทุนก็ไม่ได้สูงอะไรมากมายเลย แต่ถ้ามันทำให้ลำโพงเทพขึ้นมาจริงๆ แบบอัพเกรดลำโพงขึ้นไปอีกระดับนึงเลยทีเดียว ผมสงสัยว่า ทำไมบริษัทไม่ทำมาละครับ

  • #2
    น่าจะเรื่องต้นทุนคับ และ ราคาขาย + กับ เป้าหมาย ของคนซื้อ

    Comment


    • #3
      มีบางตัวที่เทพ เค้าก็ทำมาให้เลยนะครับ

      เสียงดีขึ้นแน่ๆน่ะจริงครับ ถึง30% ไหม คงไม่น่าจะถึงขั้นนั้นครับ ส่วนการวัด นี่มีทั้งเครื่องมือง่ายๆก็สโครป แต่สุดท้ายก็จบลงที่หูคน
      แต่บางตัวของไทยทำราคาไม่แพงเช่น ปรีโมดิฟาย รุ่น ME-555 ก็ไบแคปมาให้เลย
      Last edited by camera; 17 Jun 2008, 16:00:29.

      Comment


      • #4
        ถ้าเรื่องต้นทุนเพิ่ม ลำโพงหลักพันพอเข้าใจแต่ถ้าหลายๆพันขึ้นไปต้นทุนคงไม่ใช่ประเด็นหลัก

        Comment


        • #5
          ท่านพูดก็ถูกครับ ค่าสาย ค่าcap บ.ลงทุนอีก100นึง ทำหมื่นตัวก้กำไรหาย1ล้าน
          แต่.... ที่ผมจะถามคือ ถ้าเพิ่มอีก100เดียว แล้วเสียงมันเทพไปอีก30% เหมือนที่หลายๆท่านลองทำกัน นั้นแปลว่า บ.สามารถสร้างValue ลำโพงไปอีกระดับแบบผิดหูผิดตาได้จริง ด้วยวิธีหน่อมแน้มแค่นี้ บ.มีหรือจะไม่ลงทุนเพิ่ม ถ้ามันแหล่มขึ้นขนาดนั้น ต้นทุนที่เพิ่มมาแค่นี้ เพิ่มเข้ามาในราคาขายได้สบาย(ถ้าลำโพงมันเทพขึ้นจริง)

          ผมถึงกลับมาที่คำถามไงครับว่า บ.ไม่รู้
          หรือว่ารู้....แต่ลงทุนทำไอ้แค่นี้แล้วมันไม่ได้ดีขึ้นผิดหูผิดตา อย่างที่เราคิดกัน เขาถึงไม่ทำ

          Comment


          • #6
            ในความคิดผมนะ(ส่วนตัวนะ) ผมว่าเขารู้ครับแต่ไม่ทำ เพราะ
            1.ถ้าโรงงานจะโม ของเก่าผมว่าเขาคงไม่ทำเพราะถ้าเขาโมของเก่า ราคาของเก่าก็จะสูงขึ้น สู้โมของเก่าแล้วเปลี่ยนรุ่นไม่ดีกว่าเหรอ
            2.การลงทุนเพิ่มนิดหน่อยแบบชาวบ้านคิดเพราะชาวบ้านคิดแบบลงทุนเพียงตัวเดียว แต่โรงงานไม่ ลองคิดเล่นๆดูนะครับ สมมติ โรงงานผลิตลำโพง100 ตัว ของเดิมลงทุนตัวละ 800 = 100x800 = 80,000
            ขายตัวละ 1,000 = 1,000x100 = 100,000
            กำไรสุทธิ = 100,000-80,000= 20,000
            ถ้านำตัวเก่ามาโมลงทุนเพิ่มตัวละ20 บาท = 800+20 = 820
            ลงทุนเพิ่ม = 100x820 = 82,000 ราคาขายเท่าเดิมแต่ต้นทุนสูงขึ้น =100,000-82,000 = 18,000
            แล้วถ้าผลิตเยอะกว่านี้ละ ผมว่าโรงงานคงจะคิดต้นทุนและกำไรมาอันดับ 1 คุณภาพมาอันดับ2 นี้เป็นความคิดส่วนตัวผมนะไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีความคิดใครนะครับ ไม่เหมาะสมยังไง ก้ขออภัยทุกท่านด้วยครับผม.

            Comment


            • #7
              ความลดหลั่นของเสียง/รุ่น จะไม่สมดุลกันน่ะซิครับ ถ้าตัวเล็กๆโมได้ ตัวรุ่นไย่ๆโมแล้วตัน

              Comment


              • #8
                จริงๆผมก็เคยคิดแบบ เจ้าของกระทู้อ่ะ

                แต่ทำไง ได้ เนอะ ไม่มีทางเลือก :P

                Comment


                • #9
                  Bi-cap คืออะไรครับ

                  ทำที่ไหน

                  ทุนเท่าไหร่ครับ

                  แบบว่าไม่รู้เรื่องเลย

                  Comment


                  • #10
                    อย่างนี้ น่าจะทำรุ่น ultimate edition แพงมหาโหดแต่ upgrade ให้หมดแล้วทุกอย่าง สำหรับคนบ้าพลัง 55
                    Last edited by b_ambee; 18 Jun 2008, 02:06:18.

                    Comment


                    • #11
                      Originally posted by Nhazzer View Post
                      Bi-cap คืออะไรครับ

                      ทำที่ไหน

                      ทุนเท่าไหร่ครับ

                      แบบว่าไม่รู้เรื่องเลย
                      copy มาให้อ่านจากหลายๆแหล่งครับ

                      - การBicap เป็นนำ C.ค่าเล็กชนิดต่างๆที่ดีๆ ไปต่อขนานกับ C.electrol เพื่อลดค่าESR หรือลดความสูญเสียในตัวของC.electrol เพื่อให้ได้เสียงที่ฟังได้ว่าสะอาดหรือรายละเอียดด้านความถี่สูงชัดเจนขึ้นครับ

                      -อธิบายการทำงานของ capacitor หรือที่เรียกย่อๆว่า cap กันก่อน
                      Capacitor (C) จะยอมให้ความถี่สูงผ่านได้ แต่ความถี่ต่ำจะไม่ยอมให้ผ่านครับ C ตัวเล็กๆจะยอมให้ความถี่สูงผ่านได้เพียงอย่างเดียว ส่วน C ตัวใหญ่จะยอมให้ช่วงความถี่ผ่านได้กว้างกว่าตัวเล็ก คือยอมให้ความถี่ต่ำลงมาผ่านได้ด้วย มันมีสูตรคำนวนครับว่า C ค่าเท่านี้ จะยอมให้ความถี่ต่ำถึงเท่าใดผ่านได้
                      Capacitor ที่เสียงดีมักมีราคาแพง โดยเฉพาะตัวใหญ่ๆจะแพงมาก แต่ก็ได้เสียงกลางแหลมที่ดีกว่า และด้วยราคาที่แพงนี่เองจึงเกิดมีการทำ bi-cap ขึ้นมาเพื่อการประหยัดแต่ยังได้ปลายแหลมที่ดีได้
                      การทำ bi-cap ก็คือการนำ C ตัวเล็กๆมาต่อขนานกับ C หลักๆที่เป็นทางผ่านเสียง โดยเฉพาะย่านเสียงสูง การต่อขนานจะเป็นการบวกค่าความจุของ C เข้าด้วยกันเช่น C 3.3 uF + C 0.1 uF จะกลายเป็น C 3.4 uF ครับ
                      ดังที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่า C ตัวเล็กสามารถให้เสียงสูงผ่านได้ การนำ C ตัวเล็กไปขนานก็เพื่อช่วยในการผ่านสัญญาณเสียงสูงครับ ซึ่งไปแก้ข้อด้อยของ C ราคาถูกที่มักผ่านความถี่สูงได้ไม่ดี เพราะ C ตัวเล็กคุณภาพดี มีราคาไม่แพง การทำ bi-cap จึงเป็นการประหยัดกว่าการเปลี่ยน C คุณภาพดีตัวใหญ่ทั้งตัวมากครับผม
                      อีกเหตุผลก็คือ C คุณภาพสูงมักมีค่าความจุไม่สูงมากนัก หากต้องการ C ค่าความจุเยอะๆก็ต้องหาตัวที่คุณภาพรองลงไปแล้วใช้ C คุณภาพสูงมาทำการ bi-cap เข้าไปแทน
                      นอกจาก bi-cap แล้วยังมี tri-cap อีก แต่ยังไงย่อมสู้ C คุณภาพสูงตัวเดียวไม่ได้ บางเสียงก็บอกว่าการทำ bi-cap อาจมีการทำงานไม่พร้อมเพรียงของ C ทั้งสองตัว โดยเฉพาะ C ที่***งชั้นกันมากๆ ซึ่งก็ไม่เป็นที่ชัดเจนเท่าไหร่ครับตรงนี้
                      อนึ่งการทำ bi-cap ต้องคำนึงถึงค่าความจุของ C ที่จะขนานลงไปด้วย เพราะการต่อขนานกันเป็นการทำให้ความจุโดยรวมเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ยึดที่ 1% ของ C ตัวหลัก แต่สามารถเพิ่มหรือลดลงกว่านี้ได้ แล้วแต่ตำแหน่งหน้าที่ของ C ตัวนั้นว่าต้องการความเที่ยงตรงของค่าความจุเพียงใด

                      อันนี้รูปตัวอย่างครับ (ยืมๆเค้ามา)
                      Last edited by camera; 31 Aug 2008, 22:25:33.

                      Comment


                      • #12
                        Originally posted by b_ambee View Post
                        อย่างนี้ น่าจะทำรุ่น ultimate edition แพงมหาโหดแต่ upgrade ให้หมดแล้วทุกอย่าง สำหรับคนบ้าพลัง 55
                        บางทีก็มีทำครับ
                        ......................................................

                        แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่ค่า C เท่านั้น
                        BEP+ค่าการตลาด+แรงงาน+เวลา+ชื่อรุ่นพิเศษ+โฆษณา+....

                        บ้าพลังแล้วต้องยอมจ่าย จริงมะ...ตะเอง อิอิอิอิ

                        Comment


                        • #13
                          สงสัยด้วยคน
                          ส่วนตัวแล้วผมว่าน่าจะเป็นเรื่อง ต้นทุนของสายการผลิต ที่ต้องผลิตให้ได้กำไรสูงสุด
                          อีกทั้งเวลาก็เป็นสิ่งจำกัดครับ มีกำหนดการและปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ที่ทำให้ไม่อาจใส่ทุกอย่างที่คิดได้จากสายพานการผลิต

                          คุณ camera อธิบายเรื่อง Capa ละเอียดมากเลย ขอบคุณครับ

                          Comment


                          • #14
                            โดยส่วนมากแล้ว จะทำการ BiCap กันตรงส่วนไหนครับ

                            Comment


                            • #15
                              Originally posted by camera View Post
                              copy มาให้อ่านจากหลายๆแหล่งครับ

                              - การBicap เป็นนำ C.ค่าเล็กชนิดต่างๆที่ดีๆ ไปต่อขนานกับ C.electrol เพื่อลดค่าESR หรือลดความสูญเสียในตัวของC.electrol เพื่อให้ได้เสียงที่ฟังได้ว่าสะอาดหรือรายละเอียดด้านความถี่สูงชัดเจนขึ้นครับ

                              -อธิบายการทำงานของ capacitor หรือที่เรียกย่อๆว่า cap กันก่อน
                              Capacitor (C) จะยอมให้ความถี่สูงผ่านได้ แต่ความถี่ต่ำจะไม่ยอมให้ผ่านครับ C ตัวเล็กๆจะยอมให้ความถี่สูงผ่านได้เพียงอย่างเดียว ส่วน C ตัวใหญ่จะยอมให้ช่วงความถี่ผ่านได้กว้างกว่าตัวเล็ก คือยอมให้ความถี่ต่ำลงมาผ่านได้ด้วย มันมีสูตรคำนวนครับว่า C ค่าเท่านี้ จะยอมให้ความถี่ต่ำถึงเท่าใดผ่านได้
                              Capacitor ที่เสียงดีมักมีราคาแพง โดยเฉพาะตัวใหญ่ๆจะแพงมาก แต่ก็ได้เสียงกลางแหลมที่ดีกว่า และด้วยราคาที่แพงนี่เองจึงเกิดมีการทำ bi-cap ขึ้นมาเพื่อการประหยัดแต่ยังได้ปลายแหลมที่ดีได้
                              การทำ bi-cap ก็คือการนำ C ตัวเล็กๆมาต่อขนานกับ C หลักๆที่เป็นทางผ่านเสียง โดยเฉพาะย่านเสียงสูง การต่อขนานจะเป็นการบวกค่าความจุของ C เข้าด้วยกันเช่น C 3.3 uF + C 0.1 uF จะกลายเป็น C 3.4 uF ครับ
                              ดังที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่า C ตัวเล็กสามารถให้เสียงสูงผ่านได้ การนำ C ตัวเล็กไปขนานก็เพื่อช่วยในการผ่านสัญญาณเสียงสูงครับ ซึ่งไปแก้ข้อด้อยของ C ราคาถูกที่มักผ่านความถี่สูงได้ไม่ดี เพราะ C ตัวเล็กคุณภาพดี มีราคาไม่แพง การทำ bi-cap จึงเป็นการประหยัดกว่าการเปลี่ยน C คุณภาพดีตัวใหญ่ทั้งตัวมากครับผม
                              อีกเหตุผลก็คือ C คุณภาพสูงมักมีค่าความจุไม่สูงมากนัก หากต้องการ C ค่าความจุเยอะๆก็ต้องหาตัวที่คุณภาพรองลงไปแล้วใช้ C คุณภาพสูงมาทำการ bi-cap เข้าไปแทน
                              นอกจาก bi-cap แล้วยังมี tri-cap อีก แต่ยังไงย่อมสู้ C คุณภาพสูงตัวเดียวไม่ได้ บางเสียงก็บอกว่าการทำ bi-cap อาจมีการทำงานไม่พร้อมเพรียงของ C ทั้งสองตัว โดยเฉพาะ C ที่***งชั้นกันมากๆ ซึ่งก็ไม่เป็นที่ชัดเจนเท่าไหร่ครับตรงนี้
                              อนึ่งการทำ bi-cap ต้องคำนึงถึงค่าความจุของ C ที่จะขนานลงไปด้วย เพราะการต่อขนานกันเป็นการทำให้ความจุโดยรวมเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ยึดที่ 1% ของ C ตัวหลัก แต่สามารถเพิ่มหรือลดลงกว่านี้ได้ แล้วแต่ตำแหน่งหน้าที่ของ C ตัวนั้นว่าต้องการความเที่ยงตรงของค่าความจุเพียงใด

                              อันนี้รูปตัวอย่างครับ (ยืมๆเค้ามา)
                              ขอบคุณครับ กระจ่างเลย

                              แต่ขอถามอีกหน่อยนะครับ

                              "ที่ไหนรับโมบ้างครับ"

                              Comment

                              Working...
                              X