Announcement

Collapse
No announcement yet.

สงสัยเรื่อง 3D ครับ

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • สงสัยเรื่อง 3D ครับ

    เท่าที่ผมเข้าใจ 3D ในโรงหนังมันก็คือเครื่องฉาย 2 เครื่องฉายมาที่ฉากรับตัวเดียวกันเป็นภาพซ้อนภาพ แล้วใช้เเว่น 3D ดู แต่ทำไมเวลามาเปิดเล่นหนังในคอมผ่านโปรแกรม CyberLink PowerDVD 3D Ultra Version 10 ซึ่งมีโหมด 3D ปรับภาพซ้อนภาพได้แบบโรงหนังเลย ต้องกำหนดอีกว่าต้องใช้จอที่มีความถี่ 120 ส่วนตัวผมไม่ได้มีปัญหากับตัวโปรแกรมนะครับ แต่ทุกอย่างที่เป็น 3D ผ่านคอมเนี่ยต้องใช้จอความถี่ 120 ตลอดเลย ถ้าใช้จอความถี่ 60 มันจะเป็นไรเหรอครับ ในเมื่อภาพมันก็ซ้อนให้อยู่แล้ว แล้วโรงหนังภาพเสียงที่ออกมาก็เหมือนเราฉายโปรเจคเตอร์ไม่ใช่เหรอครับ ผู้มีความรู้ช่วยตอบให้กระจ่างด้วยครับผม จะทำสงครามปัญหากับ 3D อยู่แล้ว
    ปล. ถ้าใช้แว่น 3D ที่ได้จากโรงหนัง (ที่เมืองนอกเค้าให้มาเลย) มาดูหนังในคอมที่ผ่านโปรแกรม PowerDVD 3D Ultra ความถึ่ที่ 60 จะเป็น 3D ให้ไหมครับ
    ขอบพระคุณมากๆครับ
    "^"เติมความรู้ให้สมองครับ"^"
    Last edited by Tanawit; 28 Sep 2010, 17:00:24.

  • #2
    นั้นสิผมเองก็อยากรู้มานานละ

    Comment


    • #3
      ผมเองก็อยากรู้มานานแล้วคับ

      ว่าแต่แว่น3มิติแบบโพลาไลน์

      ซื้อไหนคับ

      Comment


      • #4
        มันไม่ได้เอาภาพซ้ายกับขวามาซ้อนกันทีละภาพ แล้วฉายออกมาครับ
        แต่มันทำการฉายภาพสลับกันไปมาจนเหมือนเกิดการซ้อนกันของภาพ
        เลยต้องใช้จอที่มีความถี่มากกว่าจอทั่วไป 2 เท่าครับ

        Comment


        • #5
          ไม่แน่ใจนะครับ

          คิดว่าจอ LCD ปกติมัน 60Hz ครับ

          3มิติ ฉายภาพเป็น2เท่าคือซ้าย+ขวา กระพิบสลับกันเร็วๆ มองตาเปล่าไม่ออกเหมือนกับว่าฉายภาพซ้อน แต่จริงๆไม่ซ้อน มันสลับ เลยต้องใส่แว่น 3D เพื่อดู

          ทีนี้ถ้าจอ60Hz หาร2 มันได้ข้างละ30Hz มันคงไม่ลื่นตามั้งครับ เลยต้อง 120ขึ้นไป หาร2แล้วก็ได้ข้างละ60Hz เท่าปกติ ภาพจะได้ลื่นไหลเหมือนปกติ

          Comment


          • #6
            แล้วแว่น3มิติแบบโพลาไลน์

            ซื้อไหนคับ

            Comment


            • #7
              ผมฝากป้าผมซื้ออยู่อเมริกาครับ

              Comment


              • #8
                แบบ 1. Anaglyph

                จริงๆ เทคโนโลยี 3D นั้นมีมานานแล้วนับร้อยปี โดยที่ในยุคแรกๆ เราจะเรียกการฉายภาพ 3D แบบดั้งเดิมนี้ว่า Anaglyph หรือที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีในรูปแบบของแว่นตาสีแดงและสีน้ำเงิน
                โดยหลักการของภาพ 3D แบบนี้คือการใช้ฉายภาพสองภาพซ้อนลงไปบนเฟรมเดียวกัน โดยที่ภาพสองภาพจะมีลักษณะของสีที่แตกต่างคือสีแดง และสีน้ำเงิน (รวมถึงมุมมองที่เหลื่อมกันเล็กน้อยด้วย) ส่วนแว่นตัวนี้ก็จะมีหน้านี้คือการหักล้างสีที่ไม่ตรงกับฟิลเตอร์สีนั้นๆ ออกไปเช่นสีแดง ก็จะรับเพียงสีแดงเข้ามา (คือแสดงเป็นภาพ) ส่วนสีที่เหลือจะกลายเป็นสีดำ อีกข้างก็เช่นเดียวกัน ข้อเสียคือสีจะค่อนข้างซีดและไม่สดใสเท่าที่ควร ข้อดีคือราคาถูก (แว่นประเภทนี้ราคาไม่กี่บาทเท่านั้นเอง)


                แบบ 2. Polarized 3D

                ต่อมาได้พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งโดยการฉายภาพสองภาพลงไปบนเฟรมเดียวกัน เหมือนเดิม แต่รอบนี้ภาพที่ฉายออกมาจะเป็นภาพที่ผ่านฟิลเตอร์ Polarize ที่แตกต่างกัน ภาพที่ได้ก็จะเหลื่อมกันเหมือนเดิม (หากไม่ได้มองผ่านแว่น) แต่แว่นตัวนี้จะพิเศษหน่อยคือด้านหนึ่งจะกรองคลื่นแสงเฉพาะแนวนอน ส่วนอีกด้านก็แนวตั้งเท่านั้น
                รูปแบบการฉายแบบ Polarized นี่คือเทคโนโลยีที่อยู่ในยุคปัจจุบัน Avatar ก็ใช้เทคนิคนี้เช่นกัน รวมถึงทีวี 3D ที่ออกวางจำหน่ายในปัจจุบันด้วย แต่รูปแบบของการฉายจะมีอีกสองแบบแยกย่อยออกไปอีกคือ

                * Linear Polarization: นี่เป็นรูปแบบปัจจุบันที่ใช้กันเยอะ คือการกรองในแนวตั้ง และแนวนอน ข้อเสียคือหากคุณหมุนหัวหรือนั่งไม่ได้ระดับ ภาพจะแยกออกกันในทันที (เหตุผลที่ควรนั่งในโรงและมองให้ตรงฉากกับจอ และอยู่ให้นิ่ง ก็เพราะใช้แว่นแบบนี้) ข้อดีคือราคาไม่แพงมาก
                * Circular Polarization: รูปแบบคล้ายด้าานบน แต่ฟิลเตอร์จะกรองแสงแบบตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มแทน ข้อดีของแบบนี้คือสามารถหันหัวไปมาได้ (แต่ในไทยผมไม่เคยเห็นแบบนี้แฮะ ใครเจอโปรดแจ้ง)


                แบบ 3. Paralax Barrier

                ปัจจุบันเรายังไม่ค่อยเห็นเทคนิคแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่เทคนิคแบบนี้ข้อดีคือไม่ต้องใช้แว่นใดๆ ในการมองเลย เป็นเทคโนโลยีที่จะใช้ในทีวียุคต่อไป ใช้การฉายภาพสองเฟรมพร้อมกันลงบนจอ และมีฟิลเตอร์กรองแสงบนหน้าจอให้เข้าลูกกะตาของเราสองข้างแทน (แสงพุ่งเข้าตาแบบตรงๆ ชนิดไม่ต้องใช้แว่น) วิธีนี้เวิร์คสุดๆ แต่ยังเป็นอนาคตอีกยาวไกลที่ต้องพัฒนากันต่อ (ผมว่าจอ 3D ตามห้างดังๆ ก็อาจใช้หลักการเดียวกันกับแบบนี้นั่นละครับ)

                รูปแบบที่กล่าวมาทั้งสามแบบ มีจุดประสงค์เดียวกันทั้งหมดคือทำให้เราได้รับภาพที่แตกต่างกันสองภาพสำหรับ ดวงตาของเรา เพราะการมองภาพให้ได้เป็น 3D นั้นจำเป็นต้องได้ภาพที่มีมุมมองสำหรับลูกตาสองข้างของเรา เราสามารถทดสอบรูปแบบของภาพที่จะเข้าลูกตาเราทั้งสองข้างได้เองโดยการหลับตา เพียงข้างเดียวและสลับซ้ายขวาดู ภาพที่ได้จะมีความแตกต่างกันนิดหน่อยจากตำแหน่งของลูกตาทั้งสองข้างที่ต่างกัน จบ


                ปล. คุณถาม
                1.ถ้าใช้จอความถี่ 60 มันจะเป็นไรเหรอครับ

                สาเหตุที่ต้องใช้จอที่มีอัตราการ Refresh Rate ที่ 120 Hz นั้นก็เพราะว่าเมื่อเรามองภาพแว่น 3D Vision ความเร็วของการเปิด/ปิดเลนส์ของแว่นจะส่งผลให้ความเร็ว Refresh Rate ของจอภาพลดลงเหลือประมาณครึ่งเดียว ดังนั้นถ้าเราใช้จอ LCD ทั่วๆ ไปที่มี Refresh Rate ที่ 60-75 Hz กับแว่น 3D vision จะเหลือความเร็วเพียง 30 Hz กว่าๆ เท่านั้น ซึ่งภาพที่ปรากฏจะกระตุกเอามากๆ เป็นอันว่ายังไงๆ เราก็ต้องซื้อจอใหม่ 120 Hz เพื่อที่จะมาเล่นที่อัตรา 60 Hz ลื่นๆ แน่นอนครับ

                2.ถ้าใช้แว่น 3D ที่ได้จากโรงหนัง (ที่เมืองนอกเค้าให้มาเลย) มาดูหนังในคอมที่ผ่านโปรแกรม PowerDVD 3D Ultra ความถึ่ที่ 60 จะเป็น 3D ให้ไหมครับ
                ในความคิดส่วนตัวผมนะคิดว่าเป็น 3D แน่นอน แต่จะลื่นไหมอยู่ที่ปัจจัยอื่นด้วย เดานะครับเดา ว่าน่าจะเป็นที่ตัวหนังที่มีการสร้างให้มีการกระพริบของภาพที่สูงกว่าปกติโปรแกรม PowerDVD 3D Ultra มันสามรถแปลงภาพ 2 ภาพซ้อนกันซึ่งแต่ละภาพยิงออกมา 60 60 ได้มั้ยไม่สำคัญ จอมันได้แค่ 60-75 hz เมื่อมองผ่านแว่นให้ได้ความถี่ 30 30 hz ก็กระตุกอยู่ดี เพื่อจะได้การเคลื่นภาพที่ดีไม่เวียนหัวเหมือนยุคแรกๆ อะไรเป็นตัวที่ทำให้ hz สูง จอ หรือหนัง หรือโปรแกรม ผมว่าน่าจะต้องสมานกันหมดนะเป็นอะไรที่สร้างมาเพื่อมันจะได้หลอกแดกตังค์เราอีกแล้ว 555
                Last edited by weezerice; 19 Apr 2010, 21:12:59.

                Comment


                • #9
                  Originally posted by weezerice View Post
                  แบบ 1. Anaglyph

                  จริงๆ เทคโนโลยี 3D นั้นมีมานานแล้วนับร้อยปี โดยที่ในยุคแรกๆ เราจะเรียกการฉายภาพ 3D แบบดั้งเดิมนี้ว่า Anaglyph หรือที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีในรูปแบบของแว่นตาสีแดงและสีน้ำเงิน
                  โดยหลักการของภาพ 3D แบบนี้คือการใช้ฉายภาพสองภาพซ้อนลงไปบนเฟรมเดียวกัน โดยที่ภาพสองภาพจะมีลักษณะของสีที่แตกต่างคือสีแดง และสีน้ำเงิน (รวมถึงมุมมองที่เหลื่อมกันเล็กน้อยด้วย) ส่วนแว่นตัวนี้ก็จะมีหน้านี้คือการหักล้างสีที่ไม่ตรงกับฟิลเตอร์สีนั้นๆ ออกไปเช่นสีแดง ก็จะรับเพียงสีแดงเข้ามา (คือแสดงเป็นภาพ) ส่วนสีที่เหลือจะกลายเป็นสีดำ อีกข้างก็เช่นเดียวกัน ข้อเสียคือสีจะค่อนข้างซีดและไม่สดใสเท่าที่ควร ข้อดีคือราคาถูก (แว่นประเภทนี้ราคาไม่กี่บาทเท่านั้นเอง)


                  แบบ 2. Polarized 3D

                  ต่อมาได้พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งโดยการฉายภาพสองภาพลงไปบนเฟรมเดียวกัน เหมือนเดิม แต่รอบนี้ภาพที่ฉายออกมาจะเป็นภาพที่ผ่านฟิลเตอร์ Polarize ที่แตกต่างกัน ภาพที่ได้ก็จะเหลื่อมกันเหมือนเดิม (หากไม่ได้มองผ่านแว่น) แต่แว่นตัวนี้จะพิเศษหน่อยคือด้านหนึ่งจะกรองคลื่นแสงเฉพาะแนวนอน ส่วนอีกด้านก็แนวตั้งเท่านั้น
                  รูปแบบการฉายแบบ Polarized นี่คือเทคโนโลยีที่อยู่ในยุคปัจจุบัน Avatar ก็ใช้เทคนิคนี้เช่นกัน รวมถึงทีวี 3D ที่ออกวางจำหน่ายในปัจจุบันด้วย แต่รูปแบบของการฉายจะมีอีกสองแบบแยกย่อยออกไปอีกคือ

                  * Linear Polarization: นี่เป็นรูปแบบปัจจุบันที่ใช้กันเยอะ คือการกรองในแนวตั้ง และแนวนอน ข้อเสียคือหากคุณหมุนหัวหรือนั่งไม่ได้ระดับ ภาพจะแยกออกกันในทันที (เหตุผลที่ควรนั่งในโรงและมองให้ตรงฉากกับจอ และอยู่ให้นิ่ง ก็เพราะใช้แว่นแบบนี้) ข้อดีคือราคาไม่แพงมาก
                  * Circular Polarization: รูปแบบคล้ายด้าานบน แต่ฟิลเตอร์จะกรองแสงแบบตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มแทน ข้อดีของแบบนี้คือสามารถหันหัวไปมาได้ (แต่ในไทยผมไม่เคยเห็นแบบนี้แฮะ ใครเจอโปรดแจ้ง)


                  แบบ 3. Paralax Barrier

                  ปัจจุบันเรายังไม่ค่อยเห็นเทคนิคแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่เทคนิคแบบนี้ข้อดีคือไม่ต้องใช้แว่นใดๆ ในการมองเลย เป็นเทคโนโลยีที่จะใช้ในทีวียุคต่อไป ใช้การฉายภาพสองเฟรมพร้อมกันลงบนจอ และมีฟิลเตอร์กรองแสงบนหน้าจอให้เข้าลูกกะตาของเราสองข้างแทน (แสงพุ่งเข้าตาแบบตรงๆ ชนิดไม่ต้องใช้แว่น) วิธีนี้เวิร์คสุดๆ แต่ยังเป็นอนาคตอีกยาวไกลที่ต้องพัฒนากันต่อ (ผมว่าจอ 3D ตามห้างดังๆ ก็อาจใช้หลักการเดียวกันกับแบบนี้นั่นละครับ)

                  รูปแบบที่กล่าวมาทั้งสามแบบ มีจุดประสงค์เดียวกันทั้งหมดคือทำให้เราได้รับภาพที่แตกต่างกันสองภาพสำหรับ ดวงตาของเรา เพราะการมองภาพให้ได้เป็น 3D นั้นจำเป็นต้องได้ภาพที่มีมุมมองสำหรับลูกตาสองข้างของเรา เราสามารถทดสอบรูปแบบของภาพที่จะเข้าลูกตาเราทั้งสองข้างได้เองโดยการหลับตา เพียงข้างเดียวและสลับซ้ายขวาดู ภาพที่ได้จะมีความแตกต่างกันนิดหน่อยจากตำแหน่งของลูกตาทั้งสองข้างที่ต่างกัน จบ


                  ปล. คุณถาม
                  1.ถ้าใช้จอความถี่ 60 มันจะเป็นไรเหรอครับ

                  สาเหตุที่ต้องใช้จอที่มีอัตราการ Refresh Rate ที่ 120 Hz นั้นก็เพราะว่าเมื่อเรามองภาพแว่น 3D Vision ความเร็วของการเปิด/ปิดเลนส์ของแว่นจะส่งผลให้ความเร็ว Refresh Rate ของจอภาพลดลงเหลือประมาณครึ่งเดียว ดังนั้นถ้าเราใช้จอ LCD ทั่วๆ ไปที่มี Refresh Rate ที่ 60-75 Hz กับแว่น 3D vision จะเหลือความเร็วเพียง 30 Hz กว่าๆ เท่านั้น ซึ่งภาพที่ปรากฏจะกระตุกเอามากๆ เป็นอันว่ายังไงๆ เราก็ต้องซื้อจอใหม่ 120 Hz เพื่อที่จะมาเล่นที่อัตรา 60 Hz ลื่นๆ แน่นอนครับ

                  2.ถ้าใช้แว่น 3D ที่ได้จากโรงหนัง (ที่เมืองนอกเค้าให้มาเลย) มาดูหนังในคอมที่ผ่านโปรแกรม PowerDVD 3D Ultra ความถึ่ที่ 60 จะเป็น 3D ให้ไหมครับ
                  ในความคิดส่วนตัวผมนะคิดว่าเป็น 3D แน่นอน แต่จะลื่นไหมอยู่ที่ปัจจัยอื่นด้วย เดานะครับเดา ว่าน่าจะเป็นที่ตัวหนังที่มีการสร้างให้มีการกระพริบของภาพที่สูงกว่าปกติ เมื่อมองผ่านแว่นให้ได้ความถี่ 60 60 เพื่อจะได้การเคลื่นภาพที่ดีไม่เวียนหัวเหมือนยุคแรกๆ อะไรเป็นตัวที่ทำให้ hz สูง จอ หรือหนัง หรือโปรแกรม ผมว่าน่าจะต้องสมานกันหมดนะเป็นอะไรที่สร้างมาเพื่อมันจะได้หลอกแดกตังค์เราอีกแล้ว 555
                  ขอบคุนครับ ความรู้ดีจิงๆ

                  แล้วพอรู้ไหมคับ แว่นแบบPolarized ซื้อที่ไหนอะ

                  Comment


                  • #10
                    ...............

                    ผิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

                    Comment


                    • #11
                      ตูรอไม่ใหว ใช้ len กล้องทำ แล้วครับ

                      Comment


                      • #12
                        http://www.berezin.com/3D/3dglasses.htm#Circular

                        Comment


                        • #13
                          http://zog.utc.edu/~vislab/Cellophan...es%20Tests.htm

                          http://www.3dstereo.com/viewmaster/glp.html

                          ใครจะซื้อก็บอกด้วยอะเอาด้วย
                          แต่คิดว่าต้องเปลี่ยนจอด้วย -*-

                          Comment


                          • #14
                            สรุปว่าแว่น real D 3D เอามาดูกับจอคอมได้เปล่า แล้วเวลาจะดูหนังต้องปรับเลือก 3D ระบบไหนละ งงมากเลย

                            เราก็มีแว่นนี้อยู่ แต่ลองแล้วดูไม่เห็นได้เลย ใส่แว่นกับไม่ใส่ ก็ไม่ต่างกันเลย
                            Last edited by tauhuyee; 14 May 2010, 15:13:45.

                            Comment


                            • #15
                              แว่นนี้ผมเคยลองแล้วครับผม แต่ไปใช้กับจอที่ไม่ได้เป็น 120 Hz เห็นบน Power DVD 10 3D บอกว่า ต้องเป็นจอ LCD 120Hz ถึงจะเห็นผล ผมลองเปิดกับ Avatar 39 GB มันก็เหมือนจะ 3D นะครับผม แต่ก็ไม่ถึงกับชัดเจนอะไรมากครับผม

                              Comment

                              Working...
                              X