ลงตัวกับความพอดี !!! รีวิว Sony 32CX520 LCD TV รุ่นใหม่ปี 2011
หากพูด ถึงเรื่อง "ดีไซน์" นิยามของ Sony ในช่วงสองสามปีหลังๆก็คือ "เรียบๆ แต่ดูดี" เจ้า 32CX520 ก็เช่นกัน จะสังเกตุได้ว่ารูปแบบการต่อยอดเรื่องดีไซน์นั้น มีการพัฒนาจากรุ่น EX400 และ EX500 ของปีที่แล้วอยู่พอสมควร ดูดีไซน์โดยรวมแล้วเป็นสี High Gloss สีดำเงาเหมือนกัน แต่จุดต่างคือ "ขาตั้ง" ของ 32CX520 จะมีความ "โฉบเฉี่ยว" มากยิ่งขึ้นด้วย "คอขาตั้ง" แบบแกนทรงกลมกระบอกซึ่งทำจากเหล็ก ไม่ใช่แกนพลาสติค ในขณะที่รุ่นของปีที่แล้วจะเป็นคอทรงหลี่ยมที่ดูเทอะทะแบบ ปีที่แล้ว ที่สำคัญก็ยังสามารถปรับหมุนซ้ายขวาได้ด้วย และอีกจุดที่แตกต่างก็คือ "ฐานตั้ง" และ "แผ่นแถบตรงกรอบด้านล่าง" ซึ่งมีการออกแบบได้ดูหรูขึ้น จะดูคล้ายอลูมีเนียมขัด ยังให้ความรู้สึกว่ามัน Matching กับกรอบสีดำเงาครับ (แต่พวก EX400 และ EX500 จะเป็นสีเทาซึ่งดันตัดกับสีดำเงาไปซักนิด)
Sony 32CX520 แถบด้านล่างดีไซน์โฉบเฉี่ยวขึ้น
แหล่งรวมเซนเซอร์ / ไฟแสดงสถานะเปิดปิด แสตนด์บาย
กรอบสีดำเงา Glossy Black
แถบสติ๊กเกอร์ที่เป็นเทคโนโลยีขุดขายต่างๆ
ด้านข้างมีช่องต่อ HDMI และ USB ให้มาถึง 2 ช่อง ตลอดจนช่องต่อ RGB PC Input
พอร์ตด้านหลัง ให้มาอย่างเพียงพอต่อความจำเป็นแต่ก็ครบครันไม่ว่าจะเป็น
Lan / AV / Component / HDMI / Optical Out
คอขาตั้งเป็นแกนเหล็กแท่งทรงกระบอก แข็งแรงมาก
และให้ความพริ้วเวลาปรับหมุนทีวีซ้ายขวา
ปุ่มกดด้านข้าง ครบถ้วนตั้งแต่ปุ่ม Power / เปลี่ยนช่อง
/ ปรับ Volume / เปลี่ยน Input และปุ่ม Home
ด้านหลังเป็นกรอบสีดำด้าน การวางตำแหน่งของโซนช่องต่อ ปลั๊กไฟ
และช่องระบายอากาศ ก็อยู่ในตำแหน่งที่เราคุ้นเคย
ในส่วนของความบางก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือไม่ได้หนาเทอะทะและไม่ได้บางเฉียบสะกิดใจแบบ LED TV รุ่นใหม่ๆ ตัวเลข "ความบาง" มาตกอยู่ที่ 70 มม. ซึงถือว่าเป็น LCD TV ที่บางเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว แต่มาในยุคปัจจุบันก็ถือว่าธรรมดามาก และสุดท้ายคือส่วนรีโมทคอนโทรล ซึ่งดีไซน์อาจจะดูเหมือนเดิมไปซักนิด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงให้หวือหวามากนัก แต่การใช้กับรีโมทคอนโทรลของ Sony ก็ยังถือว่าใช้งานได้ง่ายมากเช่นเดิมครับ
ความบางอยู่ที่ 70 มม. ไม่ได้หนาหรือบางจนเกินไปนัก
รีโมท "พิมพ์นิยม" ดีไซน์บล็อคเดิมมาหลายปี T T
ใช้ถ่าน AAA 2 ก้อนซึ่ง Sony ก็แถมถ่านยี่ห้อ Sony มา 2 ก้อนฟรีๆ
สรุปเรื่องดีไซน์ของ Sony 32CX520 รุ่นใหม่ไฟแรงตัวนี้ก็ยังคงคอนเซปต์เดิมซึ่งก็คือ "เรียบๆแต่ดูดี" รูปแบบก็ถือว่าถอดแบบมาจากรุ่นพี่อย่างพวก EX400 EX500 มาและปรับปรุงพัฒนาให้มีความโมเดิร์นขึ้นเล็กน้อย การประกอบติดตั้งตัวเครื่องกับฐานตั้งก็สามารถทำคนเดียวได้อย่างสบายมากครับ
สำหรับคุณภาพของภาพของเจ้า 32CX520 นั้น ผมอยากจะเปรียบเทียบกับ Sony LCD TV รุ่นปีที่แล้วอย่าง 32EX400 และ 32BX300 ครับ จุดเด่นมนปีนี้คือชิพประมวผลภาพตัวใหม่ล่าสุด มีชื่อเรียกว่า "X-Reality" Picture Engine ซึ่งแปลเป็นไทยก็ลงตัวว่า "ภาพสวยสมจริง" โดยเจ้าชิพตัวใหม่ที่มาแทน BRAVIA Engine 3 นั้นจะมีการพัฒนาคุณภาพของการลด Noise เป็นหลัก ทั้งพวก Mosquito Noise เม็ดยุบยิบตามแบคกราวน์และจะเรืองรอบๆวัตถุ, Adaptive Random Noise Reduction หรือเม็ดยุบยิบที่ทำให้สีดำเรื้อนเพราะกล้องที่ถ่ายสู้แสงไม่ได้, และ Dot Noise Reduction จะช่วยลดจุดยุยยิบจากแหล่งสัญญาณความละเอียดต่ำเช่นจากสาย AV พวกทีวีดาวเทียมและเครื่องเล่นดีวีดียุคเก่าเป็นต้น ตลอดจนเทคโนโลยี Intelligent Image Enhancer ก็จะช่วยยกระดับทั้ง 4 ด้านที่เป็นหัวใจของภาพได้แก่ Texture / Outline / Contrast / Colour ของภาพให้ดียิ่งจขึ้น ซึ่งบททดสอบในหน้าถัดๆไปจะแสดงให้เห็นลูกเล่นในการปรับภาพที่ช่วยยกระดับภาพ ได้มากอยู่พอสมควรหากเปรียบเทียบกับการไม่เปิดใช้งานเจ้า X-Reality เลย
ส่วนสเป็คด้านภาพอย่างอื่นที่เด่นๆก็ได้แก่ ความละเอียดหน้าจอแบบ Full HD 1920 x 1080 มี "ปุ่ม Scene" ให้ปรับโหมดภาพตามคอนเทนต์ที่รับชมอยู่ ฟังก์ชั่น LIVE Colour ที่ช่วยยกระดับให้ภาพมีสีสันสดใสมากยิ่งขึ้น มี Light Sensor ที่สามารถคำนวณสภาพแสงภายในห้อง และมาปรับความสว่างของทีวีให้เหมาะสมกับระดับความสว่างภายในห้อง ตลอดจน Power Saving Mode โหมดประหยัดพลังงาน ที่จะช่วยลดระดับ Backlight ลงทำให้ประหยัดไฟมากยิ่งขึ้น ว่าแล้วเราไปชมการทดสอบกันเลยดีกว่าครับ
สัดส่วนภาพ :: Picture Size
หากต้องการดูภาพแบบ "ต้นฉบับ" หรือที่หลายๆค่ายเรียกว่า "Just Scan" หรือ "1:1 Pixel Matching" ให้เลือกสัดส่วนภาพ Wide Mode ให้เป็น "Full" และ Display Area เป็น "+1" ครับ โดยสามารถเข้าไปปรับได้ที่ Home => Display => Screen โดย Pixel จะถูกแสดงจะครบถ้วน ไม่ถูก Crop หายไป ส่วนโหมดอื่นๆเช่น Wide Zoom และ Caption ก็ทำมารองรับการรับชมหนังแบบ 2.35:1 บนทีวีสัดส่วน 1.78:1 (16:9) โดยจะ Crop ในส่วนของ Black Bars บนล่างให้หายไปนิดหน่อย โดยไม่กระทบกระเทือนต่อ Subtitle มากนัก หรือหากจะดูฟรีทีวีสัดส่วนแบบ 4:3 แบบต่นตำหรับ หน้าไม่บาน ก็เลือกโหมด Normal ได้เลยครับ
สัดส่วนภาพครับ ผมเปิดหนัง 2.35:1 ให้เห็นซับไตเติ้ลกันไปเลยว่า
ท่านจะชอบสัดส่วนแบบไหนมากที่สุด
หน้าตาเมนูแบบใหม่ เวลากดคำสั่งเข้าไป
จะมีเอ็ฟเฟกต์ "วืบวืบ" แบบโทรศัพท์ Smart Phone
ปุ่ม Scene :: คือ "ปุ่มลัด" บนรีโมทคอนโทรลให้เราสามารถเข้าไปปรับ "โหมดภาพสำเร็จรูป" อาทิเช่น Cinema / Sports / Animation / Game / Graphics และอื่นๆ โดยนอกจากจะปรับเปลี่ยนภาพตามโหมดนั้นๆแล้ว ก็จะปรับโหมดเสียงให้ "สอดคล้อง" กับโหมดภาพด้วยครับ ตัวอย่างเช่นจะ "ดูหนัง" ก็ปรับเป็นโหมด "Cinema" ทั้งโทนภาพและเสียงก็ถูกปรับให้เทียบเคียงในโรงหนัง เรียกได้ว่า "ใช้งานง่าย + แถมสะดวกสบาย" มือใหม่ LCD TV คงชอบใจน่าดู !!!
โหมดภาพต่างๆจากปุ่ม Scene
ทางผมเองได้ใช้แผ่นปรับภาพ DVE ประกอบกับสายตาของทีมงานช่วยกันปรับภาพให้ Dynamic Range (Brightness/Contrast) และ สีสัน ออกมาให้สมดุลย์ที่สุด โดยความ "ถูกใจ" ของภาพที่ได้ยังคงไม่ทิ้ง "ความถูกต้อง" ของแสงและสีตามให้ใกล้เคียงกับมาตรฐาน
Display Setting
Backlight 5 ถึง 7 แล้วแต่ห้องมืดหรือสว่าง
Picture :: Max
Brightness :: 51
Colour :: 60
Sharpness :: 64
Noise Reduction :: Auto
MPEG Noise Reduction :: Auto
Dot Noise Reduction :: Auto
Advanced Setting
Black Corrector :: Medium
Advanced Contrast Enhancer :: Low
Gamma :: 0
Auto Light Emitter :: Meduim
Clear White :: Off
Live Colour :: Low
Detail Enhancer :: Medium
Edge Enhancer :: Medium
รายงานผลทดสอบ
ผมใช้ Sony PS3 เป็นเครื่องเล่นอ้างอิง โดยใช้สาย LCDTVTHAILAND HDMI V1.4 ต่อเข้าช่องต่อ HDMI 1 ครับ เริ่มจากทดสอบภาพเคลื่อนไหวด้วนคอนเทนต์ "ห้องอาหาร" ที่เป็นฉากแพนกล้อง "ซ้ายไปขวา" เนื่องจาก 32CX520 นั้น ไม่มีฟังก์ชั่น Motion Flow 100Hz ผลที่ออกมาคือฉากมีการกระตุกบ้างเล็กน้อยแต่เป็นการกระตุกที่เป็นธรรมชาติ ของทีวีแบบ 50Hz/60Hz และทดสอบเพิ่มเติมด้วยฉากแพนกล้องซ้ายไปขวาและฉากกระโดดร่มจาก หนังเรื่อง Transformers 2 :: Revenge of The Fallen อาการ Ghost หรือภาพเงาซ้อนเรืองไม่มีให้เห็นซักเท่าไหร่นัก จัดได้ว่า "สามารถ" คุมฉากแพนกล้องและคุม Ghost ได้ค่อนข้างดีใช้ได้เลยทีเดียว
ในขณะที่แผ่น Blu-ray Disc เรื่อง Avartar ก็ถูกนำมาทดสอบเรื่องสีสันเช่นกัน โดยความเป็นธรรมชาติของภาพนั้นทำได้ค่อนข้างดี ภาพสว่างและรายละเอียดยิบย่อยสามารถแสดงออกมาได้หมด รายละเอียดในที่มืดแสดงได้ดีกว่า Edge LED TV ด้วยซ้ำ เพราะโครงสร้างหลอด CCFL ที่เต็มแผงจอกว่านี่เอง การปรับภาพแนะนำเทคนิคเล็กน้อย คือหากปรับ "ตามตำรา" อย่าง ISF ด้วยโหมด Custom ปรับภาพและสีสันให้ถูกต้องแบบ D65 สีสันและรายละเอียดของภาพจะออก "ตุ่นๆ" ไปซักนิด ยิ่งเป็นจอเล็กด้วยยิ่งรู้สึกแปลก ถึงสีสันจะค่อนข้างถูกต้อง แต่ก็อาจจะ "ไม่โดนใจ" ผู้ใช้ทั่วไปในการดูรายการทีวีปกติซักเท่าไหร่นัก
เปรียบเทียบได้กับโหมดภาพ Cinema ที่ให้มาเพราะโทนสีจะออกไปทางโทน "อบอุ่น" อารมณ์ก็จะเหมือนในโรงหนังซึ่งจะต้องปิดระบบปรับภาพฟังก์ชั่นเสริมทิ้งเกือบ ทั้งหมดด้วย จึงเป็นโหมดที่เหมาะสมกับการดูในห้องมืดๆอย่างเดียว แต่ด้วย ความที่ Panel ของ 32CX520 ไม่ได้เทพอะไรมากมายนัก ทำให้สีสันและรายละเอียดจากการปรับคามตำราไม่ค่อยสมบูรณ์โดนใจวัยรุ่นซัก เท่าไหร่ (หากเป็นรุ่นท็อปอย่าง NX810 นี่แทบไม่ต้องเปิดพวกฟังก์ชั่นเสริมช่วยเลยเพราะ Panel มันดีมาก) ดังนี้ตัวที่จะเข้ามาช่วยก็คือ Picture Engine หรือ ระบบประมวลผลภาพ ซึ่งก็คือชิพ "X-Reality" นี่เองผมจึง "ต้องใช้" พวกฟังก์ชั่นปรับภาพเสริมช่วยครับ
ค่าฟังก์ชั่นปรับภาพเสริม
1. Advanced Contrast Enhancer :: ปรับ Backlight และ Contrast ให้รายละเอียดในที่มืดเห็น / Light Emitter / Detail Enhancement และ Edge Enhancement
2. Auto Light Emitter :: ปรับความสว่างของสีขาวให้เหมาะสม
3. Live Colour :: เพิ่มสีสันให้สดใสขึ้น
4. Detail Enhancer :: ยกระดับรายละเอียดให้กับวัตถุ
5. Edge Enhancement :: เพิ่มความคมชัดของขอบภาพ
Advanced Contrast Enhancer ที่จะปรับ Backlight และ Contrast ให้เหมาะสมกับฉากนั้นๆ
ช่วยให้รายละเอียดในที่มืดดีขึ้น ผมปรับระดับให้เป็น Low ภาพกำลังดี
พอใช้ฟังก์ชั่นพวกนี้ในชิพ X-Reality ข่วยก็ยกระดับภาพได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รายละเอียดมาครบ สีสันดี แต่ติดที่ Noise มาเยือนเยอะไปนิดนึง จึงลองของขอเปิดพวก Noise Reduction / Dot Noise Reuction / MPEG Noise Reduction เข้ามาช่วยกระชับพื้นที่ !! ซึ่งก็ลดทอนความคบกริบของภาพไปเพียงนิดเดียว แต่ระดับ Noise ก็ลดลงไปในระดับที่น่าพอใจ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าครับ !!!
โดยพยายามลองเล่นเปิดๆปิดๆและปรับระดับเพิ่มและลดฟังก์ชั่นปรับภาพเสริม เหล่านี้ จนได้สูตรที่ค่อนข้างตรงใจทีมงานว่า ภาพรายละเอียดออกมาครบ สีสันสดใสในระดับพอดี สีไม่เพี้ยนไม่ตุ่น และการคุม Noise อยุ่ในระดับโอเค คือยังมีอยู่ แต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ หากนั่งไกลกว่า 1.25 เมตรก็ไม่น่าจะตะขิดตะขวงแต่อย่างใด โดยค่าปรับภาพที่ผมใช้อ้างอิงคือค่าข้างบนเลยครับ
ทดสอบฉากแพนกล้องในคอนเทนต์ห้องอาหาร มีกระตุก
แต่เป็นการกระตุกที่เป็นธรรมชาติของทีวี 50Hz/60Hz
การคุม Backlight และ ระดับสีดำ อยู่ในเกณฑ์ดีหากเทียบกับ Edge LED และ LCD TV รุ่นเล็ก
คือทดสอบตอนสว่างและนั่งดูตรงๆไม่เห็นแสงรั่ว
หากเป็นห้องมืดสนิทก็มีรั่วบ้างตามสูตร แต่ก็ถือว่าสอบผ่านครับ
ภาพจากหนังเรื่อง Transformers 2 :: Revenge of The Fallen
สีสันจากเรื่อง Avartar ปรับ Live Color เป็น Low กำลังดี สีอิ่ม ส่งเสริมให้ภาพมีมิติที่ดีขึ้น
การปรับสีสันและแสงเงาในระดับที่เหมาะสม
ทำให้สามารถแสดงรายละเอียดภาพออกมาได้เต็มศักยภาพ
เปลี่ยนมาดูการ์ตูนเรื่อง Cloudy with a Chance of Meatball ปรับโหมดภาพจากปุ่ม Scene เป็น "Animation"จะไม่เน้นยกรายละเอียดภาพพวก Detail และ Edge Enhancer ให้สูงเกินจริงเพราะ Animation ต้นฉบับแทบทุกเรื่องจะดีอยู่แล้ว
สีสันและความคมชัดดีกว่า BX300 แบบเห็นๆ และดีกว่า EX400 นิดหน่อย
ดูดีวีดีเรื่อง Eat Pray Love นำแสดงโดย Julia Roberts ความคมชัดอยู่ในระดับ "ปานกลาง"
อาจจะมีติดภาพเป็นโมเสกขุ่นๆเล็กน้อย
เล่นเกมส์ก้แนะนำปรับเป็น Game Mode (จากปุ่ม Scene เช่นเดิม)
จะ "ปิด" ระบบประมวลผลเสริมแทบทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้มีอาการ Input lag
สีสันจาก Game Mode ความสว่างลดลงเล็กน้อยจากโหมดภาพปกติ สีสันมีความสดอิ่มอยู่
ทำให้ลดการระคายเคืองสายตาเวลานั่งจ้องเกมส์ใกล้ๆและนานๆ
1. BRAVIA Internet Video & Widgets :: จริงๆแล้วเจ้า 32CX520 นั้นเป็น WiFi Ready ด้วย หากซื้ออุปกรณ์เสริม USB WiFi Dongle จะเล่น Internet แบบไร้สายได้ทันที แต่ผมเองก็ทดสอบแบบธรรมดาโดยการใช้สาย Lan เชื่อมต่อเข้าพอร์ต Lan ด้านหลังโดยตรง BRAVIA Internet Video มีเว็บไซต์ต่างๆให้เลือกเล่นมากมายอาทิเช่นการดูคลิปใน YouTube, Podcast, Blip.tv และอื่นๆเป็นต้น ฟังวิทยุจาก NPR (National Republic) การ Search คลิปต่างๆก็ทำได้ง่ายโดยใช้ Virtual Keyboard ที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้ว Search คลิปที่ต้องการได้เลย และในอนาคตจากข่าววงในที่ผมได้รับมาก็คือ Sony เองจะร่วมกับเครือ Nation และ MTHAI ในการทำ Local Contents สำหรับ Sony BRAVIA โดยเฉพาะ ไม่แน่ในอนาคตอันใกล้เราอาจจะได้ดูข่าวจาก Nation หรือดูคลิปรายการ Gossip Stars ผ่านทาง BRAVIA Internet Video ก็ได้ครับ
หมายเหตุ :: คาดการณ์ว่า Local Contents จะมาในช่วงครึ่งปีหลังของ 2011
หน้าตา BRAVIA Internet Video มีเว็บไซต์ให้เลือกเล่นมากมาย
ดูคลิปวีดีโอที่น่าสนใจจาก YouTube
ดูคลิปวีดีโอจาก DailyMotion แบบ HD ได้ด้วยนะครับ (ว้าว)
ฟังวิทยุจาก Nationnal Public Radio (NPR)
2. Light Sensor :: เซนเซอร์ตะคอยคำนวณปรับความสว่างของภาพบนจอให้สัมพันธ์กับความสว่างในห้อง เช่นห้องมืด ทีวีก็จะหรี่ Backlight ลง เพื่อให้สว่างจ้าตาจนเกินไป หรือหากห้องสว่างๆก็จะเร่ง Backlight ให้สว่างสู้แสงมากยิ่งขึ้น โดยการปรับระดับแสงของตัวทีวีนั้นค่อนข้างที่จะนุ่มนวล ไม่กระโชกโฮกฮากจนรู้สึกว่าทีวีมันวูบวาบ จัดได้ว่าเป็นฟังก์ชั่นที่เหมาะกับผู้ที่ขี้เกียจปรับภาพ ตัวอย่างง่ายๆคือในห้องนอนของผม ไอครั้นจะจับรีโมทมานั่งปรับภาพให้เหมาะสมกับการดูทั้งในตอนกลางวันกลางคืน มันก็แอบขี้เกียจจริงๆ หากได้มีโอกาสได้ร่วมห้องนอนกับ LCD TV หรือ Plasma TV ตัวใหม่ๆเมื่อไหร่หละก็ ผมจะเน้นว่าต้องมีฟังก์ชั่นนี้เสมอครับ เพราะผมจะได้ใช้มันแน่ๆ
3. Presence Sensor :: แปลง่ายๆก็คือ หากคุณไม่ได้อยู่บริเวณหน้าจอทีวี ทีวีมันก็จะปิดภาพเองลงอัตโตมัติ (แต่เสียงยังอยู่) จะช่วยประหยัดไฟได้ระดับนึงเลย เพราะตัวเซนเซอร์มันจะคอยตรวจจับตัวบุคคลว่าอยู่ในรัศมีทำการของเซนเซอร์ หรือไม่ โดยระยะทำการได้ไกลสูงสุดประมาณ 6 เมตร ในรัศมีประมาณ 80 องศา ซึ่งวัดจากตัวเซนเซนเซอร์ที่อยู่บริเวณ "มุมซ้ายล่าง" ของตัวทีวี หากตรวจจับ "ไม่พบการเคลื่อนไหว" ของตัวเราหรือวัตถุอื่นๆภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น 5 นาที 10 นาที ไปจนถึง 60 นาที (สามารถตั้งเวลาได้) ก็จะทำการ "ปิดภาพ" ทีวีลงอัตโนมัติ แต่ถ้าหากเราเดินกลับมานั่งอยู่ในระยะรัศมีของเซนเซอร์อีกครั้งนึง ทีวีก็จะทำการ "เปิดภาพ" ทีวีขึ้นมาอีกครั้ง เซนเซอร์จะอาศัยหลักการพื้นฐานในการตรวจจับว่ามีการ เคลื่อนไหวของวัตถุหรือไม่ โดยเทคโนโลยี Presnece Sensor นี้มีการพัฒนามาจากรุ่น NX700 / NX800 ของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผมยังไม่เห็นแบรนด์ไหนมีมาก่อน
การตั้งค่า Presence Sensor
4. Power Saving Mode :: โหมดประหยัดไฟ มี 4 คือ Off / Low / High / Picture Off โดยเป้นการลดระดับ backlight เพื่อให้ความสว่างลดลง เหมาะกับการดูในที่มีแสงน้อยหรือที่มืด ระดับ Low ก้เหมาะกับห้องที่ไม่ค่อยสว่างมีไฟสลัวๆหน่อย ส่วนระดับ High ก็เหมาะกับตอนกลางคืนห้องที่ปิดไฟมืดสนิทเพราะจะลดระดับ Backlight ลงค่อนข้างมาก ส่วน Picture Off ก็จะเป็นการให้เปิดเสียงอย่างเดียว แต่ไม่มีภาพ เช่นตื่นนอนมาแล้วอาบน้ำไป และฟังข่าวสรยุทธไป เป็นต้น ก็จะช่วยประหยัดไฟได้ดีอีกวิธีนึง
5. i-Manual :: คู่มือการใช้งานที่ "ฝังอยู่" ในตัวเครื่องเลย เป็นลักษณะเหมือน E-Book มีประโยชน์มากๆ เพราะใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่เข้าใจง่ายพร้อมภาพประกอบ ฟังก์ชั่นยากๆอย่างพวก Presense Sensor, การเชื่อมต่อ BRAVIA Internet Video, คำศัพท์เทคนิคในการปรับภาพและเสียงต่างๆ ได้ถูกอธิบายไว้ใน i-Manual พร้อมภาพประกอบแล้ว บอกได้เลยว่าต่อไปจะหมดยุคหนังสือคู่มือที่มาเป็นเล่มหนาเตอะ เพราะ i-Manual มันง่ายและสะดวกจริงๆ ผมเองให้ความคิดเห็นในฐานะผู้ทดสอบ ก็อาศัย i-Manual นี่แหละครับไขความกระจ่างลูกเล่นและฟังก์ชั่นใหม่ๆที่ผมไม่เข้าใจได้อย่างดี เยี่ยม
หน้าตาของ i-Manual
6. PIP & Twin Picture :: PIP ย่อมาจาก Picture in Picture หรือภาพซ้อนภาพนั่นเอง คือมีภาพใหญ่เป็นภาพหลักและมีอีกช่องเป็นภาพเล็กอยู่บริเวณมุมทีวีครับ ส่วน Twin Picture คือมีภาพจากแหล่งสัญญาณอันแรกซึ่งอยู่ด้านซ้าย และแหล่งสัญญาณที่สองอยู่ด้านขวา จะเรียกว่า "ภาพมาคู่กัน" ไม่ได้อยู่ข้างในหรือทับภาพของอีกแหล่งสัญญาณนึงแบบ PIP ของ Sony มีความพิเศษตรงที่เมื่อทำ Twin Picture แล้วสามารถ "ขยายหรือหด" ขนาดของหน้าต่างภาพได้ครับ ในรูปตัวอย่างผมดูหนัง Blu-ray แบบ 16:9 จาก HDMI 1 (ด้านซ้าย) และเปิด DTV จานเหลือง สัดส่วน 4:3 จาก AV1 ด้านขวา โดยผมลอง "ขยายและหด" หน้าต่างด้านขวาโดการกดปุ่มคำสั่ง "ขึ้นและลง" บนรีโมทคอนโทรล เพื่อสั่งให้ "ขยายหรือหด" และเรายังสามารถเลือกให้เสียงให้ออกหน้าต่างไหนก็ได้เช่นกัน จัดได้ว่าเป้นทีวีที่มีลูกเล่น PIP และ Twin Picture ที่ดีที่สุดในตอนนี้ !!!
เลือกที่จะ "ขยายหน้าต่าง" จาก Source หน้าต่างขวา (เป็นภาพจากจานเหลือง DTV)
หรือจะหดเล็กจิ๋ว และขไปขยายหน้าต่างด้านซ้ายแทนก็ได้
ข้อดี
1. "X-Reality" Picture Engine :: ลูกเล่นการปรับภาพเพิ่มมากขึ้นเช่น Dot Noise Reduction, Detail Enhancement เป็นต้น ตัวชิพช่วยปรับปรุงภาพให้ดีขึ้นจากความสามารถของตัว Panel เอง
2. เซนเซอร์ภาพขั้นสูง : Light Sensor ปรับภาพตามสภาพแสงภายในห้องอัตโนมัติ และ Presense Sensor ตรวจจับผู้ชมภายในห้อง หากไม่อยู่เกินกี่นาที ก็จะปิดทีวีลงเองอัตโนมัติ
3. BRAVIA Internet Video :: เล่นเว็บไซต์และดูคลิปต่างๆอาทิเช่น YouTube, Daily Motion และอื่นๆได้
4. ปุ่ม Scene ปรับโหมดภาพและเสียงตามประเภทคอนเทนต์ที่รับชมอยู่ได้อย่างง่ายดาย
ข้อเสีย
1. ไม่มีฟังก์ชั่น Motion Flow 100Hz ซึ่ง CX520 ตัวนี้ถือเป็น LCD TV เกรดท็อปๆแต่ตัดออกไป
2. เมนูการใช้งานแบบใหม่เป็นแบบ "วืบวืบ" ตามสมัยนิยมแบบใน Smart Phone และ Tablet ต่างๆ โดยส่วนตัวคิดว่าการเข้าสู่โหมดปรับภาพต่างๆจะต้องมีขั้นตอนการกดเข้า ไป "ลึกมากขึ้น" จึงอาจจะไม่สะดวกรวดเร็วนัก
3. ช่องต่อ USB ไม่รองรับ External Harddisk (อีกตามเคย)
สรุป
32CX520 เป็น LCD TV ของ Sony รุ่นใหม่ปี 2011 ที่เปิดตัวก่อนใครเพื่อน โดดเด่นด้วยลูกเล่นที่ให้มาอย่างครบครัน และลูกเล่นต่างๆอาทิเช่น Presense Sensor, Light Sensor, BRAVIA Internet Video ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการใช้งานจริงๆทั้งสิ้น คุณภาพของภาพและเสียงก็อยู่ในระดับมาตรฐาน LCD TV 32" ทั้งภาพแบบ HD และ SD ไม่ได้มีจุดให้ติอะไรมากสำหรับทีวี 32" ราคาหนึ่งหมื่นกลางๆ โดยรวมแล้วก็จัดว่าเป็น LCD TV ที่น่าสนใจอีกรุ่นนึงในปี 2011 นี้ครับ ใครกำลังมองหา LCD TV 32" ลูกเล่นครบเครื่อง ใช้งานง่ายๆ ก็พิจารณา 32CX520 เป็นตัวเลือกไว้ในใจได้เลยครับ
ที่มา:LCDTVTHAILAND.COM
หากพูด ถึงเรื่อง "ดีไซน์" นิยามของ Sony ในช่วงสองสามปีหลังๆก็คือ "เรียบๆ แต่ดูดี" เจ้า 32CX520 ก็เช่นกัน จะสังเกตุได้ว่ารูปแบบการต่อยอดเรื่องดีไซน์นั้น มีการพัฒนาจากรุ่น EX400 และ EX500 ของปีที่แล้วอยู่พอสมควร ดูดีไซน์โดยรวมแล้วเป็นสี High Gloss สีดำเงาเหมือนกัน แต่จุดต่างคือ "ขาตั้ง" ของ 32CX520 จะมีความ "โฉบเฉี่ยว" มากยิ่งขึ้นด้วย "คอขาตั้ง" แบบแกนทรงกลมกระบอกซึ่งทำจากเหล็ก ไม่ใช่แกนพลาสติค ในขณะที่รุ่นของปีที่แล้วจะเป็นคอทรงหลี่ยมที่ดูเทอะทะแบบ ปีที่แล้ว ที่สำคัญก็ยังสามารถปรับหมุนซ้ายขวาได้ด้วย และอีกจุดที่แตกต่างก็คือ "ฐานตั้ง" และ "แผ่นแถบตรงกรอบด้านล่าง" ซึ่งมีการออกแบบได้ดูหรูขึ้น จะดูคล้ายอลูมีเนียมขัด ยังให้ความรู้สึกว่ามัน Matching กับกรอบสีดำเงาครับ (แต่พวก EX400 และ EX500 จะเป็นสีเทาซึ่งดันตัดกับสีดำเงาไปซักนิด)
Sony 32CX520 แถบด้านล่างดีไซน์โฉบเฉี่ยวขึ้น
แหล่งรวมเซนเซอร์ / ไฟแสดงสถานะเปิดปิด แสตนด์บาย
กรอบสีดำเงา Glossy Black
แถบสติ๊กเกอร์ที่เป็นเทคโนโลยีขุดขายต่างๆ
ด้านข้างมีช่องต่อ HDMI และ USB ให้มาถึง 2 ช่อง ตลอดจนช่องต่อ RGB PC Input
พอร์ตด้านหลัง ให้มาอย่างเพียงพอต่อความจำเป็นแต่ก็ครบครันไม่ว่าจะเป็น
Lan / AV / Component / HDMI / Optical Out
คอขาตั้งเป็นแกนเหล็กแท่งทรงกระบอก แข็งแรงมาก
และให้ความพริ้วเวลาปรับหมุนทีวีซ้ายขวา
ปุ่มกดด้านข้าง ครบถ้วนตั้งแต่ปุ่ม Power / เปลี่ยนช่อง
/ ปรับ Volume / เปลี่ยน Input และปุ่ม Home
ด้านหลังเป็นกรอบสีดำด้าน การวางตำแหน่งของโซนช่องต่อ ปลั๊กไฟ
และช่องระบายอากาศ ก็อยู่ในตำแหน่งที่เราคุ้นเคย
ในส่วนของความบางก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือไม่ได้หนาเทอะทะและไม่ได้บางเฉียบสะกิดใจแบบ LED TV รุ่นใหม่ๆ ตัวเลข "ความบาง" มาตกอยู่ที่ 70 มม. ซึงถือว่าเป็น LCD TV ที่บางเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว แต่มาในยุคปัจจุบันก็ถือว่าธรรมดามาก และสุดท้ายคือส่วนรีโมทคอนโทรล ซึ่งดีไซน์อาจจะดูเหมือนเดิมไปซักนิด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงให้หวือหวามากนัก แต่การใช้กับรีโมทคอนโทรลของ Sony ก็ยังถือว่าใช้งานได้ง่ายมากเช่นเดิมครับ
ความบางอยู่ที่ 70 มม. ไม่ได้หนาหรือบางจนเกินไปนัก
รีโมท "พิมพ์นิยม" ดีไซน์บล็อคเดิมมาหลายปี T T
ใช้ถ่าน AAA 2 ก้อนซึ่ง Sony ก็แถมถ่านยี่ห้อ Sony มา 2 ก้อนฟรีๆ
สรุปเรื่องดีไซน์ของ Sony 32CX520 รุ่นใหม่ไฟแรงตัวนี้ก็ยังคงคอนเซปต์เดิมซึ่งก็คือ "เรียบๆแต่ดูดี" รูปแบบก็ถือว่าถอดแบบมาจากรุ่นพี่อย่างพวก EX400 EX500 มาและปรับปรุงพัฒนาให้มีความโมเดิร์นขึ้นเล็กน้อย การประกอบติดตั้งตัวเครื่องกับฐานตั้งก็สามารถทำคนเดียวได้อย่างสบายมากครับ
สำหรับคุณภาพของภาพของเจ้า 32CX520 นั้น ผมอยากจะเปรียบเทียบกับ Sony LCD TV รุ่นปีที่แล้วอย่าง 32EX400 และ 32BX300 ครับ จุดเด่นมนปีนี้คือชิพประมวผลภาพตัวใหม่ล่าสุด มีชื่อเรียกว่า "X-Reality" Picture Engine ซึ่งแปลเป็นไทยก็ลงตัวว่า "ภาพสวยสมจริง" โดยเจ้าชิพตัวใหม่ที่มาแทน BRAVIA Engine 3 นั้นจะมีการพัฒนาคุณภาพของการลด Noise เป็นหลัก ทั้งพวก Mosquito Noise เม็ดยุบยิบตามแบคกราวน์และจะเรืองรอบๆวัตถุ, Adaptive Random Noise Reduction หรือเม็ดยุบยิบที่ทำให้สีดำเรื้อนเพราะกล้องที่ถ่ายสู้แสงไม่ได้, และ Dot Noise Reduction จะช่วยลดจุดยุยยิบจากแหล่งสัญญาณความละเอียดต่ำเช่นจากสาย AV พวกทีวีดาวเทียมและเครื่องเล่นดีวีดียุคเก่าเป็นต้น ตลอดจนเทคโนโลยี Intelligent Image Enhancer ก็จะช่วยยกระดับทั้ง 4 ด้านที่เป็นหัวใจของภาพได้แก่ Texture / Outline / Contrast / Colour ของภาพให้ดียิ่งจขึ้น ซึ่งบททดสอบในหน้าถัดๆไปจะแสดงให้เห็นลูกเล่นในการปรับภาพที่ช่วยยกระดับภาพ ได้มากอยู่พอสมควรหากเปรียบเทียบกับการไม่เปิดใช้งานเจ้า X-Reality เลย
ส่วนสเป็คด้านภาพอย่างอื่นที่เด่นๆก็ได้แก่ ความละเอียดหน้าจอแบบ Full HD 1920 x 1080 มี "ปุ่ม Scene" ให้ปรับโหมดภาพตามคอนเทนต์ที่รับชมอยู่ ฟังก์ชั่น LIVE Colour ที่ช่วยยกระดับให้ภาพมีสีสันสดใสมากยิ่งขึ้น มี Light Sensor ที่สามารถคำนวณสภาพแสงภายในห้อง และมาปรับความสว่างของทีวีให้เหมาะสมกับระดับความสว่างภายในห้อง ตลอดจน Power Saving Mode โหมดประหยัดพลังงาน ที่จะช่วยลดระดับ Backlight ลงทำให้ประหยัดไฟมากยิ่งขึ้น ว่าแล้วเราไปชมการทดสอบกันเลยดีกว่าครับ
สัดส่วนภาพ :: Picture Size
หากต้องการดูภาพแบบ "ต้นฉบับ" หรือที่หลายๆค่ายเรียกว่า "Just Scan" หรือ "1:1 Pixel Matching" ให้เลือกสัดส่วนภาพ Wide Mode ให้เป็น "Full" และ Display Area เป็น "+1" ครับ โดยสามารถเข้าไปปรับได้ที่ Home => Display => Screen โดย Pixel จะถูกแสดงจะครบถ้วน ไม่ถูก Crop หายไป ส่วนโหมดอื่นๆเช่น Wide Zoom และ Caption ก็ทำมารองรับการรับชมหนังแบบ 2.35:1 บนทีวีสัดส่วน 1.78:1 (16:9) โดยจะ Crop ในส่วนของ Black Bars บนล่างให้หายไปนิดหน่อย โดยไม่กระทบกระเทือนต่อ Subtitle มากนัก หรือหากจะดูฟรีทีวีสัดส่วนแบบ 4:3 แบบต่นตำหรับ หน้าไม่บาน ก็เลือกโหมด Normal ได้เลยครับ
สัดส่วนภาพครับ ผมเปิดหนัง 2.35:1 ให้เห็นซับไตเติ้ลกันไปเลยว่า
ท่านจะชอบสัดส่วนแบบไหนมากที่สุด
หน้าตาเมนูแบบใหม่ เวลากดคำสั่งเข้าไป
จะมีเอ็ฟเฟกต์ "วืบวืบ" แบบโทรศัพท์ Smart Phone
ปุ่ม Scene :: คือ "ปุ่มลัด" บนรีโมทคอนโทรลให้เราสามารถเข้าไปปรับ "โหมดภาพสำเร็จรูป" อาทิเช่น Cinema / Sports / Animation / Game / Graphics และอื่นๆ โดยนอกจากจะปรับเปลี่ยนภาพตามโหมดนั้นๆแล้ว ก็จะปรับโหมดเสียงให้ "สอดคล้อง" กับโหมดภาพด้วยครับ ตัวอย่างเช่นจะ "ดูหนัง" ก็ปรับเป็นโหมด "Cinema" ทั้งโทนภาพและเสียงก็ถูกปรับให้เทียบเคียงในโรงหนัง เรียกได้ว่า "ใช้งานง่าย + แถมสะดวกสบาย" มือใหม่ LCD TV คงชอบใจน่าดู !!!
โหมดภาพต่างๆจากปุ่ม Scene
ทางผมเองได้ใช้แผ่นปรับภาพ DVE ประกอบกับสายตาของทีมงานช่วยกันปรับภาพให้ Dynamic Range (Brightness/Contrast) และ สีสัน ออกมาให้สมดุลย์ที่สุด โดยความ "ถูกใจ" ของภาพที่ได้ยังคงไม่ทิ้ง "ความถูกต้อง" ของแสงและสีตามให้ใกล้เคียงกับมาตรฐาน
Display Setting
Backlight 5 ถึง 7 แล้วแต่ห้องมืดหรือสว่าง
Picture :: Max
Brightness :: 51
Colour :: 60
Sharpness :: 64
Noise Reduction :: Auto
MPEG Noise Reduction :: Auto
Dot Noise Reduction :: Auto
Advanced Setting
Black Corrector :: Medium
Advanced Contrast Enhancer :: Low
Gamma :: 0
Auto Light Emitter :: Meduim
Clear White :: Off
Live Colour :: Low
Detail Enhancer :: Medium
Edge Enhancer :: Medium
รายงานผลทดสอบ
ผมใช้ Sony PS3 เป็นเครื่องเล่นอ้างอิง โดยใช้สาย LCDTVTHAILAND HDMI V1.4 ต่อเข้าช่องต่อ HDMI 1 ครับ เริ่มจากทดสอบภาพเคลื่อนไหวด้วนคอนเทนต์ "ห้องอาหาร" ที่เป็นฉากแพนกล้อง "ซ้ายไปขวา" เนื่องจาก 32CX520 นั้น ไม่มีฟังก์ชั่น Motion Flow 100Hz ผลที่ออกมาคือฉากมีการกระตุกบ้างเล็กน้อยแต่เป็นการกระตุกที่เป็นธรรมชาติ ของทีวีแบบ 50Hz/60Hz และทดสอบเพิ่มเติมด้วยฉากแพนกล้องซ้ายไปขวาและฉากกระโดดร่มจาก หนังเรื่อง Transformers 2 :: Revenge of The Fallen อาการ Ghost หรือภาพเงาซ้อนเรืองไม่มีให้เห็นซักเท่าไหร่นัก จัดได้ว่า "สามารถ" คุมฉากแพนกล้องและคุม Ghost ได้ค่อนข้างดีใช้ได้เลยทีเดียว
ในขณะที่แผ่น Blu-ray Disc เรื่อง Avartar ก็ถูกนำมาทดสอบเรื่องสีสันเช่นกัน โดยความเป็นธรรมชาติของภาพนั้นทำได้ค่อนข้างดี ภาพสว่างและรายละเอียดยิบย่อยสามารถแสดงออกมาได้หมด รายละเอียดในที่มืดแสดงได้ดีกว่า Edge LED TV ด้วยซ้ำ เพราะโครงสร้างหลอด CCFL ที่เต็มแผงจอกว่านี่เอง การปรับภาพแนะนำเทคนิคเล็กน้อย คือหากปรับ "ตามตำรา" อย่าง ISF ด้วยโหมด Custom ปรับภาพและสีสันให้ถูกต้องแบบ D65 สีสันและรายละเอียดของภาพจะออก "ตุ่นๆ" ไปซักนิด ยิ่งเป็นจอเล็กด้วยยิ่งรู้สึกแปลก ถึงสีสันจะค่อนข้างถูกต้อง แต่ก็อาจจะ "ไม่โดนใจ" ผู้ใช้ทั่วไปในการดูรายการทีวีปกติซักเท่าไหร่นัก
เปรียบเทียบได้กับโหมดภาพ Cinema ที่ให้มาเพราะโทนสีจะออกไปทางโทน "อบอุ่น" อารมณ์ก็จะเหมือนในโรงหนังซึ่งจะต้องปิดระบบปรับภาพฟังก์ชั่นเสริมทิ้งเกือบ ทั้งหมดด้วย จึงเป็นโหมดที่เหมาะสมกับการดูในห้องมืดๆอย่างเดียว แต่ด้วย ความที่ Panel ของ 32CX520 ไม่ได้เทพอะไรมากมายนัก ทำให้สีสันและรายละเอียดจากการปรับคามตำราไม่ค่อยสมบูรณ์โดนใจวัยรุ่นซัก เท่าไหร่ (หากเป็นรุ่นท็อปอย่าง NX810 นี่แทบไม่ต้องเปิดพวกฟังก์ชั่นเสริมช่วยเลยเพราะ Panel มันดีมาก) ดังนี้ตัวที่จะเข้ามาช่วยก็คือ Picture Engine หรือ ระบบประมวลผลภาพ ซึ่งก็คือชิพ "X-Reality" นี่เองผมจึง "ต้องใช้" พวกฟังก์ชั่นปรับภาพเสริมช่วยครับ
ค่าฟังก์ชั่นปรับภาพเสริม
1. Advanced Contrast Enhancer :: ปรับ Backlight และ Contrast ให้รายละเอียดในที่มืดเห็น / Light Emitter / Detail Enhancement และ Edge Enhancement
2. Auto Light Emitter :: ปรับความสว่างของสีขาวให้เหมาะสม
3. Live Colour :: เพิ่มสีสันให้สดใสขึ้น
4. Detail Enhancer :: ยกระดับรายละเอียดให้กับวัตถุ
5. Edge Enhancement :: เพิ่มความคมชัดของขอบภาพ
Advanced Contrast Enhancer ที่จะปรับ Backlight และ Contrast ให้เหมาะสมกับฉากนั้นๆ
ช่วยให้รายละเอียดในที่มืดดีขึ้น ผมปรับระดับให้เป็น Low ภาพกำลังดี
พอใช้ฟังก์ชั่นพวกนี้ในชิพ X-Reality ข่วยก็ยกระดับภาพได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รายละเอียดมาครบ สีสันดี แต่ติดที่ Noise มาเยือนเยอะไปนิดนึง จึงลองของขอเปิดพวก Noise Reduction / Dot Noise Reuction / MPEG Noise Reduction เข้ามาช่วยกระชับพื้นที่ !! ซึ่งก็ลดทอนความคบกริบของภาพไปเพียงนิดเดียว แต่ระดับ Noise ก็ลดลงไปในระดับที่น่าพอใจ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าครับ !!!
โดยพยายามลองเล่นเปิดๆปิดๆและปรับระดับเพิ่มและลดฟังก์ชั่นปรับภาพเสริม เหล่านี้ จนได้สูตรที่ค่อนข้างตรงใจทีมงานว่า ภาพรายละเอียดออกมาครบ สีสันสดใสในระดับพอดี สีไม่เพี้ยนไม่ตุ่น และการคุม Noise อยุ่ในระดับโอเค คือยังมีอยู่ แต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ หากนั่งไกลกว่า 1.25 เมตรก็ไม่น่าจะตะขิดตะขวงแต่อย่างใด โดยค่าปรับภาพที่ผมใช้อ้างอิงคือค่าข้างบนเลยครับ
ทดสอบฉากแพนกล้องในคอนเทนต์ห้องอาหาร มีกระตุก
แต่เป็นการกระตุกที่เป็นธรรมชาติของทีวี 50Hz/60Hz
การคุม Backlight และ ระดับสีดำ อยู่ในเกณฑ์ดีหากเทียบกับ Edge LED และ LCD TV รุ่นเล็ก
คือทดสอบตอนสว่างและนั่งดูตรงๆไม่เห็นแสงรั่ว
หากเป็นห้องมืดสนิทก็มีรั่วบ้างตามสูตร แต่ก็ถือว่าสอบผ่านครับ
ภาพจากหนังเรื่อง Transformers 2 :: Revenge of The Fallen
สีสันจากเรื่อง Avartar ปรับ Live Color เป็น Low กำลังดี สีอิ่ม ส่งเสริมให้ภาพมีมิติที่ดีขึ้น
การปรับสีสันและแสงเงาในระดับที่เหมาะสม
ทำให้สามารถแสดงรายละเอียดภาพออกมาได้เต็มศักยภาพ
เปลี่ยนมาดูการ์ตูนเรื่อง Cloudy with a Chance of Meatball ปรับโหมดภาพจากปุ่ม Scene เป็น "Animation"จะไม่เน้นยกรายละเอียดภาพพวก Detail และ Edge Enhancer ให้สูงเกินจริงเพราะ Animation ต้นฉบับแทบทุกเรื่องจะดีอยู่แล้ว
สีสันและความคมชัดดีกว่า BX300 แบบเห็นๆ และดีกว่า EX400 นิดหน่อย
ดูดีวีดีเรื่อง Eat Pray Love นำแสดงโดย Julia Roberts ความคมชัดอยู่ในระดับ "ปานกลาง"
อาจจะมีติดภาพเป็นโมเสกขุ่นๆเล็กน้อย
เล่นเกมส์ก้แนะนำปรับเป็น Game Mode (จากปุ่ม Scene เช่นเดิม)
จะ "ปิด" ระบบประมวลผลเสริมแทบทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้มีอาการ Input lag
สีสันจาก Game Mode ความสว่างลดลงเล็กน้อยจากโหมดภาพปกติ สีสันมีความสดอิ่มอยู่
ทำให้ลดการระคายเคืองสายตาเวลานั่งจ้องเกมส์ใกล้ๆและนานๆ
1. BRAVIA Internet Video & Widgets :: จริงๆแล้วเจ้า 32CX520 นั้นเป็น WiFi Ready ด้วย หากซื้ออุปกรณ์เสริม USB WiFi Dongle จะเล่น Internet แบบไร้สายได้ทันที แต่ผมเองก็ทดสอบแบบธรรมดาโดยการใช้สาย Lan เชื่อมต่อเข้าพอร์ต Lan ด้านหลังโดยตรง BRAVIA Internet Video มีเว็บไซต์ต่างๆให้เลือกเล่นมากมายอาทิเช่นการดูคลิปใน YouTube, Podcast, Blip.tv และอื่นๆเป็นต้น ฟังวิทยุจาก NPR (National Republic) การ Search คลิปต่างๆก็ทำได้ง่ายโดยใช้ Virtual Keyboard ที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้ว Search คลิปที่ต้องการได้เลย และในอนาคตจากข่าววงในที่ผมได้รับมาก็คือ Sony เองจะร่วมกับเครือ Nation และ MTHAI ในการทำ Local Contents สำหรับ Sony BRAVIA โดยเฉพาะ ไม่แน่ในอนาคตอันใกล้เราอาจจะได้ดูข่าวจาก Nation หรือดูคลิปรายการ Gossip Stars ผ่านทาง BRAVIA Internet Video ก็ได้ครับ
หมายเหตุ :: คาดการณ์ว่า Local Contents จะมาในช่วงครึ่งปีหลังของ 2011
หน้าตา BRAVIA Internet Video มีเว็บไซต์ให้เลือกเล่นมากมาย
ดูคลิปวีดีโอที่น่าสนใจจาก YouTube
ดูคลิปวีดีโอจาก DailyMotion แบบ HD ได้ด้วยนะครับ (ว้าว)
ฟังวิทยุจาก Nationnal Public Radio (NPR)
2. Light Sensor :: เซนเซอร์ตะคอยคำนวณปรับความสว่างของภาพบนจอให้สัมพันธ์กับความสว่างในห้อง เช่นห้องมืด ทีวีก็จะหรี่ Backlight ลง เพื่อให้สว่างจ้าตาจนเกินไป หรือหากห้องสว่างๆก็จะเร่ง Backlight ให้สว่างสู้แสงมากยิ่งขึ้น โดยการปรับระดับแสงของตัวทีวีนั้นค่อนข้างที่จะนุ่มนวล ไม่กระโชกโฮกฮากจนรู้สึกว่าทีวีมันวูบวาบ จัดได้ว่าเป็นฟังก์ชั่นที่เหมาะกับผู้ที่ขี้เกียจปรับภาพ ตัวอย่างง่ายๆคือในห้องนอนของผม ไอครั้นจะจับรีโมทมานั่งปรับภาพให้เหมาะสมกับการดูทั้งในตอนกลางวันกลางคืน มันก็แอบขี้เกียจจริงๆ หากได้มีโอกาสได้ร่วมห้องนอนกับ LCD TV หรือ Plasma TV ตัวใหม่ๆเมื่อไหร่หละก็ ผมจะเน้นว่าต้องมีฟังก์ชั่นนี้เสมอครับ เพราะผมจะได้ใช้มันแน่ๆ
3. Presence Sensor :: แปลง่ายๆก็คือ หากคุณไม่ได้อยู่บริเวณหน้าจอทีวี ทีวีมันก็จะปิดภาพเองลงอัตโตมัติ (แต่เสียงยังอยู่) จะช่วยประหยัดไฟได้ระดับนึงเลย เพราะตัวเซนเซอร์มันจะคอยตรวจจับตัวบุคคลว่าอยู่ในรัศมีทำการของเซนเซอร์ หรือไม่ โดยระยะทำการได้ไกลสูงสุดประมาณ 6 เมตร ในรัศมีประมาณ 80 องศา ซึ่งวัดจากตัวเซนเซนเซอร์ที่อยู่บริเวณ "มุมซ้ายล่าง" ของตัวทีวี หากตรวจจับ "ไม่พบการเคลื่อนไหว" ของตัวเราหรือวัตถุอื่นๆภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น 5 นาที 10 นาที ไปจนถึง 60 นาที (สามารถตั้งเวลาได้) ก็จะทำการ "ปิดภาพ" ทีวีลงอัตโนมัติ แต่ถ้าหากเราเดินกลับมานั่งอยู่ในระยะรัศมีของเซนเซอร์อีกครั้งนึง ทีวีก็จะทำการ "เปิดภาพ" ทีวีขึ้นมาอีกครั้ง เซนเซอร์จะอาศัยหลักการพื้นฐานในการตรวจจับว่ามีการ เคลื่อนไหวของวัตถุหรือไม่ โดยเทคโนโลยี Presnece Sensor นี้มีการพัฒนามาจากรุ่น NX700 / NX800 ของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผมยังไม่เห็นแบรนด์ไหนมีมาก่อน
การตั้งค่า Presence Sensor
4. Power Saving Mode :: โหมดประหยัดไฟ มี 4 คือ Off / Low / High / Picture Off โดยเป้นการลดระดับ backlight เพื่อให้ความสว่างลดลง เหมาะกับการดูในที่มีแสงน้อยหรือที่มืด ระดับ Low ก้เหมาะกับห้องที่ไม่ค่อยสว่างมีไฟสลัวๆหน่อย ส่วนระดับ High ก็เหมาะกับตอนกลางคืนห้องที่ปิดไฟมืดสนิทเพราะจะลดระดับ Backlight ลงค่อนข้างมาก ส่วน Picture Off ก็จะเป็นการให้เปิดเสียงอย่างเดียว แต่ไม่มีภาพ เช่นตื่นนอนมาแล้วอาบน้ำไป และฟังข่าวสรยุทธไป เป็นต้น ก็จะช่วยประหยัดไฟได้ดีอีกวิธีนึง
5. i-Manual :: คู่มือการใช้งานที่ "ฝังอยู่" ในตัวเครื่องเลย เป็นลักษณะเหมือน E-Book มีประโยชน์มากๆ เพราะใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่เข้าใจง่ายพร้อมภาพประกอบ ฟังก์ชั่นยากๆอย่างพวก Presense Sensor, การเชื่อมต่อ BRAVIA Internet Video, คำศัพท์เทคนิคในการปรับภาพและเสียงต่างๆ ได้ถูกอธิบายไว้ใน i-Manual พร้อมภาพประกอบแล้ว บอกได้เลยว่าต่อไปจะหมดยุคหนังสือคู่มือที่มาเป็นเล่มหนาเตอะ เพราะ i-Manual มันง่ายและสะดวกจริงๆ ผมเองให้ความคิดเห็นในฐานะผู้ทดสอบ ก็อาศัย i-Manual นี่แหละครับไขความกระจ่างลูกเล่นและฟังก์ชั่นใหม่ๆที่ผมไม่เข้าใจได้อย่างดี เยี่ยม
หน้าตาของ i-Manual
6. PIP & Twin Picture :: PIP ย่อมาจาก Picture in Picture หรือภาพซ้อนภาพนั่นเอง คือมีภาพใหญ่เป็นภาพหลักและมีอีกช่องเป็นภาพเล็กอยู่บริเวณมุมทีวีครับ ส่วน Twin Picture คือมีภาพจากแหล่งสัญญาณอันแรกซึ่งอยู่ด้านซ้าย และแหล่งสัญญาณที่สองอยู่ด้านขวา จะเรียกว่า "ภาพมาคู่กัน" ไม่ได้อยู่ข้างในหรือทับภาพของอีกแหล่งสัญญาณนึงแบบ PIP ของ Sony มีความพิเศษตรงที่เมื่อทำ Twin Picture แล้วสามารถ "ขยายหรือหด" ขนาดของหน้าต่างภาพได้ครับ ในรูปตัวอย่างผมดูหนัง Blu-ray แบบ 16:9 จาก HDMI 1 (ด้านซ้าย) และเปิด DTV จานเหลือง สัดส่วน 4:3 จาก AV1 ด้านขวา โดยผมลอง "ขยายและหด" หน้าต่างด้านขวาโดการกดปุ่มคำสั่ง "ขึ้นและลง" บนรีโมทคอนโทรล เพื่อสั่งให้ "ขยายหรือหด" และเรายังสามารถเลือกให้เสียงให้ออกหน้าต่างไหนก็ได้เช่นกัน จัดได้ว่าเป้นทีวีที่มีลูกเล่น PIP และ Twin Picture ที่ดีที่สุดในตอนนี้ !!!
เลือกที่จะ "ขยายหน้าต่าง" จาก Source หน้าต่างขวา (เป็นภาพจากจานเหลือง DTV)
หรือจะหดเล็กจิ๋ว และขไปขยายหน้าต่างด้านซ้ายแทนก็ได้
ข้อดี
1. "X-Reality" Picture Engine :: ลูกเล่นการปรับภาพเพิ่มมากขึ้นเช่น Dot Noise Reduction, Detail Enhancement เป็นต้น ตัวชิพช่วยปรับปรุงภาพให้ดีขึ้นจากความสามารถของตัว Panel เอง
2. เซนเซอร์ภาพขั้นสูง : Light Sensor ปรับภาพตามสภาพแสงภายในห้องอัตโนมัติ และ Presense Sensor ตรวจจับผู้ชมภายในห้อง หากไม่อยู่เกินกี่นาที ก็จะปิดทีวีลงเองอัตโนมัติ
3. BRAVIA Internet Video :: เล่นเว็บไซต์และดูคลิปต่างๆอาทิเช่น YouTube, Daily Motion และอื่นๆได้
4. ปุ่ม Scene ปรับโหมดภาพและเสียงตามประเภทคอนเทนต์ที่รับชมอยู่ได้อย่างง่ายดาย
ข้อเสีย
1. ไม่มีฟังก์ชั่น Motion Flow 100Hz ซึ่ง CX520 ตัวนี้ถือเป็น LCD TV เกรดท็อปๆแต่ตัดออกไป
2. เมนูการใช้งานแบบใหม่เป็นแบบ "วืบวืบ" ตามสมัยนิยมแบบใน Smart Phone และ Tablet ต่างๆ โดยส่วนตัวคิดว่าการเข้าสู่โหมดปรับภาพต่างๆจะต้องมีขั้นตอนการกดเข้า ไป "ลึกมากขึ้น" จึงอาจจะไม่สะดวกรวดเร็วนัก
3. ช่องต่อ USB ไม่รองรับ External Harddisk (อีกตามเคย)
สรุป
32CX520 เป็น LCD TV ของ Sony รุ่นใหม่ปี 2011 ที่เปิดตัวก่อนใครเพื่อน โดดเด่นด้วยลูกเล่นที่ให้มาอย่างครบครัน และลูกเล่นต่างๆอาทิเช่น Presense Sensor, Light Sensor, BRAVIA Internet Video ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการใช้งานจริงๆทั้งสิ้น คุณภาพของภาพและเสียงก็อยู่ในระดับมาตรฐาน LCD TV 32" ทั้งภาพแบบ HD และ SD ไม่ได้มีจุดให้ติอะไรมากสำหรับทีวี 32" ราคาหนึ่งหมื่นกลางๆ โดยรวมแล้วก็จัดว่าเป็น LCD TV ที่น่าสนใจอีกรุ่นนึงในปี 2011 นี้ครับ ใครกำลังมองหา LCD TV 32" ลูกเล่นครบเครื่อง ใช้งานง่ายๆ ก็พิจารณา 32CX520 เป็นตัวเลือกไว้ในใจได้เลยครับ
ที่มา:LCDTVTHAILAND.COM