"อย่างแรกต้องกล่าวคำว่าสวัสดีกันก่อนครับพ่อแม่พี่น้อง OCZ ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปนาน เพราะเพิ่งเข้าทำงานเลยไม่ค่อยมีเวลา มาวันนี้ไหนๆ ก็ตกลงกับบริษัทหนึ่งไว้ว่าจะรีวิวเกมให้เขา โดยเริ่มจาก Lost Planet 2 ผมก็เลยขอพ่วงรีวิวจากเว็บดังกล่าวมาให้พ่อแม่พี่น้องชาว OCZ ได้ชมกันบ้างครับ และก็อย่าลืมติดตามผลงานของผมเรื่อยๆ นะครับ ขอบคุณครับ"
รูปอาจน้อยหน่อยนะครับ พอดีผมอยากเน้นในส่วนของรายละเอียดให้มากกว่ารูปครับ ขออภัยด้วย

หลังจากปล่อยให้แฟนๆ รอการกลับมาของโลก E.D.N III อยู่ 3 ปี ล่าสุดทาง Capcom ก็นำ Lost Planet กลับมาอีกครั้งในภาคที่ 2 ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นใหม่ทั้งหมดพร้อมกับเอนจิ้น MT Framework 2.0 ตัวล่าสุด อีกทั้งในภาคนี้ผู้เล่นยังจะได้พบกับสภาพอากาศที่ไม่ได้มีเพียงหิมะอย่างเดียวอีกแล้ว...
หลังจาก Wayne สามารถทำให้พืชพันธุ์ ความอุดมสมบูรณ์ กลับคืนมาให้กับดาว E.D.N. III ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะได้สำเร็จเมื่อ 10 ปีก่อน ทำให้ ณ ปัจจุบัน ดาวที่ชื่อว่า E.D.N III กำลังพัฒนาและฟื้นฟูตัวเองจนทำให้สภาพภูมิอากาศแปรเปลี่ยนเข้าใกล้ความเป็นโลกที่มนุษย์เคยอาศัยอยู่มากขึ้น แต่ดูเหมือนสงครามบนดาวแห่งนี้จะยังไม่จบสิ้น เพราะเหล่าผู้คนที่ได้มาอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้รุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็ยังคงสร้างสงครามทั้งกับมนุษย์ด้วยกันเองและสัตว์ประหลาดที่เป็นเจ้าถิ่นกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งระหว่างที่มนุษย์กำลังทำสงครามห่ำหั่นกันอย่างถึงขีดสุด สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ก่อนหน้ามนุษย์อย่าง Akrid กำลังกำเนิดสัตว์ประหลาดสายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า "Red Eye" มาต่อกรกับมนุษย์โดยความสามารถของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้คือสามารถดูดพลังงานความร้อนบนดาวทั้งหมดมาไว้ที่ตนได้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่มีใครหยุดยั้งเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ ดาว E.D.N. III อาจแปรเปลี่ยนสภาพเป็นเมืองหิมะเหมือนครั้นสมัย 10 ปีก่อนก็เป็นได้
สำหรับเกม Lost Planet ในภาคที่ 2 นี้ยังเป็นผลงานของคุณ Kenji Oguro และเป็นแนว Action มุมมองบุคคลที่ 3 เหมือนอย่างภาคแรก แต่สิ่งที่แตกต่างไปก็คือในภาคนี้ทางCapcom ได้เพิ่มระบบ Co-Op และเน้นรูปแบบการเล่นแบบ Multiplayer ให้มากขึ้น อีกทั้งในส่วนของตัวละคร ในภาคนี้จะไม่ได้มีตัวเอกเดินเรื่องเพียงคนเดียวเหมือนภาคที่แล้ว แต่เราจะได้รับเล่นเป็นเหล่าทหารในหน่วย Snow Pirates หลากหลายชีวิต และหลากหลายภารกิจทั้งตะลุยในป่าดงดิบ, หิมะ หรือทะเลทราย เป็นต้น
ซึ่งในส่วนของกราฟฟิกต้องยอมรับว่าตัวเอนจิ้น MT Framework 2.0 สามารถแสดงภาพออกมาได้อย่างสวยงามมาก โดยเฉพาะฉากทะเลทรายกับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ อีกทั้งการเรนเดอร์ในส่วนของฉากก็ทำออกมาได้กว้างและดูมีมิติ รวมถึงฉากคัทซีนแบบเรียลไทม์ก็ทำออกมาได้สวยงามและไม่มีอาการเฟรมเรทตกเช่นกัน และสุดท้ายในส่วนรายละเอียดของตัวละครต่างๆ ก็ทำออกมาอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ Texture ตัวสัตว์ประหลาดค่อนข้างคมมากจนรู้สึกได้ถึงความขยะแขยงเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทั้งนี้พูดถึงข้อดีไปแล้วก็ต้องต่อด้วยข้อเสียที่ผู้เขียนจะลืมไปไม่ได้เลยก็คือเรื่องของรอยหยักวัตถุที่ค่อนข้างชัดเจนมาก โดยเฉพาะฉากในป่าดิบชื้นที่รอยหยักบริเวณใบไม้ใบหญ้าจะชัดเจนจนมองแล้วค่อนข้างรำคาญตาพอสมควร อีกทั้งในเรื่องของ User Interface ที่ค่อนข้างรกเกะกะลูกตาและเรื่องของ Motion Blur ที่มักสร้างความรำคาญแกมหงุดหงิดให้ผู้เขียนทุกครั้งเมื่อมีการตะลุมบอนผนวกการปาระเบิดเกิดขึ้น
สำหรับในส่วนของการควบคุมก็ไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก ปุ่ม LT ไว้ปาระเบิด ส่วนปุ่ม RT จะใช้ในการลั่นไกปื่น ปุ่ม X ไว้ปล่อยลวดสลิงสำหรับใช้โหนตัว ปุ่ม A ใช้ในการกระโดด ในส่วนของการเปลี่ยนอาวุธจะใช้ปุ่ม Y เป็นหลัก ส่วนแกนอนาล็อกซ้ายจะใช้ในการควบคุมทิศทางการเดินของผู้เล่น ส่วนแกนขวาจะใช้หันมุมมอง ในส่วนของ D-Pad ถ้าดันขึ้นและลงจะเป็นการสั่งซูมเข้าและออกส่วนการเลื่อนซ้ายและขวาจะเป็นการเปิด-ปิด Night Vision ปุ่ม Start เมื่อกดค้างไว้จะเป็นการนำพลังงานจาก T-Energy มาเสริมพลังชีวิตที่เสียไป และสุดท้ายในฉากคัทซีนบางฉากอาจมีส่วนที่เป็น Interactive ให้เรากดปุ่มตามที่แสดงขึ้นมาบนจอให้ทันด้วย
ในส่วนของเนื้อเรื่องและบท (ในโหมดออฟไลน์) ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ยังทำได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะการขาดการปะติดปะต่อเรื่อง และแกนของเรื่องที่ไม่มีความน่าสนใจพอ ซึ่งถ้าใครหวังไว้สูงเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของภาคนี้ก็ขอให้เตรียมใจไว้สักเล็กน้อยนะครับ
อีกทั้งถ้ามองในเรื่องของรูปแบบการเล่น เกม Lost Planet ในภาคนี้จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่ผู้เขียนกดเข้าหน้าจอ Main Menu มาก็พบกับคำว่า "ออฟไลน์" และ "ออนไลน์" อยู่เต็มไปหมด ซึ่งแน่นอนว่าแต่เดิมภาคนี้ผู้ผลิตเขาตั้งใจจะทำให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นตะลุยด่านแบบออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทาง Capcom คิดผิดหรือไม่ที่ยอมเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปมากขนาดนี้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วผู้เขียนคิดว่า "เป็นความคิดที่ผิดมหันต์มากๆ" เพราะถ้าคนที่ไม่ชื่นชอบการเล่นแบบออนไลน์ และต้องการเสพการเล่นแบบออฟไลน์ที่มีรูปแบบการเล่นที่สนุกพร้อมเนื้อเรื่องที่เข้มข้นเหมือนภาคก่อนๆ อาจต้องร้องแสดงความผิดหวังออกมาตั้งแต่เล็กน้อยไปถึงโมโหโทโสเลยทีเดียว เพราะตั้งแต่เริ่มภารกิจแรก (EPISODE 1) ผู้เล่นจะสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อน และจากนั้นหลังเริ่มภารกิจผู้เล่นจะพบรูปแบบการเล่นเป็นทีม (ประมาณ 4 คนรวมตัวเอก) ตามสไตล์แบบออนไลน์ (มีชื่อขึ้นที่หัวตัวละครด้วย) อีกทั้งด้วยเนื้อเรื่องที่มีน้อยนิดทำให้รูปแบบการเล่นเปลี่ยนจากตะลุยด่านไปพบคัทซีนแบบต่อเนื่องเหมือนชมภาพยนตร์เป็นตะลุยด่านให้จบพื้นที่ (Area) และจะมีเวลานับถอยหลังไปยังพื้นที่ต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่ตลอดทั้งเกมจะมีรูปแบบการเล่นที่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ อีกทั้งภารกิจที่ทางคอมพ์ให้เราทำแต่ละฉากก็ยังซ้ำซากจำเจ เช่น ให้เปิดฐาน Data Post ให้หมด หรือกวาดล้างทำลายศัตรูและหุ่นยนต์ให้หมดเท่านั้น
และในส่วนของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ในภาคนี้ก็มีการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าภาคก่อนเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีบั๊กค่อนข้างมากเหมือนกัน เช่น เมื่อผู้เขียนได้ลองเดินไปใกล้กับฝ่ายศัตรูบางครั้งอีกฝ่ายอาจไม่โจมตีเรา มิหนำซ้ำยังปล่อยให้เรายิงได้สบายๆ อีกด้วย
แต่ทั้งนี้ถึงแม้ตัวเกมในโหมดออฟไลน์จะมีข้อเสียค่อนข้างมากแต่ในส่วนของข้อดีก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย ซึ่งข้อดีส่วนใหญ่ของเกมนี้จะอยู่ที่บอส (Boss) ที่มีความอลังการ ใหญ่ยักษ์ไว้ให้เราได้เล่นจนต้องอ้าปากค้างได้ตลอดเวลา (โดยเฉพาะฉากทะเลทรายที่ผู้เขียนต้องขอยอมรับในเรื่องของความตื่นเต้นทุกครั้งที่พบกับบอสของด่านนี้จริงๆ) อีกทั้งในเรื่องของหุ่นยนต์และชุดเกราะของผู้เล่นที่ถึงแม้ในเกมจะมีให้เลือกใช้ไม่มากแต่การได้รับเจ้าเหล็กชิ้นโตเหล่านั้นมาใช้งานก็สร้างความมันส์และความเร้าใจในการเล่นได้เหมือนภาคที่แล้วจริงๆ (ภาคนี้มีขับเครื่องบินด้วย) และในเรื่องของระบบ Multiplayer ซึ่งถ้าเราได้ลองเล่นกับเพื่อนๆ ที่สนิทกันแล้วจะช่วยลดความน่าเบื่อของตัวเกมลงได้มากทีเดียว
และส่วนสุดท้ายในเรื่องของเสียงและดนตรีประกอบก็ยังคงมาตราฐานจากภาคแรกไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของดนตรีประกอบที่ทำออกมาได้อลังการมากๆ ส่วนในเรื่องของเสียงเอ็ฟเฟ็กต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างชัดเจน เพราะผมสามารถได้ยินเสียงกระสุนบดกับเหล็กหรือแม้แต่เสียงฝีเท้าของตัวละครวิ่งจากใกล้ไปไกลได้อย่างชัดเจนมากๆ อีกทั้งเรื่องของการแยกเสียงผ่านระบบ Dolby Digital ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างชัดเจนเช่นกัน
สุดท้ายแล้วถึงแม้ Lost Planet 2 จะเป็นเกมที่มีรูปแบบการเล่นในโหมดออฟไลน์ที่ดูอ่อนด้อยและมีเนื้อเรื่องที่ไม่น่าสนใจ ขาดการปะติดปะต่อ แต่ทั้งนี้ตัวเกมก็มีจุดเด่นและความน่าสนใจในเรื่องของรูปแบบ Multiplayer โดยเฉพาะโหมด Co-Op ที่ทางผู้ผลิตตั้งใจพัฒนาส่วนนี้ขึ้นมาพิเศษ และคาดหวังว่า Social Network ในโลกไซเบอร์เล็กๆ ใบนี้จะให้ความสนใจกับเกมในภาคนี้มาก ซึ่งทางผู้เขียนก็มีความเห็นว่า Capcom เขาก็เดินมาถูกทางแล้วนะครับ เพียงแต่ว่าไม่น่าเอาชื่อ Lost Planet มาขายก็เท่านั้น เพราะแน่นอนว่าหลายๆ คนรวมถึงแฟนคลับของภาคนี้ตั้งความหวังไว้สูงมาก ซึ่งถ้าทาง Capcom และคุณ Kenji Oguro (ผู้กำกับ) กับคุณ Jun Takeuchi (ผู้อำนวยการผลิต) ใส่ใจรายละเอียดในส่วนของรูปแบบและระบบการเล่นให้ดีกว่านี้ ผมว่า Lost Planet 2 อาจเป็นเกมๆ แรกของชาติญี่ปุ่นที่มีรูปแบบการเล่นที่ซีกแนวได้อย่างน่าเหลือเชื่อแน่นอนครับ
*แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบทความรีวิวฉบับนี้ก็เป็นความคิดเห็นในฐานะผู้เขียนและทดสอบเกมนี้ด้วยตัวเองคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าจะมีคนแย้งในความคิดเห็นครับ (แต่ขอให้พูดจากันด้วยเหตุผล)*
ข้อดี
- ภาพกราฟฟิกสวยงามและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะฉากคัทซีน
- มีสัตว์ประหลาด อลังการ ตัวใหญ่ยักษ์ให้ได้ฆ่าเมื่อตอนจบ Episode
- โหมด Co-Op ทำมาดีระดับหนึ่ง เมื่อเล่นกับเพื่อนๆ จะรู้สึกสนุกมาก
- มี DLC ตัวละครเพิ่มเติมที่น่าสนใจ เช่น Marcus จาก Gears of War
- มีระบบ Split Screen เมื่อเล่นสองคน
ข้อเสีย
- เนื้อเรื่องให้โหมดออฟไลน์ขาดการปะติดปะต่อ แกนเรื่องไม่น่าสนใจ
- รูปแบบการเล่นซ้ำซากจำเจและน่าเบื่อมาก
- หุ่นยนต์ถูกลดบทบาทลงมากในภาคนี้
- ระบบ Motion Blur สร้างความน่ารำคาญให้ผู้เล่นในบางครั้ง
by Dorapenguin
Source : Manager.co.th
รูปอาจน้อยหน่อยนะครับ พอดีผมอยากเน้นในส่วนของรายละเอียดให้มากกว่ารูปครับ ขออภัยด้วย
หลังจากปล่อยให้แฟนๆ รอการกลับมาของโลก E.D.N III อยู่ 3 ปี ล่าสุดทาง Capcom ก็นำ Lost Planet กลับมาอีกครั้งในภาคที่ 2 ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นใหม่ทั้งหมดพร้อมกับเอนจิ้น MT Framework 2.0 ตัวล่าสุด อีกทั้งในภาคนี้ผู้เล่นยังจะได้พบกับสภาพอากาศที่ไม่ได้มีเพียงหิมะอย่างเดียวอีกแล้ว...
หลังจาก Wayne สามารถทำให้พืชพันธุ์ ความอุดมสมบูรณ์ กลับคืนมาให้กับดาว E.D.N. III ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะได้สำเร็จเมื่อ 10 ปีก่อน ทำให้ ณ ปัจจุบัน ดาวที่ชื่อว่า E.D.N III กำลังพัฒนาและฟื้นฟูตัวเองจนทำให้สภาพภูมิอากาศแปรเปลี่ยนเข้าใกล้ความเป็นโลกที่มนุษย์เคยอาศัยอยู่มากขึ้น แต่ดูเหมือนสงครามบนดาวแห่งนี้จะยังไม่จบสิ้น เพราะเหล่าผู้คนที่ได้มาอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้รุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็ยังคงสร้างสงครามทั้งกับมนุษย์ด้วยกันเองและสัตว์ประหลาดที่เป็นเจ้าถิ่นกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งระหว่างที่มนุษย์กำลังทำสงครามห่ำหั่นกันอย่างถึงขีดสุด สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ก่อนหน้ามนุษย์อย่าง Akrid กำลังกำเนิดสัตว์ประหลาดสายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า "Red Eye" มาต่อกรกับมนุษย์โดยความสามารถของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้คือสามารถดูดพลังงานความร้อนบนดาวทั้งหมดมาไว้ที่ตนได้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่มีใครหยุดยั้งเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ ดาว E.D.N. III อาจแปรเปลี่ยนสภาพเป็นเมืองหิมะเหมือนครั้นสมัย 10 ปีก่อนก็เป็นได้
สำหรับเกม Lost Planet ในภาคที่ 2 นี้ยังเป็นผลงานของคุณ Kenji Oguro และเป็นแนว Action มุมมองบุคคลที่ 3 เหมือนอย่างภาคแรก แต่สิ่งที่แตกต่างไปก็คือในภาคนี้ทางCapcom ได้เพิ่มระบบ Co-Op และเน้นรูปแบบการเล่นแบบ Multiplayer ให้มากขึ้น อีกทั้งในส่วนของตัวละคร ในภาคนี้จะไม่ได้มีตัวเอกเดินเรื่องเพียงคนเดียวเหมือนภาคที่แล้ว แต่เราจะได้รับเล่นเป็นเหล่าทหารในหน่วย Snow Pirates หลากหลายชีวิต และหลากหลายภารกิจทั้งตะลุยในป่าดงดิบ, หิมะ หรือทะเลทราย เป็นต้น
ซึ่งในส่วนของกราฟฟิกต้องยอมรับว่าตัวเอนจิ้น MT Framework 2.0 สามารถแสดงภาพออกมาได้อย่างสวยงามมาก โดยเฉพาะฉากทะเลทรายกับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ อีกทั้งการเรนเดอร์ในส่วนของฉากก็ทำออกมาได้กว้างและดูมีมิติ รวมถึงฉากคัทซีนแบบเรียลไทม์ก็ทำออกมาได้สวยงามและไม่มีอาการเฟรมเรทตกเช่นกัน และสุดท้ายในส่วนรายละเอียดของตัวละครต่างๆ ก็ทำออกมาอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ Texture ตัวสัตว์ประหลาดค่อนข้างคมมากจนรู้สึกได้ถึงความขยะแขยงเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทั้งนี้พูดถึงข้อดีไปแล้วก็ต้องต่อด้วยข้อเสียที่ผู้เขียนจะลืมไปไม่ได้เลยก็คือเรื่องของรอยหยักวัตถุที่ค่อนข้างชัดเจนมาก โดยเฉพาะฉากในป่าดิบชื้นที่รอยหยักบริเวณใบไม้ใบหญ้าจะชัดเจนจนมองแล้วค่อนข้างรำคาญตาพอสมควร อีกทั้งในเรื่องของ User Interface ที่ค่อนข้างรกเกะกะลูกตาและเรื่องของ Motion Blur ที่มักสร้างความรำคาญแกมหงุดหงิดให้ผู้เขียนทุกครั้งเมื่อมีการตะลุมบอนผนวกการปาระเบิดเกิดขึ้น
สำหรับในส่วนของการควบคุมก็ไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก ปุ่ม LT ไว้ปาระเบิด ส่วนปุ่ม RT จะใช้ในการลั่นไกปื่น ปุ่ม X ไว้ปล่อยลวดสลิงสำหรับใช้โหนตัว ปุ่ม A ใช้ในการกระโดด ในส่วนของการเปลี่ยนอาวุธจะใช้ปุ่ม Y เป็นหลัก ส่วนแกนอนาล็อกซ้ายจะใช้ในการควบคุมทิศทางการเดินของผู้เล่น ส่วนแกนขวาจะใช้หันมุมมอง ในส่วนของ D-Pad ถ้าดันขึ้นและลงจะเป็นการสั่งซูมเข้าและออกส่วนการเลื่อนซ้ายและขวาจะเป็นการเปิด-ปิด Night Vision ปุ่ม Start เมื่อกดค้างไว้จะเป็นการนำพลังงานจาก T-Energy มาเสริมพลังชีวิตที่เสียไป และสุดท้ายในฉากคัทซีนบางฉากอาจมีส่วนที่เป็น Interactive ให้เรากดปุ่มตามที่แสดงขึ้นมาบนจอให้ทันด้วย
ในส่วนของเนื้อเรื่องและบท (ในโหมดออฟไลน์) ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ยังทำได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะการขาดการปะติดปะต่อเรื่อง และแกนของเรื่องที่ไม่มีความน่าสนใจพอ ซึ่งถ้าใครหวังไว้สูงเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของภาคนี้ก็ขอให้เตรียมใจไว้สักเล็กน้อยนะครับ
อีกทั้งถ้ามองในเรื่องของรูปแบบการเล่น เกม Lost Planet ในภาคนี้จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่ผู้เขียนกดเข้าหน้าจอ Main Menu มาก็พบกับคำว่า "ออฟไลน์" และ "ออนไลน์" อยู่เต็มไปหมด ซึ่งแน่นอนว่าแต่เดิมภาคนี้ผู้ผลิตเขาตั้งใจจะทำให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นตะลุยด่านแบบออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทาง Capcom คิดผิดหรือไม่ที่ยอมเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปมากขนาดนี้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วผู้เขียนคิดว่า "เป็นความคิดที่ผิดมหันต์มากๆ" เพราะถ้าคนที่ไม่ชื่นชอบการเล่นแบบออนไลน์ และต้องการเสพการเล่นแบบออฟไลน์ที่มีรูปแบบการเล่นที่สนุกพร้อมเนื้อเรื่องที่เข้มข้นเหมือนภาคก่อนๆ อาจต้องร้องแสดงความผิดหวังออกมาตั้งแต่เล็กน้อยไปถึงโมโหโทโสเลยทีเดียว เพราะตั้งแต่เริ่มภารกิจแรก (EPISODE 1) ผู้เล่นจะสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อน และจากนั้นหลังเริ่มภารกิจผู้เล่นจะพบรูปแบบการเล่นเป็นทีม (ประมาณ 4 คนรวมตัวเอก) ตามสไตล์แบบออนไลน์ (มีชื่อขึ้นที่หัวตัวละครด้วย) อีกทั้งด้วยเนื้อเรื่องที่มีน้อยนิดทำให้รูปแบบการเล่นเปลี่ยนจากตะลุยด่านไปพบคัทซีนแบบต่อเนื่องเหมือนชมภาพยนตร์เป็นตะลุยด่านให้จบพื้นที่ (Area) และจะมีเวลานับถอยหลังไปยังพื้นที่ต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่ตลอดทั้งเกมจะมีรูปแบบการเล่นที่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ อีกทั้งภารกิจที่ทางคอมพ์ให้เราทำแต่ละฉากก็ยังซ้ำซากจำเจ เช่น ให้เปิดฐาน Data Post ให้หมด หรือกวาดล้างทำลายศัตรูและหุ่นยนต์ให้หมดเท่านั้น
และในส่วนของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ในภาคนี้ก็มีการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าภาคก่อนเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีบั๊กค่อนข้างมากเหมือนกัน เช่น เมื่อผู้เขียนได้ลองเดินไปใกล้กับฝ่ายศัตรูบางครั้งอีกฝ่ายอาจไม่โจมตีเรา มิหนำซ้ำยังปล่อยให้เรายิงได้สบายๆ อีกด้วย
แต่ทั้งนี้ถึงแม้ตัวเกมในโหมดออฟไลน์จะมีข้อเสียค่อนข้างมากแต่ในส่วนของข้อดีก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย ซึ่งข้อดีส่วนใหญ่ของเกมนี้จะอยู่ที่บอส (Boss) ที่มีความอลังการ ใหญ่ยักษ์ไว้ให้เราได้เล่นจนต้องอ้าปากค้างได้ตลอดเวลา (โดยเฉพาะฉากทะเลทรายที่ผู้เขียนต้องขอยอมรับในเรื่องของความตื่นเต้นทุกครั้งที่พบกับบอสของด่านนี้จริงๆ) อีกทั้งในเรื่องของหุ่นยนต์และชุดเกราะของผู้เล่นที่ถึงแม้ในเกมจะมีให้เลือกใช้ไม่มากแต่การได้รับเจ้าเหล็กชิ้นโตเหล่านั้นมาใช้งานก็สร้างความมันส์และความเร้าใจในการเล่นได้เหมือนภาคที่แล้วจริงๆ (ภาคนี้มีขับเครื่องบินด้วย) และในเรื่องของระบบ Multiplayer ซึ่งถ้าเราได้ลองเล่นกับเพื่อนๆ ที่สนิทกันแล้วจะช่วยลดความน่าเบื่อของตัวเกมลงได้มากทีเดียว
และส่วนสุดท้ายในเรื่องของเสียงและดนตรีประกอบก็ยังคงมาตราฐานจากภาคแรกไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของดนตรีประกอบที่ทำออกมาได้อลังการมากๆ ส่วนในเรื่องของเสียงเอ็ฟเฟ็กต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างชัดเจน เพราะผมสามารถได้ยินเสียงกระสุนบดกับเหล็กหรือแม้แต่เสียงฝีเท้าของตัวละครวิ่งจากใกล้ไปไกลได้อย่างชัดเจนมากๆ อีกทั้งเรื่องของการแยกเสียงผ่านระบบ Dolby Digital ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างชัดเจนเช่นกัน
สุดท้ายแล้วถึงแม้ Lost Planet 2 จะเป็นเกมที่มีรูปแบบการเล่นในโหมดออฟไลน์ที่ดูอ่อนด้อยและมีเนื้อเรื่องที่ไม่น่าสนใจ ขาดการปะติดปะต่อ แต่ทั้งนี้ตัวเกมก็มีจุดเด่นและความน่าสนใจในเรื่องของรูปแบบ Multiplayer โดยเฉพาะโหมด Co-Op ที่ทางผู้ผลิตตั้งใจพัฒนาส่วนนี้ขึ้นมาพิเศษ และคาดหวังว่า Social Network ในโลกไซเบอร์เล็กๆ ใบนี้จะให้ความสนใจกับเกมในภาคนี้มาก ซึ่งทางผู้เขียนก็มีความเห็นว่า Capcom เขาก็เดินมาถูกทางแล้วนะครับ เพียงแต่ว่าไม่น่าเอาชื่อ Lost Planet มาขายก็เท่านั้น เพราะแน่นอนว่าหลายๆ คนรวมถึงแฟนคลับของภาคนี้ตั้งความหวังไว้สูงมาก ซึ่งถ้าทาง Capcom และคุณ Kenji Oguro (ผู้กำกับ) กับคุณ Jun Takeuchi (ผู้อำนวยการผลิต) ใส่ใจรายละเอียดในส่วนของรูปแบบและระบบการเล่นให้ดีกว่านี้ ผมว่า Lost Planet 2 อาจเป็นเกมๆ แรกของชาติญี่ปุ่นที่มีรูปแบบการเล่นที่ซีกแนวได้อย่างน่าเหลือเชื่อแน่นอนครับ
*แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบทความรีวิวฉบับนี้ก็เป็นความคิดเห็นในฐานะผู้เขียนและทดสอบเกมนี้ด้วยตัวเองคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แปลกถ้าจะมีคนแย้งในความคิดเห็นครับ (แต่ขอให้พูดจากันด้วยเหตุผล)*
ข้อดี
- ภาพกราฟฟิกสวยงามและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะฉากคัทซีน
- มีสัตว์ประหลาด อลังการ ตัวใหญ่ยักษ์ให้ได้ฆ่าเมื่อตอนจบ Episode
- โหมด Co-Op ทำมาดีระดับหนึ่ง เมื่อเล่นกับเพื่อนๆ จะรู้สึกสนุกมาก
- มี DLC ตัวละครเพิ่มเติมที่น่าสนใจ เช่น Marcus จาก Gears of War
- มีระบบ Split Screen เมื่อเล่นสองคน
ข้อเสีย
- เนื้อเรื่องให้โหมดออฟไลน์ขาดการปะติดปะต่อ แกนเรื่องไม่น่าสนใจ
- รูปแบบการเล่นซ้ำซากจำเจและน่าเบื่อมาก
- หุ่นยนต์ถูกลดบทบาทลงมากในภาคนี้
- ระบบ Motion Blur สร้างความน่ารำคาญให้ผู้เล่นในบางครั้ง
by Dorapenguin
Source : Manager.co.th
Comment