Announcement

Collapse
No announcement yet.

[<[มือใหม่]>]มาทำความรู้จักกับขนาด Mainboard ในปัจจุบันกัน ! ! !

Collapse
X
 
  • Filter
  • Time
  • Show
Clear All
new posts

  • [<[มือใหม่]>]มาทำความรู้จักกับขนาด Mainboard ในปัจจุบันกัน ! ! !

    เมนบอร์ด (Mainboard)


    เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญรองมาจากซีพียู เมนบอร์ดทำหน้าที่ควบคุม ดูแลและจัดการๆ ทำงานของ อุปกรณ์ชนิดต่างๆ แทบทั้งหมดในเครื่องคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ซีพียู ไปจนถึงหน่วยความจำแคช หน่วยความจำหลัก ฮาร์ดดิกส์ ระบบบัส บนเมนบอร์ดประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆ มากมาย เมนบอร์ดที่ใช้งานในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่เป็นแบบ ATX เกือบทั้งหมดแล้ว เทคโนโลยีของเมนบอร์ดเองก็ได้มีการพัฒนาไปมากเช่นกัน ซึ่งมีเทคโนโลยีเข้ามาในการเพิมประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น มีสีสันที่สวยงามโดยเฉพาะคนที่ชอบแต่งเครื่องของตัวเองจะเลือกสีสันที่มีความสวยงาม

    เมนบอร์ด (Mainboard) คืออะไร มีหน้าที่อย่างไร


    เมนบอร์ด (Mainboard) คือ ศุนย์กลางของการเชื่อมต่อสำหรับอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีชิปเซตที่ำทำหน้าที่รับ/ส่งข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ อีกขั้นหนึ่ง เมนบร์ด (Mainboard)นิยมใช้มาตรฐานการออกแบบ ATX (Advance Technology Extension) ปรับปรุงจากระบบเก่าที่เป็นแบบ Body AT โดยแบบใหม่จะมีการปรับปรุงบริเวณ ซีพียู(CPU)โดยจะย้ายไปไกลพัดลมของแหล่งจ่ายไฟ(Power Supply) ทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น

    และล่าสุดนี้มีการพัฒนาแบบ BTX (Balance Technology Extension) ได้นำพัดลมมาไว้ด้านหน้าเึคสเพื่อนำลมเย็นเข้าไปภายในระบบและนำซีพียู(CPU)มาไว้ด้านหน้าเครื่องเพื่อรับสมเย็นโดยตรง ส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องใ้ช้พัดลมที่มีความเร็วรอบสูงและเสียงดัง ปัจจุบันเมนบอร์แบบ BTX ไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น เคส ฮัตซิงค์ เป็นต้น

    นอกจากเมนบอร์ดมาตรฐาน ATX (Advance Technology Extension) ปัจจุบันยังมีเมนบอร์ดมาตรฐาน Mini-ITX เป็นเมนบอร์ดขนาดเล็กสำหรับคอมพิวเตอร์ทีมีขนาดเล็กเพื่อความบันเทิงหรือ HTPC และเคสก็ออกแบบมาอย่างเหมาะสมเพื่อวาง LCD TV ตัวเมนบอร์จึงมีขนาดเล็กตามไปด้วย เมนบร์ดบอร์ดลักษณะนี้จะรวมทุกอย่างไว้บนเมนบอร์ดและมีเพียง 1 สล็อตเท่านั้น

    มารู้จักส่วนประกอบของเมนบอร์ด




    1.ซ็อกเก็ตซีพียู


    ซ็อกเก็ตซีพียู เป็นที่ติดตั้งของตัวซีพียูเองจะมีลักษณะตามรุ่นตามยี่ห้อ หรือตามซีพียูที่เราจะใส่ ดังนั้นเราควรที่จะเลือกให้ตรงกันด้วย


    2. พอร์ตที่ใช้ในการเชื่อมต่อ

    ทางด้านหลังของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะมีพอร์ตที่ใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายนอก ซึ่งแต่ล่ะพอร์ตจะมีรูเสียบเฉพาะของอุปกรณ์ที่ต่อนั้นจะไม่ค่อยต่อผิดกัน มาดูตัวอย่างกันว่าแต่ล่ะพอร์ตนั้นใช้ต่อกับอะไรบ้าง



    1 .PS/2 เป็นพอร์ตไว้สำหรับการเชื่อมต่อ เมาส์และคีย์บอร์ด โดยทั่วไปแล้วเมาส์จะเป็นสีเขียว และคีย์บอร์ดจะเป็นสีม่วง ซึ่งในปัจจุบันนี้จะมีการเปลี่ยนมาใช้ USB แต่ก็ยังมี PS/2 มีใช้อยู่เป็นจำนวนมาก

    2. Firewire เป็นพอร์ตการเชื่อมต่อที่มีลักษณะคล้ายกับ USB ซึ่งมีอัตราความเร็วกว่า ด้วยมาตรฐาน IEEE 1394a มีอัตราการเชื่อมต่อรับ/ส่งข้อมูล 400MB/s อุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อเช่น ฮาร์ดดิสก์แบบภายนอก
    3.eSATA เป็นการเชื่อมสำหรับ ฮาร์ดดิสก์แบบภายนอก เช่นกัน
    4. USB เป็นการเชื่อมต่อภายนอกแบบต่างๆ แล้วจะมีพอร์ตนี้มากเป็นพิเศษเพราะว่ามีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้หลากหลาย อย่างเช่นเครื่องพิมพ์ เมาส์ และอื่นๆอีก รวมถึงเฟรตไดร์ด้วย สำหรับความเร็วแล้วอยู่ที่ 480MB/s
    5.LAN ช่องการเชื่อมต่อแลน ใช้สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่อยู่ในระบบ
    6. ช่องต่อเสียง ไว้สำหรับการเชื่อมต่อเสียง ทั้งเสียง Input และ Output ทั้งลำโพง ทั้งไมค์
    3.สล็อต์ AGP
    ใช้สำหรับการเชื่อมต่อของการ์ดแสดงผล มีทั้ง AGP และ PCI Express เพื่อเชื่อมต่อให้กับมอนิเตอร์ใช้ในการแสดงผล
    4.สล็อต PCI
    ใช้สำหรับการเชื่อมต่อการ์ดต่างๆที่ไม่ต้องการความเร็วสูงมากนัก เช่นการ์ดเสียง การ์ดแลน และโมเด็มใช้สำหรับการเชื่อมต่อ

    5.ตัวอ่านแผ่นดิสก์
    ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้วแต่ให้สำหรับการเชื่อมต่อ Memory Card ต่างๆ แต่ต้องชื้อตัวมาเพิ่ม
    6.ซิปเซต
    ถือได้ว่าเป็นมีความสำคัญ เพราะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานต่างๆบนเมนบอร์ด โดยจะมีซิปเซตอยู่ 2 ส่วนด้วยกันคือ
    - North Bridge จะทำหน้าที่คอบควบคุม ซีพียู แรม และการ์ดแสดงผล
    - South Bridge จะทำหน้าที่ควบคุมสล็อตต่างๆ
    7.หัวต่อ SATA
    ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ แบบ SATA ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบอนุกรม ซึ่งมีข้อดีทั้งประหยัดพลังงานและประหยัดพื้นที่ อีกทั้งยังทำให้ระบายความร้อนภายในเคสได้ดีอีกด้วย
    8.หัวต่อแบบ IDE
    ใช้ในการเชื่อมต่อแบบ IDE ทั้งแบบที่เป็นฮาร์ดดิสก์ และ CD/DVD ROM


    3.สล็อต์ AGP

    ใช้สำหรับการเชื่อมต่อของการ์ดแสดงผล มีทั้ง AGP และ PCI Express เพื่อเชื่อมต่อให้กับมอนิเตอร์ใช้ในการแสดงผล

    4.สล็อต PCI

    ใช้สำหรับการเชื่อมต่อการ์ดต่างๆที่ไม่ต้องการความเร็วสูงมากนัก เช่นการ์ดเสียง การ์ดแลน และโมเด็มใช้สำหรับการเชื่อมต่อ

    5.ตัวอ่านแผ่นดิสก์

    ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้วแต่ให้สำหรับการเชื่อมต่อ Memory Card ต่างๆ แต่ต้องชื้อตัวมาเพิ่ม

    6.ซิปเซต

    ถือได้ว่าเป็นมีความสำคัญ เพราะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานต่างๆบนเมนบอร์ด โดยจะมีซิปเซตอยู่ 2 ส่วนด้วยกันคือ
    - North Bridge จะทำหน้าที่คอบควบคุม ซีพียู แรม และการ์ดแสดงผล
    - South Bridge จะทำหน้าที่ควบคุมสล็อตต่างๆ

    7.หัวต่อ SATA

    ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ แบบ SATA ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบอนุกรม ซึ่งมีข้อดีทั้งประหยัดพลังงานและประหยัดพื้นที่ อีกทั้งยังทำให้ระบายความร้อนภายในเคสได้ดีอีกด้วย

    8.หัวต่อแบบ IDE

    ใช้ในการเชื่อมต่อแบบ IDE ทั้งแบบที่เป็นฮาร์ดดิสก์ และ CD/DVD ROM


    9.ต่อแหล่งจ่ายไฟ


    ที่ใช้สำหรับในการต่อแหล่งกระแสไฟฟ้า จากพาวเวอร์ซับพราย โดยจะมีทั้งรุ่นเดิมที่ใช้ 20 Pin และในปัจจุบัน 24 Pin โดยจะมีทั้งหมด อยู่ 2 แถว

    10.ซ็อกเก็ตแรม



    โดยใช้สำหรับใส่แรม โดยมีทั้งแบบ Dual Channel และ Triple Channel

    11.ตัวเชื่อมปุ่มควบคุม

    ใช้ในการเชื่อมต่อปุ่ม Power ปุ่ม รีสตาร์ และแสดง ไฟของการทำงานฮาร์ดดิสก์ และไฟขณะทำงาน

    12.ตัวต่อ USB

    ใช้ในการเชื่อมต่อ USB ภายในเคส เพื่อเพิ่มในการเชื่อมต่อ USB ที่มากขึ้น





    อีกหนึ่งประเด็นในการเลือกประกอบคอมพิวเตอร์ นอกจาก CPU แล้ว อันดับต่อมาก็คือ Mainboard หรือบางคนเรียกว่า Motherboard ที่เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้ CPU สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆได้โดยใช้เมนบอร์ดเป็นตัวกลางควบคุมการทำงานต่างๆของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่กับตัว Mainboard เช่น การ์ดจอ, ฮาร์ดดิสก์, แรม, คีย์บอร์ด, จอแสดงผล ซึ่งล้วนต้องเชื่อมต่อผ่าน Mainboard ทั้งสิ้น และเรียกได้ว่าเมนบอร์ดในปัจจุบันนั้นก็มีให้เลือกซื้อหลายรุ่น หลายขนาดตามควาต้องการของผู้ใช้แต่ละคน บางรุ่นออกแบบมาเอาใจนักเล่นเกมก็อาจจะออกแบบให้รูปร่างหน้าตาดูสวยงาม ใช้สีสันสดใส บางรุ่นออกแบบมาเน้นทำงานก็จะไปให้ความสำคัญกับชุดวัสดุที่ใช้ประกอบแทน เราจึงขอจำแนกขนาดเมนบอร์ดที่นิยมใช้งานกันในปัจจุบัน มาเขียนอธิบายคร่าวๆให้ได้อ่านกัน โดยแบ่งเป็น 5 ชนิดดังนี้






    1. XL-ATX >

    เป็น Mainboard ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา Mainboard ทั้ง 5 ประเภท เนื่องจากมีการติดตั้งชุดอุปกรณ์มาให้จำนวนมาก เช่น พอร์ต SATA และสล็อตการ์ดจอที่มากกว่า Mainboard ทั่วๆไป รองรับการเพิ่มอุปกรณ์ในอนาคตได้เป็นอย่างดี เช่น หากเป็นเมนบอร์ด WorkStation ก็จะรองรับการติดตั้ง CPU ถึง 2 ตัวเนื่องจากมันมีพื้นที่เพียงพอในการติดตั้งอุปกรณ์ลงไป แน่นอนว่าต้องรองรับการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบมากกว่า Mainboard ทุกชนิด โดยส่วนใหญ่แล้ว Mainboard ขนาด XL-ATX จะมีขนาดที่ประมาณ 345mm x 263mm ยกตัวอย่างเช่น MSI Z87 XPower


    2. Extended ATX (E-ATX) >

    มีขนาดเล็กกว่า XL-ATX อยู่พอสมควร ซึ่งจริงๆแล้ว Mainboard ขนาด E-ATX เพิ่งถูกผลิตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก Mainboard บางรุ่นไม่สามารถติดตั้งอุปกรณ์ลงไปได้เพียง จึงได้มีการขยายความกว้างของตัว Mainboard จากขนาด ATX ออกไปเล็กน้อยในขณะที่ยังคงมีความยาวเท่ากับขนาด ATX โดยส่วนใหญ่แล้ว E-ATX จะมาในขนาด 305mm x 270mm ยกตัวอย่างเช่น ASUS Maximus V Extreme


    3. ATX >

    เรียกได้ว่าเป็นเมนบอร์ดขนาดมาตรฐานที่ทางผู้ผลิตนิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นขนาดที่พอเหมาะที่สุดในการติดตั้งชุดอุปกรณ์ลงไป ส่วนใหญ่มักจะเป็น Mainboard ตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง นอกจากทางผู้ผลิตจะมีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมสำหรับ Mainboard ระดับ high-end บางรุ่นก็จะข้ามไปใช้ขนาด E-ATX แทน เรียกได้ว่า ATX นั้นรองรับการติดตั้งในเคสทั่วๆไปได้ทั้งหมด ด้านขนาดจะอยู่ที่ประมาณ 305mm x 244mm ที่จะสั้นกว่าขนาด E-ATX อยู่เล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น SuperMicro C7Z87-OCE


    4. Micro-ATX >

    ลดขนาดลงจากขนาด ATX พอสมควร ซึ่งทางผู้ผลิตมักจะเลือกใช้ Mainboard ขนาดนี้สำหรับ Mainboard ระดับกลางถึงระดับล่าง เช่น กลุ่มคอมพิวเตอร์สำนักงาน, กลุ่ม HTPC ขนาดเล็ก แต่ก็มีบางรุ่นที่มีสเปคระดับ high-end เพียงแต่ย่อขนาดให้อยู่ในรูปแบบ Micro-ATX เท่านั้น โดยจะมีขนาดที่ประมาณ 244mm x 244mm ยกตัวอย่างเช่น ASRock Z87M OC Formula


    5. Mini-ITX >

    เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทางผู้ผลิต Mainboard ผลิตออกมาเพื่อใช้ประกอบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ซึ่งในอดีต Mainboard ขนาด Mini-ITX จะเป็นเพียงชุดคอมพิวเตอร์ประหยัดพลังงาน ไม่ได้เน้นด้านประสิทธิภาพ ติดตั้งชุดอุปกรณ์ได้น้อยชิ้นเนื่องจากขนาดที่จำกัดเพียง 170mm x 170mm แต่ปัจจุบันหลายๆแบรนด์ก็มีการพัฒนาในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานเอาใจกลุ่มนักเล่นเกมหรือนักโอเวอร์คล็อกมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ASUS Maximus VI Impact


    ที่กล่าวไปข้างบนนี้เป็นเพียงขนาด Mainboard ที่นิยมใช้กันในปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งนอกจากนี้ก็ยังมี Mainboard อีกหลายแบบที่เราไม่ค่อยพบเห็นนัก เช่น ขนาด EE-ATX ที่อัพเกรดขนาดให้ใหญ่กว่า XL-ATX ขึ้นไปอีก, ขนาด Proprietary ที่มีลักษณะเป็นแนวยาวสำหรับติดตั้งในเครื่อง Server หรือขนาด Nano-ATX ที่ย่อขนาดให้เล็กลงกว่า Mini-ITX ลงไปอีก สุดท้ายการเลือกซื้อ Mainboard นอกจากจะต้องเลือกซื้อให้สามารถทำงานกับ CPU ได้แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยก็คือเรื่องของการรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ เช่น รองรับการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์กี่ตัว เสียบการ์ดจอได้อีกตัว พอร์ตใช้งานอย่าง USB, HDMI, DVI เพียงพอรึเปล่า หรือสำหรับผู้ใช้งานระดับ Advance ก็อาจจะดูว่า Mainboard รุ่นนี้ใช้วัสดุอะไร ทนทานกระแสไฟได้ดีรึเปล่า มีอายุการใช้งานยาวนานรึเปล่า ซึ่งวัสดุที่ใช้ก็บ่งบอกได้ในระดับหนึ่ง จุดต่อมาก็เป็นเรื่องของหน้าตารูปลักษณ์ที่มีการพัฒนาให้สวยงามยิ่งขึ้นให้ผู้ใช้ได้เลือกซื้อตามความพอใจครับ
    Last edited by S.M.TRUE; 13 Sep 2014, 14:51:37.

  • #2
    เเจ่มเบย

    Comment


    • #3
      ทำความรู้จักกับซ็อคเก็ต (Socket) CPU ของ Intel





      ก่อนที่เราจะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์สักชุดหนึ่ง ก็จำเป็นต้องหาความรู้ในเรื่องของอุปกรณ์ที่เราต้องการซื้อมาใช้งานในระดับหนึ่ง โดยส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของทั้งระบบก็คือ CPU (Central Processing Unit) อธิบายง่ายๆคือ มันเป็นเหมือนสมองของคอมพิวเตอร์ที่เมื่อเรามีการสั่งการอะไรไป CPU จะรับคำสั่งมาเป็นส่วนแรกแล้วจึงแบ่งจ่ายงานไปยังชุดอุปกรณ์อื่นๆตามที่สั่งมา แน่นอนว่ามี CPU แล้วก็ต้องมี mainboard เพราะมันเป็นของคู่กัน โดย mainboard เป็นอุปกรณ์สื่อกลางสำหรับการทำให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ เช่น การ์ดจอ, ฮาร์ดดิสก์ สามารถสื่อสารกับ CPU ได้ ซึ่งการจะนำ CPU มาติดตั้งลงบน mainboard นั้น ต้องติดตั้งผ่านช่องเสียบที่เรียกว่าซ็อกเก็ต (Socket) CPU โดยจุดนี้เป็นจุดสำคัญอย่างหนึ่งคือ CPU แต่ละรุ่นจะมี Socket ที่ตายตัวของมัน หากนำ CPU ไปติดตั้งกับ mainboard บางรุ่นที่ไม่ Support จะไม่สามารถทำงานได้ บางรุ่นใส่ด้วยกันไม่ได้เลยก็มี

      Socket คืออะไร ?

      Socket จะมีลักษณะเป็นช่องเสียบแบบเข็ม (Pin) มีขายึดเพื่อให้สามารถทำการประกบ CPU ลงไป ถูกติดตั้งอยู่บน mainboard เหมือนการเอาของเล่น 2 ชิ้นมารวมร่างกัน ช่วยให้ CPU สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ส่วนอื่นได้ โดยในปัจจุบันก็มีให้เลือกใช้งานกันหลาย Socket ซึ่งจะอ้างอิงจาก CPU ที่เลือกใช้

      LGA คืออะไร ?

      คำว่า LGA หลายคนมักจะได้ยินบ่อยๆ เพราะมันเอามาเป็นคำนำหน้าของ Socket CPU แต่ละแบบ จริงๆแล้ว LGA ย่อมาจากคำว่า Land Grid Array ใช้เรียกแทนชนิดของ Socket ที่อยู่บนเมนบอร์ด อธิบายง่ายๆก็คือ LGA เป็น Socket ชนิดที่มีเข็ม (Pin) ถูกติดตั้งอยู่บน mainboard โดยเข็มนี้จะไปสัมผัสกับ CPU เพื่อการรับ-ส่งข้อมูลกัน เรียกได้ว่าพบเห็นได้เฉพาะ mainboard จากแบรนด์ Intel เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก mainboard ของ AMD จะใช้ Socket อีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า PGA (Pin Grid Array) ซึ่งก็คือการย้ายเข็ม (Pin) ที่อยู่บน Socket ของ mainboard มาติดตั้งไว้บน CPU แทน ทราบถึงคำว่า LGA และ PGA ไปแล้ว ต่อไปเรามาทราบถึงชนิดของ Socket CPU ในแบบ LGA ว่ามีอะไรกันบ้างครับ

      ***หมายเหตุ : CPU จากทาง Intel จะมีการใช้ชื่อเรียกหรือ Codename เพื่อป้องกันความสับสันของ CPU ในแต่ละรุ่น เนื่องจาก Intel แทบจะมีการผลิต CPU รุ่นใหม่ออกมาทุกปี เช่น Haswell ใช้เรียก CPU ใน generation ที่ 4 ที่ใช้กับ mainboard LGA 1150 เป็นต้น




      LGA 775 : ใช้ร่วมกับ CPU ตระกูล Pentium, Celeron, Dual-Core, Core 2 Duo, และ Core 2 Extreme


      LGA 1366 : ใช้ร่วมกับ CPU ตระกูล Core i7 ขนาดการผลิต 32 นาโนเมตร(เรียกว่า Gulftown) , Core i7 ขนาดการผลิต 45 นาโนเมตร(เรียกว่า Bloomfield) , Xeon ขนาดการผลิต 45 และ 32 นาโนเมตร(เรียกว่า Nehalem)


      LGA 1150 : ใช้ร่วมกับ CPU ตระกูล Pentium, Core i3 / i5 / i7 ในรุ่นที่ 4 ขนาดการผลิต 22 นาโนเมตร(เรียกว่า Haswell, Haswell Refresh, Devil Canyon)


      LGA 1155 : ใช้ร่วมกับ CPU ตระกูล Pentium, Core i3 / i5 / i7 ในรุ่นที่ 2 ขนาดการผลิต 32 นาโนเมตร (เรียกว่า Sandy Bridge) และรุ่นที่ 3 ขนาดการผลิต 22 นาโนเมตร(เรียกว่า Ivy Bridge)


      LGA 1156 : ใช้ร่วมกับ CPU ตระกูล Core i5 / i7 ขนาดการผลิต 45 นาโนเมตร(เรียกว่า Lynnfield ) และ Pentium, Core i3 / i5 ขนาดการผลิต 32 นาโนเมตร(เรียกว่า Clarkdale)


      LGA 2011 : ใช้ร่วมกับ CPU ตระกูล Core i7 ขนาดการผลิต 22 นาโนเมตร(เรียกว่า Ivy Bridge-E), Core i7 ขนาดการผลิต 32 นาโนเมตร(เรียกว่า Sandy Bridge-E), Xeon E5 ขนาดการผลิต 22 นาโนเมตร(เรียกว่า Ivy Bridge-EP) และ Xeon E5 ขนาดการผลิต 32 นาโนเมตร(เรียกว่า Sandy Bridge-EP)


      และนอกจากนี้ 1 Socket ของ mainboard ก็แบ่งออกได้อีกหลายรุ่น ตามชิปเซ็ต (Chipset) ที่มีการติดตั้งลงไปบนตัว mainboard ซึ่งเราขอยกยอดไปเขียนในบทความครั้งต่อไป สุดท้ายนี้เลือกซื้อ CPU ที่ถูกใจแล้ว ต้องเลือก mainboard ที่ Socket ที่รองรับการทำงานกับ CPU ด้วยนะครับ ซึ่งจริงๆแล้วการเลือกซื้อนั้นก็ไม่ได้เข้าใจยากอย่างที่คิด ในบทความครั้งนี้เราเพียงเขียนให้เข้าใจคร่าวๆ เพื่อไม่ให้เนื้อหายาวจนเกินไป ลองศึกษาเพิ่มเติมกันดูนะครับ ^^

      Comment


      • #4
        Z77 OC Formula นี่เป็นแบบไหน เห็นมันกว้างกว่า asus Z77V PRO นิดนึง
        Last edited by klong20; 13 Sep 2014, 11:55:40.

        Comment


        • #5
          แจ่มเบย

          Comment


          • #6

            Comment


            • #7
              ถามอย่างเดียว ทำไมถึงเรียก"ITX" ในเมือไซส์อื่นเขาเรียกATXหมด
              คือว่าสงสัยมานานแล้ว ไม่ได้กวนteenน่ะ

              Comment


              • #8
                นานมากแล้วที่ไม่มีกระทู้สาระ ปรบมือให้ครับ

                Comment


                • #9
                  Originally posted by klong20 View Post
                  Z77 OC Formula นี่เป็นแบบไหน เห็นมันกว้างกว่า asus Z77V PRO นิดนึง

                  Z77 OC Formula ทางด้านของเรื่องเลย์เอาท์และขนาดตัวนั้นจะเป็นเมนบอร์ดในขนาด ATX ที่จะกว้างกว่าปรกติเล็กน้อยประมาณ 1" และสูงหรือยาวกว่าปรกติเล็กน้อยประมาณ 1cm ซึ่งบางครั้งมันอาจจะถูกจัดไปอยุ่ในมาตรฐาน E-ATX ครับ


                  Originally posted by ManiacMaew View Post
                  ถามอย่างเดียว ทำไมถึงเรียก"ITX" ในเมือไซส์อื่นเขาเรียกATXหมด
                  คือว่าสงสัยมานานแล้ว ไม่ได้กวนteenน่ะ
                  - -! อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ต้องรู้ผู้รู้อีกทีครับ

                  Comment


                  • #10
                    เออ. ลืมทัก มันมีสิ่งทีเรียกว่า btxด้วยน่ะ

                    Comment


                    • #11
                      Originally posted by ManiacMaew View Post
                      เออ. ลืมทัก มันมีสิ่งทีเรียกว่า btxด้วยน่ะ
                      เพิ่มเติมไว้ข้างบนแล้วครับ ขอบคุณครับ ^^


                      การเลือกซื้อ Motherboard
                      (เมนบอร์ด)


                      คนส่วนใหญ่ที่กำลังจะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์มักหาข้อมูลทำการบ้านแต่เฉพาะในส่วนหลักสองส่วนใหญ่ ก็คือ ซีพียู และ กราฟฟิคการ์ด ซึ่งก็จริงที่ทั้งสองส่วนนี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนที่ได้ฟังสเปกสองตัวนี้ถึงกับร้องอู้หู้เมื่อได้ยินว่าเราใช้ Intel? Core i7 940 หรือ ได้ยินว่าเราใช้กราฟฟิคการ์ด NVIDIA Geforce295GTX เพราะทั้งสองส่วนนี้เป็นตัวที่ตอบสนองความแรงในการประมวลผลไม่ว่าด้านตัวเลข หรือ ภาพ 3D แต่เคยมีใครได้สังเกตไหมว่าจริงๆ แล้วเรายอมลดสเปกอุปกรณ์บางอย่างลงไปเพื่อให้ได้มาซึ่งซีพียูหรือกราฟฟิกการ์ดที่แรง แต่เรากลับไม่ได้สนใจว่าเมนบอร์ดที่เราซื้อเพื่อใช้กับซีพียูและกราฟฟิกการ์ดนี้ มีประสิทธิภาพที่จะดึงความสามารถของซีพียู กราฟฟิกการ์ด และ ทนทานต่อการใช้งานอย่างต่อเนื่องของเราเพียงใด เทคโนโลยีที่ใช้เป็นอย่างไร มีซอฟท์แวร์ที่มาพร้อมกับเมนบอร์ดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความปลอดภัย และ ความสะดวกให้กับเราไหม เพราะตอนนี้ซอฟท์แวร์ที่มาพร้อมกับตัวเมนบอร์ดอาจจะเป็นตัวตัดสินที่ทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจเลือกใช้เมนบอร์ดด้วยส่วนหนึง เกริ่นมาซะเยอะแล้ว วันนี้ผมจะใคร่ขออาสานำความรู้ดีๆ ในการตัดสินใจเลือกซื้อเมนบอร์ดคุณภาพครับ ตามมาเลยครับ .....

                      Main Board หรือ Motherboard คือ แผงวงจรหลักทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อระหว่างฮาร์ดแวร์ต่างๆ เพื่อทำให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ทั้งหมดที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นซีพียู หน่วยความจำ ฮาร์ดไดรฟ์ ซีดีรอมไดรฟ์ ดีวีดีรอมไดรฟ์ ที่ผ่านทางสายเคเบิลหรือแม้แต่การ์ดแสดงผล และการ์ดเสียงก็ล้วนแล้วแต่ต้องทำงานเข้ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพ

                      เมนบอร์ดในปัจจุบันที่เราพบเห็นในตลาดมีสองค่ายเท่านั้นเองครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่ามีแค่สองบริษัทที่ขายเมนบอร์ดไม่ใช่แบบนั้นครับ แต่หมายความว่ามีเมนบอร์ดที่ซัพพอร์ตซีพียูระหว่าง Intel? และ AMD เท่านั้นน่ะครับ แต่ผู้ผลิตเมนบอร์ดมีอยู่มากมายหลายบริษัทให้เราเลือกใช้ โดยแต่ละบริษัทก็มีจุดเด่น จุดด้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวสินค้าที่ออกมาว่าจะโดนใจใครหลายคนหรือเปล่า แต่อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นครับว่า ปัจจุบันการต่อสู้ทางการตลาดของสินค้าประเภทเมนบอร์ดไม่ได้วัดกันที่เฉพาะอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์บนเมนบอร์ด หรือ แค่สเปกของเมนบอร์ดเท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึงซอฟท์แวร์ยูทิลิตี้ที่มาพร้อมกับเมนบอร์ดด้วย ว่าสามารถทำประโยชน์ และเพิ่มความสามารถในการใช้งานเมนบอร์ดในด้านใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มความเร็วให้กับซีพียู, เพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพิ่มเติม คราวนี้ผมจะแยกส่วนสาระสำคัญของฮาร์ดแวร์ที่อยู่บนเมนบอร์ด เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้กับผู้อ่าน เพื่อที่จะตัดสินใจในการครอบครองเมนบอร์ดได้อย่างถูกต้อง และได้ใช้ประโยชน์สูงสุดครับ


                      คุณสมบัติเด่นของตัวเมนบอร์ด (Key Feature)



                      อย่างแรกเลยในการเลือกซื้อเมนบอร์ดเราก็ต้องรู้จักเมนบอร์ดก่อนว่าทำมาจากวัสดุอะไร เราคงเคยได้ยินกันคุ้นหูว่า PCB เป็นพลาสติกลายปริ้นทองแดงที่นำมาเป็นแผงวงจรหลักในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ลงไป เช่น ชุดจ่ายกระแสไฟฟ้า (Power Phase), ชุดประจุไฟฟ้า (Capacitor) และรวมถึงชุดต้านทานไฟฟ้าต่างๆ ด้วย ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ทั้งหลายที่อยู่บนเมนบอร์ดล้วนมีผลโดยตรงต่อการดึงศักยภาพของฮาร์ดแวร์ตัวอื่นขึ้นมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะเครื่องพีซีของเรามีพื้นฐานในการส่งสัญญาณเป็นไฟฟ้าองค์ประกอบ ฮาร์ดแวร์เหล่านี้จึงต้องมีคุณภาพที่สูงเช่นกัน เราลองมาสังเกตวิธีการเลือกเมนบอร์ดกันเลยครับ อย่างแรกลองดูเรื่องของทองแดงที่นำมาใช้เป็นสื่อไฟฟ้าว่ามีขนาดเหมาะสมไหม ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะใช้ขนาด 1ออนซ์เป็นมาตรฐาน แต่มีผู้ผลิตเมนบอร์ดบางรายใช้ทองแดงเพิ่มขึ้นเป็น 2 ออนซ์ ซึ่งส่งผลดีในแง่ของการระบายความร้อน และ สัญญาณไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพสูงด้วย ต่อมาในส่วนของตัวชุดจ่ายกระแสไฟฟ้าก็ต้องสังเกตว่าผู้ผลิตออกแบบมาด้วยจำนวนเฟรสกี่ตัว ยิ่งมากก็ยิ่งส่งผลดีในแง่ของความเสถียรในการจ่ายไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความร้อนที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องทำงานอย่างต่อเนื่องด้วย เพราะการมีเฟรสหลายๆ ตัวทำให้เฟรสแต่ละตัวมีภาระในการจ่ายกระแสไฟฟ้าต่ำ ทำให้ไม่เกิดความร้อนสะสมเมื่อทำงานแบบต่อเนื่อง อีกตัวที่สำคัญเช่นกันและมักจะเสียหายก่อนใครเพื่อนเลยก็คือตัว capacitor หรือ ชุดประจุไฟฟ้าหน้าตาเหมือน ถังเก็บน้ำ ซึ่งตัวหุ้มของอุปกรณ์ดังกล่าวมักจะทำจากสังกะสีทำให้เมื่อสัมผัสกับอากาศที่มีความชื้นมักจะเกิดคราบสนิท และ ปริแตก ส่งผลให้เมนบอร์ดชำรุดเสียหาย แต่ปัจจุบันผู้ผลิตเมนบอร์ดหลายรายได้เปลี่ยนมาใช้เป็น Solid Capacitor บนเมนบอร์ดทั้งหมดเหมือนกันเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว ที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งแรกที่เราต้องศึกษาเมนบอร์ดให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจเลือกความสำคัญของชิ้นส่วนอื่น ที่จะมาเชื่อมต่อกับเมนบอร์ด


                      ชนิดของซีพียู (CPU Socket)



                      อย่างที่เล่าให้ฟังว่าปัจจุบันมีแค่สองค่ายยักษ์ใหญ่ที่ผลิตซีพียูนะครับ โดยแต่ละซีพียูที่ผลิตออกมาก็มีซ็อคเก็ตชนิดแตกต่างกันไป เราจึงจำเป็นต้องรู้ไว้บ้างเหมือนกันว่า แต่ละค่ายในปัจจุบันมีซ็อคเก็ตแบบไหนบ้าง ผมขอเริ่มจากค่าย Intel? ก่อนแล้วกันครับ ปัจจุบันก็จะมีซ็อคเก็บแบบ LGA775 (Core2 Quad, Core2 Duo, Pentium และ Celeron Processor), LGA1366 จะใช้กับซีพียูกลุ่ม Core i7 920, 940 และ 965 ครับ และ ซ็อคเก็ตใหม่ที่ค่ายอินเทลเพิ่งเปิดตัวไปนั่นก็คือ LGA1156 สำหรับ Core i5 750 และ Core i7 860 และ 870 มาทางด้านค่าย AMD ก็จะมีอยู่หลายซ็อคเหมือนกัน จะมี AM3, AM2+, AM2 ใช้กับซีพียูตระกูล Phenom II, Phenom, Athlon II and Athlon processor ครับ ซึ่งเราจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องของฟีเจอร์ซีพียูในแต่ละตระกูลว่าโดดเด่นกันในด้านใด แต่ผมไม่ได้พูดถึงในบทความนี้นะครับ


                      ช่องเสียบหน่วยความจำ (Memory Slot)



                      Random Access Memory หรือที่เราหลายคนเรียกกันว่า RAM ครับ RAM คือหน่วยความจำสำรองที่ทำหน้าเก็บชุดคำสั่ง หรือ ข้อมูลที่จะถูกนำไปประมวลผลกับซีพียูนะครับ อันนี้ก็เป็นส่วนที่สำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพความเร็วในการประมวลผลของพีซีเช่นกัน โดยวิธีปัจจุบันที่มีรองรับบนเดสก์ท็อปเมนบอร์ดจะมีสองชนิดด้วยกันคือ ชนิด DDR 2 และ DDR 3 ซึ่งจะมีความเร็วที่แตกต่างกันโดย DDR 3 จะมีความเร็วของ FSB เริ่มต้นที่ 1066MHz จนถึง 1600MHz โดยในผู้ใช้นิยมทำการโอเวอร์คล็อกให้มีความเร็วสูงขึ้นจากมาตรฐานเดิมของแรม โดยต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการรองรับการโอเวอร์คล็อกของเมนบอร์ดด้วย โดยที่ DDR 3 มีความเร็วที่สูงกว่า และ ยังกินพลังงานต่ำกว่า DDR 2ด้วย ส่วนแรมชนิด DDR 2 มีความเร็ว FSB เริ่มต้นตั้งแต่ 533MHz จนถึง 800MHz โดยแต่ละเมนบอร์ดก็จะรองรับการทำงานได้โดยแรมชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้งานแรมสองชนิดพร้อมกันได้


                      ชิปเซต (Chipset)



                      เป็นศูนย์กลางของเส้นทางในการรับส่งข้อมูลผ่านไปยังฮาร์ดแวร์ส่วนตัวต่างๆ ที่ต่อเชื่อมกับเมนบอร์ด ซึ่งการเลือกซื้อ เลือกใช้ต้องอ้างอิงจากตัวซีพียูเป็นหลัก โดยปกติแล้วผู้ผลิตซีพียูอย่างเช่น Intel? ก็เป็นผู้ผลิตชิปเซ็ต Intel? ไม่ว่าจะเป็น X58, P55, P45, G45, G31Chipset และ อื่นๆ อีกมากมายด้วยเช่นกัน ส่วนฝั่ง AMD หลังจากได้รวมกิจการกับ ATI ก็ใช้ชิปเซ็ตหลักเป็น ATI ไม่ว่าจะเป็น 790X, 785 และ 770 Chipset และผู้ผลิตก็จะมีการกำหนดมาตรฐานการใช้งานระหว่างซีพียู กับชิปเซ็ตไว้อยู่แล้ว รวมถึงมีบทความ หรือ ข้อมูลแนะนำในการจับคู่กันอยู่แล้วครับ


                      กราฟฟิคสล็อต (VGA slot)



                      อันนี้เป็นเรื่องของกราฟฟิคที่ผมได้เกริ่นไว้ตอนต้นเหมือนกันครับ ว่าเป็นฮาร์ดแวร์หลักที่คนส่วนใหญ่นึกถึงต้นๆ ในส่วนของเมนบอร์ดเองก็จะมีตัว interface หรือ connector รองรับอยู่ด้วยกันสองแบบหลักๆ ครับ อย่างแรกก็คือ แบบกราฟฟิคบิวท์อินบนบอร์ดมาอยู่แล้ว และ เมนบอร์ดยังมีพร้อม interface แบบ AGP หรือ PCI-Express มาให้ด้วย โดยเทคโนโลยีปัจจุบันยังสามารถทำให้กราฟฟิคชิปที่เป็นแบบบิวท์อิน และแบบการ์ดทำงานร่วมกันได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการแสดงผลภาพ และอีกแบบที่ผมจะพูดต่อมาก็คือแบบที่มี interface หรือ connector แบบ PCI-Express ที่มีให้มากกว่าหนึ่งสล็อต เพื่อที่จะรองรับการทำงานแบบ Multi-VGA สามารถต่อเชื่อม หรือ รวมกันเพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลภาพขั้นสูง โดยปัจจุบันมีสองค่ายที่มีนำเสนอออกมา ได้แก่ ATI CrossFire? X Technology และ NVIDIA SLI Bridge เหมาะสำหรับนักเล่นเกมส์ตัวยง หรือ คนที่ทำงานด้านกราฟฟิคเรนเดอร์ที่ต้องการความสามารถดังกล่าว


                      ระบบเสียง (Sound Onboard)

                      ความสามารถในเชิงสัญญาณเสียงมักถูกละเลยไป แต่ทั้งนี้ที่เราไม่ควรมองข้ามเพราะปัจจุบันผู้ผลิตสื่อต่างๆ มีเทคโนโลยีไปไกลมากแล้ว สามารถผลิตสื่อมัลติมีเดียที่มีความสามารถในการแสดงผลในส่วนของเสียงที่ดีขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกภาพยนตร์แบบระบบเสียง Dolby Surround 8.1 สามารถส่งสัญญาณเสียงได้ถึง 8 ช่องทาง ซึ่งสื่อเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์เลยหากระบบเสียงบนเมนบอร์ดของเราไม่ได้รองรับความสามารถดังกล่าว รวมทั้งเมนบอร์ดบางรุ่นบางผู้ผลิตยังมาพร้อมช่องสัญญาณเสียงแบบดิจิตอล ผ่านช่องสัญญาณ S/PDIF แบบ Optical และ Coaxial เพื่อเติมเต็มคุณภาพของสัญญาณเสียงแบบสมจริง และใกล้เคียงคุณภาพของชุดเครื่องเสียงจริงๆ ฉะนั้นระบบเสียงที่บิวท์อินมากับตัวเมนบอร์ดจึงเป็นปัจจัยหนึงที่สำคัญเช่นกันในการเลือกซื้อเมนบอร์ด


                      ระบบเครือข่าย (LAN)

                      เป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยเหมือนกันเพราะโลกในปัจจุบันเป็นยุคที่ไร้พรมแดนซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีเครือข่ายผ่าน Ethernet หรือ เราเรียกกันภาษาบ้านๆ ว่า ระบบ LAN ซึ่งมีความเร็วตั้งแต่ 10Mbps จนถึง 1000Mbps หรือ 1Gbps ซึ่งถ้าดูจากเมนบอร์ดที่มีขายในปัจจุบันจริงๆ มีผู้ผลิตบางรายใช้เป็น 1Gbps ทั้งหมดแล้วเหมือนกัน แต่สามารถรองรับทำงานร่วมกับอุปกรณ์พวกสวิทช์ที่เป็น 10/100Mbps ได้ไม่มีปัญหา เมื่อก่อนผู้ใช้ตามบ้านอาจจะมองว่าแลนไม่ได้ใช้งานแต่อย่างใดเมื่อใช้ที่บ้าน� แต่ปัจจุบันเนื่องด้วยอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงอย่าง ADSL โตขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทย และ เทคโนโลยีดังกล่าวต้องทำงานร่วมกับแลน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องใช้พิจารณาในการเลือกซื้อเมนบอร์ดเช่นกัน


                      ไอโอ (I/O Connector)

                      ไอโอ คอนเน็ตเตอร์ คือ In Put/Out Put Connector หรือ ช่องที่ใช้เชื่อมต่อเพื่อรับส่งข้อมูลกับฮาร์ดแวร์หลายประเภท อย่างเช่น USB Port ที่ใช้รับส่งข้อมูลกับฮาร์ดแวร์หลายชนิดเช่น Key Board, Mouse, Flash Drive, Bluetooth, Printer, Modem, Wireless USB เป็นต้น หรือจะเป็น PS2 ที่เมื่อก่อนเราใช้ติดต่อกับคีย์บอร์ด และ เมาส์ หรือ SATA และ P-ATA ที่ใช้เชื่อมต่อกับฮาร์ดไดรฟ์ และ ออปติเคิลไดรฟ์ อย่างซีดีรอม ซึ่งไอโอพอร์ตเหล่านี้ติดตั้งมาพร้อมกับตัวเมนบอร์ดทุกรุ่นทุกค่ายอยู่แล้ว เพียงแต่บริษัทผู้ผลิตใดสามารถออกแบบให้สามารถรองรับการเชื่อมต่อได้มากกว่ากัน และ สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงในการทำงาน รวมถึงทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพด้วย


                      เทคโนโลยี RAID (Redundant Array of Independent Disks)



                      คำว่า RAID หรือ Redundant Array of Independent Disks หรือการนำเอาฮาร์ดดิสก์หลายๆ ตัวมาเชื่อมต่อกันผ่านชุดคอนโทรลเลอร์ (Controller) เพื่อเพิ่มความจุ, ความเร็วในการอ่าน และเขียนข้อมูล และ ความปลอดภัยของข้อมูลจากการสูญหาย โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยี RAID มีให้เห็นตั้งแต่ RAID 0, 1, 5, 6 และ 10 กันเลยทีเดียว ซึ่งผู้ใช้บางรายที่ต้องการประสิทธิภาพในส่วนของการเรียกใช้ข้อมูลจากตัวฮาร์ดไดรฟ์ดังกล่าวก็สามารถเลือกซื้อเมนบอร์ดที่มี RAID Technology ได้เช่นกัน


                      เทคโนโลยี BIOS (Basic input output System)



                      BIOS ถือเป็นสมองหลักของตัวเมนบอร์ดเลยทีเดียว เพราะเป็นที่เก็บข้อมูล และ คำสั่งความสามารถของตัวไบออสดังกล่าว รวมถึงความสามารถในการปรับเปลี่ยนค่าการทำงานต่างๆ ที่ยืดหยุ่นเพื่อรองรับการทำงานที่หลากหลายของแต่ละผู้ใช้ด้วย โดยถ้าไบออสดังกล่าวถูกโจมตีด้วยไวรัส หรือ ซอฟท์แวร์บางประเภทก็อาจทำให้เครื่องพีซีที่เราใช้อยู่นั้นไม่สามารถบูตเครื่องได้เลย ผู้ผลิตเมนบอร์ดบางเลยจึงหาวิธีป้องกันภัยคุกคามจากสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยการใช้ไบออสสองตัวเพื่อป้องกันหากไบออสตัวหลักเสียหายไม่สามารถทำงานได้ ตัวที่สองสามารถทำงานแทนได้ หรือบางผู้ผลิตก็ใช้ซอฟท์แวร์ในการจัดการกู้คืนค่าให้กับไบออสเหมือนกัน

                      ซอฟท์แวร์อรรถประโยชน์ (Utilities Software)

                      นอกจากเทคโนโลยีที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีเรื่องของซอฟท์แวร์อรรถประโยชน์ดังกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้องในการเลือกซื้อเมนบอร์ดด้วย เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีของฮาร์ดแวร์ตัวอื่นๆ สูงขึ้นมากไม่ว่าจะเป็นตัวซีพียูที่สามารถอัพสปีดสูงเกินค่ามาตรฐานได้ รวมถึงแรม และ กราฟฟิคการ์ดด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตเมนบอร์ดเองก็ต้องตระเตรียมซอฟท์แวร์ที่มาช่วยจัดการเพิ่มความสามารถ หรือ ดึงขีดความสามารถสูงสุดของฮาร์ดแวร์ดังกล่าว นอกจากนั้นยังต้องมีซอฟท์แวร์ในส่วนการจัดการด้านความปลอดภัยในการเข้าใช้ข้อมูล รวมถึงอาจจะมีการเก็บบันทึกการเปิด และ ปิดเครื่องพีซีด้วยเช่นกัน อีกทั้งเราอาจจะต้องเลือกเมนบอร์ดที่มีความสามารถในการประหยัดพลังงานด้วยเหมือนกัน เพราะเทรนปัจจุบันทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อลดปัญหาโลกร้อน เรื่องนี้จึงเป็นเทรนให้กับสินค้าทุกชนิดที่ผลิตขึ้นมาใช้งาน

                      การรับประกัน (Warranty)

                      ส่วนใหญ่ผู้ผลิตแทบทุกรายจะรับประกันเมนบอร์ดให้ 3 ปี แต่นอกจากเรื่องของระยะเวลาในการรับประกันแล้ว เราอควรต้องเลือกซื้อกับผู้ขายที่มีประวัติดีและต้องดูว่าผู้ขายเองซื้อสินค้าจากผู้แทนจำหน่ายรายใด ปัจจุบันมีไม่เยอะมาก เนื่องด้วยผู้แทนจำหน่ายสินค้าประเภทไอทีในประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่ทำสินค้าหลากหลายอยู่แล้ว จึงต้องพิจารณาจากประวัติชื่อเสียงจากหลายๆ ทาง และ รวมถึงพิจารณาจากจำนวนศูนย์บริการที่มีให้บริการในทุกพื้นที่ และ ทุกจังหวัดด้วย


                      สุดท้ายผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทำให้การตัดสินใจของผู้ใช้ทำได้ง่ายขึ้น� รวมทั้งเข้าใจและ สามารถได้รับประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลดังกล่าวนี้ครับ

                      ป.ล บทความเก่าไปหน่อยขอ อภัยด้วยครับ

                      Comment


                      • #12
                        Originally posted by S.M.TRUE View Post
                        Z77 OC Formula ทางด้านของเรื่องเลย์เอาท์และขนาดตัวนั้นจะเป็นเมนบอร์ดในขนาด ATX ที่จะกว้างกว่าปรกติเล็กน้อยประมาณ 1" และสูงหรือยาวกว่าปรกติเล็กน้อยประมาณ 1cm ซึ่งบางครั้งมันอาจจะถูกจัดไปอยุ่ในมาตรฐาน E-ATX ครับ
                        ขอบคุณมากครับ ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากเวปผู้ผลิต เขาบอกเป็นขนาด EATX ครับ
                        Form Factor - EATX Form Factor: 12.0-in x 10.5-in, 30.5 cm x 26.7 cm

                        แจ่มมากครับ ยังไงจะรอติดตามต่อนะครับ ตอนนี้ผมสนใจเรื่อง ซ็อกเก็ต และ CPU ของทางฝั่ง AMD นะครับ

                        Comment


                        • #13
                          รู้จักกับ BIOS (Basic Input/Output System)



                          อุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ทุกชนิดที่เป็น ฮาร์ดแวร์ จะสามารถทำงานได้โดยต้องมี ซอฟท์แวร์ ประกอบด้วย สำหรับ BIOS (Basic Input/Out System) นี้จะเป็นที่เก็บ ซอฟท์แวร์ ขนาดเล็ก ๆ ไว้ในชิป ROM (เป็นแบบ EPROM : Erasable Programmable Read-Only Memory) เพื่อใช้สำหรับทำการบูทเครื่องคอมพิวเตอร์จากแผ่น floppy disks (FDD) หรือจาก hard disks (HDD) โดยที่ BIOS จะทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการ POST (Power-On Self Test) ก่อนที่จะเรียกใช้ ซอฟท์แวร์ ที่เป็น Operating System เช่น DOS หรือ Windows จาก FDD หรือ HDD เพื่อทำการเริ่มต้นเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถทำงานได้ต่อไป


                          นอกจากนี้ BIOS ยังเป็นตัวกำหนดค่าต่าง ๆ ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะควบคุมการทำงานของ Keyboard, ควบคุมการทำงานของ Serial Port, Parallel Port, Video Card, Sound Card, HDD Controller และอื่น ๆ ในบางครั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ๆ เมื่อมีอุปกรณ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมเข้ามาหาก BIOS ไม่สามารถรู้จักและใช้งานได้ จำเป็นต้องมีการแก้ไขโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ที่บรรจุใน BIOS ให้รู้จักกับอุปกรณ์ใหม่ ๆ นั้นด้วยที่เรียกกันว่า Flash BIOS นั่นเอง

                          สำหรับปัจจุบันนี้ BIOS จะเก็บไว้ใน EPROM ซึ่งเป็นหน่วยความจำชนิดหนึ่งที่ปกติจะใช้สำหรับอ่านได้อย่างเดียว (ส่วนใหญ่จะเป็นไอซีตัวสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่บนเมนบอร์ด) โดยที่เราสามารถทำการ ลบข้อมูลและโปรแกรมข้อมูล ลงไปใหม่ได้โดยใช้ซอฟท์แวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการ Flash BIOS นั้น ๆ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของ BIOS EPROM และเมนบอร์ดด้วยนะครับว่าสามารถ Flash ได้หรือเปล่าโดยวิธีการง่าย ๆ คือตรวจสอบจากเวปไซต์ของผู้ผลิดเมนบอร์ดนั้น ๆ (โดยส่วนใหญ่แล้ว เมนบอร์ดสำหรับ Pentium ขึ้นไปส่วนใหญ่จะทำการ Flash ได้แล้ว)
                          โดยปกติแล้ว อุปกรณ์ต่าง ๆ จะมีการตั้งค่า Configuration ที่แตกต่างออกไปได้ ซึ่งค่าเหล่านี้จะถูก BIOS เก็บไว้ในส่วนของ CMOS RAM ประมาณ 64 Bytes ซึ่ง CMOS นี้จะต้องมีการจ่ายไฟเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาจาก แบตเตอรี่ เพื่อให้ค่าที่ตั้งไว้ไม่หาย ไปเมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งในส่วนของ CMOS นี้จะเป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้พลังงานน้อยมาก ดังนั้นจึงสามารถใช้งาน ได้นานโดยไม่ต้องคอยเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยๆ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้อง ทำการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ให้เหมาะสมเช่น ค่าความเร็วของการอ่านข้อมูลจาก Memory การตั้ง Enabled หรือ Disabled อุปกรณ์ต่าง ๆ, ความเร็วของ PCI BUS, ชนิดของ Floppy Disk หรือ Hard Disk ที่ใช้งาน, อุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เช่น SCSI และอื่น ๆ อีกมากมายที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS ที่มีใช้งานอยู่ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 บริษัทคือของ AMI BIOS (American Mega trends Inc) และ AWARD (ปัจจุบันรวมเข้ากับ Phoenix Technologies, Ltd. แล้ว) นอกจากนี้ก็จะมี BIOS ที่เป็นของแบนด์เนมต่าง ๆ เช่น COMPAQ หรือ IBM ซึ่งจะมีหน้าตาและวิธีการตั้งค่าแตกต่างออกไปด้วยสรุปว่า BIOS มีความสำคัญมากในระบบคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มี BIOS เราก็ไม่สามารถเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ได้



                          ความรู้เกี่ยวกับไบออส



                          ท่านเคยสังเกตุไหมว่าทำไมวันที่และเวลาในเครื่องคอมพิวเตอร์ยังคงถูกต้องอยู่ ไม่ว่าจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วก็ตาม แต่วันที่และเวลาก็ยังคงเดินถูกต้องอยู่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ?ไบออส? ทำหน้าที่เก็บข้อมูล เมื่อเปิดเครื่องท่านจะสังเกตเห็นว่ามีค่าต่างๆ ปรากฎขึ้นมาก่อนที่จะเข้าสู่ระบบปฏิบัติการวินโดว์ ซึ่งจะมีคำสั่งต่างๆ ปรากฎให้เราได้ใช้ในการควบคุมส่วนมากจะเป็นคำสั่งที่จะเข้าสู่ระบบไบออสของเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทำการตั้งค่าต่างๆ ของอุปกรณ์ในคอมพิวเตอร์
                          ความหมายของไบออส

                          ไบออส (BIOS) ย่อมาจากคำว่า Basic Input / Output System หมายถึง โปรแกรมที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานในการบู๊ตเข้าระบบคอมพิวเตอร์ ถูกติดตั้งอยู่ในชิบประเภท ROM บนเมนบอร์ด การทำงานของไบออสจะทำงานหลังจากมีการเปิดสวิทซ์ ทันทีที่มีการใช้งานคอมพิวเตอร์ โดยจะทำการตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์ เช่น Hard disk, DVD RW, RAM เป็นต้น
                          ไบออส บางครั้งก็เรียกว่า ซีมอส (CMOS) แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นคนละส่วนกัน คือ ไบออสเป็นโปรแกรมที่เก็บในรอม ไม่จำเป็นต้องมีพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในการเก็บข้อมูล ส่วน ซีมอส จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลในการบู๊ตระบบ มีหลักการทำงานคล้ายแรม ซึ่งต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าเลี้ยงตลอดเวลา โดยปกติจะอาศัยพลังงานจาก แบตเตอร์รี่ ภายในเครื่องคอมฯ ปัจจุบัน ไบออสและซีมอส ได้ถูกรวมกันเป็นชิบตัวหนึ่งๆ
                          CMOS (ซีมอส) ย่อมาจาก "Complementary Metal Oxide Semiconductor" เป็นชิปไอซีที่ใช้เก็บข้อมูลที่เป็นค่าเฉพาะของแต่ละระบบ เพื่อให้ Bios (ไบออส) นำไปใช้ในการบู๊ตระบบ ข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ใน CMOS เช่น เวลา และวันที่ของระบบ ค่าของฮาร์ดดิสก์ และไดร์ซีดี/ดีวีดี, การปรับค่าความเร็วในการอ่านเขียนของแรม เป็นต้น เป็นชิปสารกึ่งตัวนำที่ถูกติดตั้งแบบออนบอร์ดมากับเมนบอร์ดเลย เราจะมองไม่เห็นตัวชิปเพราะมันถูกผนวกเข้ากับชิปเซ็ต ชิป CMOS เป็นหน่วยความจำที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้กินไฟน้อย และทำงานได้เร็ว



                          เนื่องจาก CMOS ใช้เทคโนโลยีเดียวกับแรมทำให้ต้องการไฟเลี้ยงจากแบตเตอรรี่ (CMOS battery) เพื่อให้ข้อมูลคงอยู่ หากแบตเตอรี่หมดข้อมูลก็จะหายไป ก็จำเป็นต้องเซ็ตค่าต่างๆ กันใหม่ใน CMOS Setup บางครั้งที่เครื่องเสีย เช่น มีการโอเวอร์คล็อก คือ ปรับสปีดความถี่แล้วเครื่องรับไม่ได้ เมื่อเปิดเครื่องก็จะไม่ยอมบู๊ต เราก็จะใช้การ clear CMOS โดยการถอดแบตเตอรี่ เพื่อเคลียค่าการเซ็ตอัพ หรือในบางครั้งเราลืมพาสเวิร์ดที่ตั้งไว้ในใบออสเราก็ทำเช่นเดียวกัน


                          แบตเตอรี่ CMOS



                          แบตเตอรี่ หรือ บ้านเราเรียกกันว่า ?ถ่านซีมอส (CMOS batteries)? หรือบางครั้งเรียกว่า ?ถ่านไบออส? หรือ ?แบตเตอรี่แบคอัพ? ทำหน้าที่จ่ายไฟเลี้ยงให้กับซีมอส เนื่องจาก CMOS นั้นใช้เทคโนโลยีของแรมจึงต้องมีไฟเลี้ยงเพื่อป้องกันค่าการเซ็ตอัพภายในสูญหาย ในยุคแรกแบตเตอรี่มักจะมีลักษณะเป็นกระป๋อง ติดตั้งไว้บนเมนบอร์ด แต่แบตเตอรี่แบบนี้จะสร้างออกไซด์ขึ้นมารอบตัวมัน และไปกัดกินวงจร ต่อมาจึงเลิกใช้ และเปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียม (Lithium Battery) ที่มีลักษณะกลมแบนเหมือนเหรียญหน้าตาคล้ายถ่านนาฬิกา แต่จะมีขนาดใหญ่กว่า สำหรับอายุการใช้งานของถ่านไบออส ตามมาตรฐานแล้วจะมีอายุถึง 10 ปี อย่างไรก็ตามเวลาอาจเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และสภาพแวดล้อมภายในคอมพิวเตอร์
                          ในการทำงานนั้น ทั้ง BIOS และ CMOS ก็จะทำงานร่วมกันโดย BIOS จะใช้ข้อมูลที่เก็บอยู่ใน CMOS ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็คือข้อมูลที่เกิดจากการเซ็ตอัพโดยผู้ใช้เอง ซึ่งจะเป็นข้อมูลเฉพาะของเครื่อง ฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่คุณเปิดเครื่อง BIOS ก็จะไปดึงข้อมูลที่กำหนดไว้จาก CMOS
                          วิธีการ setup bios เราสามารถเข้าไปกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ และแก้ไขข้อมูลบางอย่างในไบออสได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะเวลาที่มีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่ม เช่น RAM, Hard Disk เป็นต้น การเข้าไปกำหนดรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมนั้น จะขึ้นกับยี่ห้อของไบออส เนื่องจากแต่ละบริษัทก็มีวิธีการเข้าไป setup ต่างๆ กัน สำหรับไบออสที่ใช้งานกันโดยทั่วไป เช่น Ami, Award, Phoenix เป็นต้น


                          ขั้นตอนการทำงานของ BIOS

                          1. เมื่อเปิดเครื่อง BIOS จะตรวจสอบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้งาน เช่น คีย์บอร์ด , ดิสก์ไดรฟ์, จอภาพ, หน่วยความจำ ฯลฯ หากมีอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งทำงานไม่ถูกต้อง จะแจ้งข้อผิดพลาดให้ทราบทั้งในลักษณะข้อความ (หากจอภาพทำงานได้) และเสียง beep หากจอภาพทำงานไม่ได้
                          2. โหลดค่ากำหนดเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาใช้งาน โดยค่าต่างๆ เหล่านี้จะถูกเก็บไว้ใน CMOS ซึ่งผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยผ่าน SETUP
                          3. โหลดระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งไว้ในดิสก์ขึ้นมาทำงาน
                          4. เมื่อระบบปฏิบัติการเิริ่มทำงาน นั่นคือคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว ส่วน BIOS จะทำหน้าที่ให้บริการต่างๆ ต่อระบบปฏิบัติการอยู่เบื้องหลัง เช่น การอ่าน-เขียนข้อมูลจากดิสก์, เปิดจอภาพเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานๆ ฯลฯ
                          5. เมื่อต้องการปิดเครื่อง BIOS จะปิดการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมดรวมถึงตัดกระแสไฟที่จ่ายให้ power supply ด้วย ค่ากำหนดต่างๆ ที่เก็บไว้ใน CMOS จะไม่หายไป เมื่อผู้ใช้เปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ การทำงานจะวนรอบกลับไปยังขั้นตอนที่ 1 ทันที ดังจะเห็นได้ว่าการทำงานของ BIOS มีผลต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา หาก BIOS ได้รับการปรับตั้งไม่ถูกต้อง หรือปรับตั้งไว้ไม่ดี จะทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นทำงานได้ไม่ถูกต้อง, ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือแม้แต่ใช้งานไม่ได้เลยก็เป็นได้


                          POST ขั้นตอนสำคัญของการเริ่มต้นระบบ

                          เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS จะเข้าสู่ขั้นตอนที่เรียกว่า POST (Power-On Self Test) ซึ่งเป็นการตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเอง สาเหตุที่ต้องตรวจสอบก่อนก็เพราะคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีอุปกรณ์ไม่เหมือนกัน อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เหล่านี้ได้โดยอิสระอีกด้วย ดังนั้นย่อมเป็นการดีที่จะมาตรวจสอบกันก่อนเริ่มต้นทำงาน ในกรณีที่เจอข้อผิดพลาดก็ยังสามารถรายงานให้ผู้ใช้ทราบ และแก้ไขได้อย่างถูกต้อง


                          4 ขั้นตอนการทำงานของ POST

                          ใน BIOS ใดๆ แม้จะต่างยี่ห้อ ต่างบริษัทกัน โดยส่วนใหญ่จะมีขั้นตอน POST ที่คล้ายๆ กัน 4 ขั้นตอน ดังนี้
                          1. แสดงข้อความเริ่มต้นของการ์ดแสดงผล ซึ่งปกติจะขึ้นอยู่กับชนิดของการ์ดแสดงผลที่ติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์นั้นๆ โดยอาจแสดงชื่อบริษัท-โลโก้ของผู้ผลิต, ชื่อรุ่น, ขนาดของหน่วยความจำ ฯลฯ หรือในบางรุ่นอาจไม่แสดงข้อความใดๆ ในขั้นตอนนี้เลยก็ได้
                          2. แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ BIOS รวมถึงหมายเลขอ้างอิงสำหรับผู้ผลิตเมนบอร์ดและข้อความอื่นๆ
                          3. ตรวจสอบและนับจำนวนหน่วยความจำ รวมทั้งเริ่มการทำงานของอุปกรณ์ประเภทดิสก์ไดรฟ์
                          4. เมื่อสิ้นสุดการทำงานของ POST แล้ว บนหน้าจอจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์พื้นฐานทั้งหมด จากนั้นจึงโหลดระบบปฏิบัติการจากดิสก์ที่กำหนด (ผ่านทาง SETUP) มาทำงานต่อไป

                          source : cgpcenter


                          รูปแบบการรายงานความผิดพลาด


                          หากในขั้นตอน POST นั้นเกิดข้อผิดพลาดขึ้น BIOS จะรายงานความผิดพลาดนั้นให้ทราบทางจอภาพ หรือหากข้อผิดพลาด นั้นเกิดจากจอภาพหรือการ์ดแสดงผล BIOS จะรายงานความผิดพลาดนั้นโดยส่งเสียง beep สั้น-ยาวต่างกันออกไปตามลักษณะของปัญหานั้นๆ
                          ตารางแสดงถึงรายงานข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ในกรณีที่ภาคการแสดงผลยังใช้งานได้ (ใช้ได้กับ BIOS ของ AMI และ Award)









                          สัญญาณเสียงแสดงความผิดพลาด
                          ตาราง รหัสเสียง beep ของ AMI BIOS





                          สัญญาณเสียงแสดงความผิดพลาดขึ้นกับ Main Board แต่ละรุ่น แต่สำหรับรหัสเสียงสัญญาณแสดงความผิดพลาดพื้นฐาน ได้แก่



                          source : sgg

                          Comment


                          • #14

                            Comment


                            • #15
                              Originally posted by ManiacMaew View Post
                              ถามอย่างเดียว ทำไมถึงเรียก"ITX" ในเมือไซส์อื่นเขาเรียกATXหมด
                              คือว่าสงสัยมานานแล้ว ไม่ได้กวนteenน่ะ
                              รู้สึกว่ามันจะมีทั้ง mini ITX และ mini ATX นะครับ

                              Comment

                              Working...
                              X